จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) – บทที่ 142 ทางเลือกระหว่างความเป็นกับความตาย[รีไรท์]

อ่านนิยายจีนเรื่อง จักรพรรดิเซียนหวนคืน 仙帝归来 ตอนที่ 142 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 142 ทางเลือกระหว่างความเป็นกับความตาย[รีไรท์]

คลื่นพลังแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ฉู่ชวิ๋นกำลังยืนอยู่กลางคฤหาสน์ คลื่นพลังของเขาสามารถแพร่กระจายออกไปได้เป็นรัศมีหลายพันเมตร

แต่เมื่อมีพ่อแม่ของเขามาเกี่ยวข้องด้วย ฉู่ชวิ๋นจึงจำเป็นต้องