จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) – บทที่ 28 การกระทำที่ไม่เสียเปล่า
บทที่ 28 การกระทำที่ไม่เสียเปล่า
การพบกันของคนและพญาอสรพิษ เมื่อเอารูปร่างของฉู่ชวิ๋นมาเทียบกับเจ้าพญาอสรพิษตัวนี้ มันดูน่าขันไปหน่อย แต่ฉู่ชวิ๋นกลับหัวเราะไม่ออก ในอีกโลกหนึ่ง พญาอสรพิษเจ็ดสีถือได้ว่าเป็นสัตว์วิญญาณขั้นสูง สามารถแปลงกายได้ เซียนที่เขารู้จักคนหนึ่งก็เป็นพญาอสรพิษแปลงกายมา พญาอสรพิษมีดอกบัวสีรุ้งเป็นเหมือนคู่ชีวิต พวกมันแม้จะไม่ได้ฝึกตนก็สามารถใช้เกล็ดของตัวเองต่อสู้ได้ไม่แพ้ผู้ฝึกตนเป็นเซียนแล้ว
ฉู่ชวิ๋นเพิ่งจะอยู่ในขั้นหลอมรวมลมปราณ ถึงแม้จะฝึกวิถีมังกรฟ้าเจ้าแห่งโลกาอยู่ แต่เขาก็อาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพญาอสรพิษ ถ้าเกิดอยู่ในดินแดนเซียน ฉู่ชวิ๋นจะถอยห่างแบบไม่ลังเล จะไปเสี่ยงตายเพื่อดอกบัวสีรุ้งมันก็ดูไม่ค่อยจะคุ้มค่าเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ เขาไม่อยากถอยและถอยไม่ได้ด้วย บางทีบนโลกใบนี้อาจมีดอกบัวสีรุ้งเพียงดอกเดียวก็ได้
“ฟ่ออออ!”
พญาอสรพิษเองก็ไม่พอใจเท่าไหร่ที่โดนฉู่ชวิ๋นมองข้าม มันส่งเสียงออกมา ก่อนจะอ้าปากหมายจะกลืนฉู่ชวิ๋นลงไปทั้งตัว ฉู่ชวิ๋นก็เลยรีบถือโอกาสหลบหนีทันที
“ปังงงง!”
กะโหลกศีรษะอันมหึมาของมันพุ่งเข้าชนพื้นจนแตกออก เศษเล็กเศษน้อยกระเด็นปลิวว่อน
ฉู่ชวิ๋นแฉลบตัวหลบไปยังทางด้านซ้ายข้างหัวพญาอสรพิษก่อนจะซัดเข้าไปจัง ๆ หนึ่งหมัด
“ปึกก!”
พลังลมปราณพุ่งออกจากหมัดของเขา ก่อนจะถอยกลับออกมา พญาอสรพิษร้องด้วยความเจ็บปวด ส่วนหัวขนาดใหญ่ไปชนเข้ากับเสาหินจนแตกละเอียด
ฉู่ชวิ๋นสะบัดแขนตัวเองสองสามทีเพื่อผ่อนคลาย พลังที่เขาใช้ไปเมื่อครู่เพียงแค่ทำให้หัวขนาดใหญ่ของมันขยับไปมาเท่านั้น
“ฟ่ออออ!”
พญาอสรพิษโมโหจัด มันคิดไม่ถึงว่าเม็ดถั่วเขียวเล็ก ๆ จะทำให้บาดเจ็บได้ มันสะบัดหัวทำให้เสาหินที่ขวางอยู่ล้มระเนระนาดราวกับรถตักดินแล้วพุ่งเข้าหาฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นแผ่จิตสังหารออกมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวไปรอบตัวของพญาอสรพิษนั้นเป็นวงอย่างรวดเร็ว
“ปึก… ปึก….”
แต่ละหมัดที่ซัดใส่พญาอสรพิษราวกับเสียงทองที่กระทบกับเงิน พลังป้องกันของพญาอสรพิษตัวนี้ช่างน่ากลัวซะจริง ๆ แต่ละหมัดที่ซัดออกไปนั้น มีผลแค่ทำให้ร่างของพญาอสรพิษเซไปกระแทกกับเสาหินเท่านั้น
การกระทำของฉู่ชวิ๋นมีแต่จะทำให้พญาอสรพิษนั้นโมโหขึ้นมา มันคำรามออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนร่างขนาดยักษ์จะกลิ้งไปทางฉู่ชวิ๋น เสาหินล้มพัง พระราชวังใต้ดินสั่นไหว ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไปพระราชวังใต้ดินจะต้องพังลงมาแน่ ๆ ฉู่ชวิ๋นพยายามคิดไตร่ตรองจนหน้าผากย่น
ถึงแม้พญาอสรพิษจะน่ากลัว แต่มันยังไม่เคยฝึกฝนใด ๆ และมันใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังใต้ดินมาอย่างยาวนาน ทำให้ไม่เคยมีคู่ต่อสู้มาก่อนมันขาดทักษะการต่อสู้อยู่มาก
ร่างของฉู่ชวิ๋นวูบวาบ เขาเคลื่อนไหวจากด้านใต้ร่างของพญาอสรพิษแล้วไปอยู่ที่ด้านหน้าของดอกบัวสีรุ้งเจ็ดสีอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเด็ดดอกบัวสีรุ้งอย่างช้า ๆ ดอกบัวสีรุ้งเป็นสมุนไพรวิญญาณ การจะเด็ดมันต้องใช้วิธีพิเศษ คนธรรมดาที่ไปเด็ดแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้ฤทธิ์ของมันหายไปมาก พอได้ดอกบัวสีรุ้งมา ฉู่ชวิ๋นก็รีบพุ่งตรงออกไปยังประตูทางออกของพระราชวังใต้ดินทันที
แผนการที่สามสิบหก หนีให้ไว
พลังของเขาตอนนี้มันไม่เพียงพอ ขืนดันทุรังสู้ต่อแบบนี้คงไม่ไหว ต้องรอให้เขาบรรลุอีกขั้นหนึ่งก่อน
“ฟ่อ!”
ดอกบัวสีรุ้งถือเป็นเหมือนคู่ชีวิตของพญาอสรพิษเลยก็ว่าได้ ในตอนนี้กลับโดนฉู่ชวิ๋นเด็ดไปก็ทำให้พญาอสรพิษโกรธจัด
ร่างของมันพันขึ้นไปบนเสาหิน ก่อนจะพุ่งเข้าหาฉู่ชวิ๋นอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเทียบเรื่องความเร็ว พญาอสรพิษยังถือว่าช้าไป ฉู่ชวิ๋นยิ้มออกมา แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มลงทันทีเพราะไม่รู้ว่าประตูหินโบราณที่ลึกลับปิดลงไปตอนไหน ฉู่ชวิ๋นโมโหจนแทบกระอักเลือด
ด้านหน้าเป็นประตูที่ปิดตาย ด้านหลังเป็นพญาอสรพิษ ฉู่ชวิ๋นกัดฟันกรอด ก่อนจะรีบเคลื่อนไหวไปยังด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว พญาอสรพิษก็ยังตามอย่างไม่ลดละ
ฉู่ชวิ๋นเคลื่อนไหวไปตามพระราชวังใต้ดินเรื่อย ๆ ในใจก็แอบคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่ ๆ และในเวลานี้เอง ดวงตาของฉู่ชวิ๋นก็เป็นประกายขึ้นมาเพราะเขาเห็นว่าด้านหน้ามีห้องอยู่
“ปัง!”
ฉู่ชวิ๋นเพิ่งจะเข้าไปในห้องหิน ไม่ทันได้สังเกตรอบ ๆ พญาอสรพิษก็ตามมาแล้ว แต่พญาอสรพิษนั้นเข้ามาไม่ได้ ทำได้แค่ใช้หัวฟาดประตูหินอยู่ด้านนอก แต่ฉู่ชวิ๋นยังไม่หายตกใจ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ประตูหินต้องพังลงมาแน่ ๆ
โชคยังดีที่ประตูแค่สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
“ปัง ปัง ….”
พญาอสรพิษโกรธจัด พร้อมกับชนประตูหินนั้นอย่างไม่คิดชีวิต
ไม่รู้ว่าประตูของห้องนี่ทำจากอะไร ถึงได้สามารถทนแรงของพญาอสรพิษแบบนี้ได้ พอพญาอสรพิษเห็นว่าไม่สามารถเข้าไปในห้องหินได้ ก็กลับออกไประบายอารมณ์กับเสาหินพวกนั้น มันล้มระเนระนาดจนน่ากลัว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ข้างนอกถึงสงบลง ฉู่ชวิ๋นได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วสำรวจบริเวณรอบ ๆ ห้องนี้กว้างประมาณร้อยตารางเมตร ด้านในค่อนข้างจะโล่ง มีชั้นวางหนังสืออยู่ข้างกำแพงด้านบนก็มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ตรงกลางมีแท่นหินหนึ่งที่มีเบาะนั่งอยู่ด้านบน น่าจะเป็นที่ ที่ใช้ในการฝึกตน ที่เตะตาที่สุดคงจะเป็นรูปปั้นเหยี่ยวบนผนังที่แผ่จิตสังหารออกมาราวกับมันมีชีวิต
ฉู่ชวิ๋นสำรวจอย่างละเอียด ภาพสลักอันแรกเป็นชายหนุ่มท่านหนึ่ง ที่ไม่ตั้งใจจะเข้ามาในถ้ำแห่งนี้จนทำให้เขาได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง
ภาพที่สองเป็นหนุ่มคนเดิมกำลังฝึกฝนนั่งสมาธิ
ภาพที่สามเป็นภาพของราชาที่เรียกให้หนุ่มคนนั้นเข้าไปหา
ฉู่ชวิ๋นดูจบก็ถอนหายใจออกมา จริง ๆ แล้วเขาคิดผิดไปนี่เอง พระราชวังใต้ดินแห่งนี้โดนทิ้งร้างมาตั้งนานแล้ว
ภาพที่สลักบนหินบ่งบอกได้อย่างชัดเจน ว่าหนุ่มคนนั้นบังเอิญเจอเข้ากับหนังสือที่สามารถฝึกตนได้ ก่อนจะประสบความสำเร็จเล็ก ๆ ไปเตะตาพระราชาเข้า ก่อนเขาจะสกัดยาให้พระราชา แต่ไม่รู้เพราะอะไรพอพระราชาทานยานั้นเข้าไปก็ตายอย่างฉับพลัน หนุ่มคนนั้นก็เลยโดนตามฆ่าจน ต้องเข้ามาหลบอยู่ในนี้จนตายไปในที่สุด ฉู่ชวิ๋นเดินตรงไปยังชั้นวางหนังสือ เขาใช้มือปัดฝุ่นหนา ๆ นั้นออกและก็เห็นตำราสองเล่มและดาบเล่มหนึ่ง ฉู่ชวิ๋นมองไปยังตำราเล่มหนึ่ง หน้าปกมีคำว่า วิชาเซียน เขียนเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นย่นคิ้วก่อนจะยื่นมือไปหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นมา เปิดดูได้เพียงสองถึงสามหน้าเขาก็ปิดมันลงเสียงดัง ปึก!
ไอ้เรื่องแบบนี้มันไม่น่าเชื่อเลยสักนิด เนื้อหาด้านในถูกเขียนขึ้นอย่างลวก ๆ เท่านั้น…มือทั้งสองข้างของฉู่ชวิ๋นขยี้จนมันกลายเป็นผง
ของพวกนี้เขาไม่สนใจ ให้เขาเขียนตำราขึ้นมาแบบมั่ว ๆ ยังจะดีกว่านี้อีก ฉู่ชวิ๋นหยิบอีกเล่มหนึ่งขึ้นมา เนื้อหาด้านในเป็นประสบการณ์ของหนุ่มคนนั้นและเรื่องจุกจิกในชีวิต
เรื่องประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกตนฉู่ชวิ๋นขี้เกียจจะสนใจ ก็เลยพลิกไปจนถึงด้านหลัง ในที่สุดสมุดบันทึกเล่มนี้ก็ดึงดูดความสนใจฉู่ชวิ๋นจนได้
มันเขียนไว้ว่า ในตอนที่สร้างพระราชวังใต้ดินนี้ได้มีการพบไข่ประหลาดใบหนึ่ง ที่ผิวด้านนอกเรียบเงาวับและเปลือกแข็งจนไม่อาจทุบได้
ฉู่ชวิ๋นปรายตามองไปด้านนอก ถ้าเดาไม่ผิดละก็ ไข่ใบนั้นจะต้องเป็นพญาอสรพิษตัวนี้แน่ ๆ ฉู่ชวิ๋นหันกลับเข้ามา ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับดาบเล่มนั้นแล้วส่งเสียงที่สงสัยออกมา
“หืม?” เขายื่นมือไปหยิบมันขึ้นมา มีคลื่นลมปราณไหลเวียนอยู่รอบดาบ
“อาวุธเซียน!” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ ดาบเล่มนี้สร้างจากไม้ดำ ความแข็งนับว่ายอดเยี่ยม มีพลังแฝงด้านใน ตัวดาบส่งแสงแวววับออกมา
“ฉึบ!”
ดาบไม้นั้นแทงเข้าไปในผนังหินราวกับแทงลงบนก้อนเต้าหู้
ฉู่ชวิ๋นดึงดาบไม้กลับมา สีหน้าบ่งบอกถึงความดีใจเล็ก ๆ ดาบไม้นี่ไม่ใช่อาวุธเซียนจริง ๆ แค่เหมือนเท่านั้น แต่ฉู่ชวิ๋นก็มีวิธีทำให้มันกลายเป็นอาวุธเซียนที่แท้จริงได้
การมาครั้งนี้ถือได้ว่าไม่เสียเปล่า แค่ได้ดอกบัวสีรุ้งเจ็ดสีมาก็คุ้มค่าแล้ว ตอนนี้ด้านนนอกมีพญาอสรพิษอยู่ เขาเลยยังออกไปไม่ได้ ฉู่ชวิ๋นเอาดอกบัวสีรุ้งออกมา สีหน้าแสดงถึงความดีใจอย่างมาก
ก่อนจะออกไปเขาต้องฝึกฝนจนบรรลุขั้นต่อไปให้ได้ถึงจะมีโอกาสเอาชนะพญาอสรพิษ ดอกบัวสีรุ้งเจ็ดสีประกายแสงแวววับ ฉู่ชวิ๋นปาดนิ้วลงไป ครึ่งหนึ่งของใบก็หลุดลอยล่องขึ้นไปอากาศส่งกลิ่นยาที่ยั่วยวนคนออกมา
เขาปาดนิ้วลงไปเรื่อย ๆ จนครบเจ็ดใบ แต่ว่าแต่ละใบลอยอยู่กลางอากาศอย่างน่ามหัศจรรย์ แต่ละใบเป็นเพียงครึ่งเดียวของดอกบัวเท่านั้น ฉู่ชวิ๋นไม่อยากใช้มันทั้งหมดในครั้งเดียว
เขาอ้าปากก่อนจะสะบัดมือให้ทั้งเจ็ดใบนั้นลอยเข้าไปในปาก พอยาเข้าไป ตัวของฉู่ชวิ๋นก็เปล่งแสงเจ็ดสีออกมา ยากำลังออกฤทธิ์อยู่ในร่างกายของเขา หน้าอกของฉู่ชวิ๋นขยับขึ้นลง มันกำลังดูดซับพลังของดอกบัว
ผ่านไปวันหนึ่งแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็ยังคงฝึกตนวิชาต่อไป
สามวัน!
ห้าวัน!
ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม ๆ แต่ฉู่ชวิ๋นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา
กระทั่งถึงวันแรกของเดือนที่สอง ฉู่ชวิ๋นก็ลืมตาขึ้นมา ร่างกายเขาราวกับกำลังอาบทองคำ ร่างกายเปล่งประกายแสงสีทองออกมา เพียงแค่เขาตะโกนออกมาก็ทำให้พระราชวังใต้ดินสั่นไหว
“พลังลมปราณเต็มเปี่ยมเลย!”
ฉู่ชวิ๋นรับรู้ได้ถึงพลังในร่างกายตัวเอง มันแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า! มือเขาจับดาบแน่น ก่อนจะพุ่งออกจากห้องหินนั้น พลังการฝึกฝนของเขาก้าวหน้ามาอีกขั้นแล้วแถมยังมีดาบไม้นี่ การจัดการกับพญาอสรพิษก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
“ฟ่อออ!”
เป็นเสียงของพญาอสรพิษดังขึ้นมาทันที
ฉู่ชวิ๋นพุ่งไปตามต้นเสียงไม่ถึงสามลมหายใจเขาก็ถึงตัวเป้าหมายแล้วแต่ฉู่ชวิ๋นก็แปลกใจเล็กน้อย เวลาเพียงเดือนกว่า ๆ พญาอสรพิษกลับมีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
พอเห็นฉู่ชวิ๋น พญาอสรพิษมันก็อยากจะชูหัวขึ้นมา แต่ชูขึ้นได้เพียงไม่กี่เซ็นต์ก็ตกลงมาจนฝุ่นบนพื้นฟุ้งกระจาย ตอนนี้มันอ่อนแอมาก ฉู่ชวิ๋นรีบถือโอกาสนี้ สะบัดดาบในมือขึ้นแล้วฟันลงไป
“ตึงงง!”
ยังคงเป็นเสียงทองที่กระทบกับเงินเหมือนเดิม แต่เกล็ดปลาของมันกลับโดนดาบฟันจนตกลงมา พญาอสรพิษดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสีแดงดวงใหญ่จ้องมองมาที่ฉู่ชวิ๋นราวกับกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
ฉู่ชวิ๋นหยุดคิดอยู่พักหนึ่ง เขารู้แล้วว่าทำไมพญาอสรพิษถึงอ่อนแอขนาดนี้ พญาอสรพิษกับดอกบัวสีรุ้งเป็นเหมือนคู่ชีวิตที่เกิดมาด้วยกัน ตอนนี้ดอกบัวสีรุ้งโดนเขาเด็ดมาแล้ว พอพญาอสรพิษไม่มีพลังของดอกบัวสีรุ้งแล้วก็เลยเริ่มอ่อนแอลง
พอเห็นแบบนี้ ฉู่ชวิ๋นก็คิดไตร่ตรองว่าควรเอาดอกบัวสีรุ้งที่เหลืออยู่อีกครึ่งช่วยพญาอสรพิษดีหรือเปล่า?
“ถ้าฉันช่วยแกแล้ว แกจะยอมไปกับฉันไหม?” ฉู่ชวิ๋นถามขึ้นมา เขารู้ว่าพญาอสรพิษจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ถึงแม้จะไม่ได้ฝึกฝน แต่การที่มีพลังขนาดนี้ พญาอสรพิษก็น่าจะมีความฉลาดอยู่บ้าง
เป็นไปตามคาดเพราะหัวใหญ่ ๆ ของมันนั้นขยับเล็กน้อย ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจเดิมพันสักครั้งหนึ่ง ถ้าเก็บพญาอสรพิษไว้จะต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีแน่ ๆ เขาเอาดอกบัวสีรุ้งอีกครึ่งออกมา ใช้พลังปลุกฤทธิ์ยาก่อนจะโยนเข้าปากพญาอสรพิษ
เดิมทีพญาอสรพิษก็เป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของดอกบัวสีรุ้งอยู่แล้ว แถมฤทธิ์ยายังโดนฉู่ชวิ๋นปลุกขึ้นมาอีก พอเข้าไปในปากก็เลยออกฤทธิ์ทันที
สายตาที่อ่อนแอของพญาอสรพิษสว่างขึ้นมาอีกครั้ง บนตัวเปล่งแสงเจ็ดสีและแผ่พลังออกมารอบตัว
“ฟ่อออ!” พญาอสรพิษชูหัวขึ้นขู่ครั้งหนึ่ง
ฉู่ชวิ๋นที่ได้ยินเสียงมันแข็งแรงก็ดีใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ประมาท ในมือเขายังจับดาบไว้แน่นพร้อมต่อสู้ตลอดเวลา เพราะยังไงพญาอสรพิษก็ยังเป็นสัตว์อยู่วันยังค่ำ จะเชื่อฟังง่าย ๆ ได้ยังไงกัน
คอมเม้นต์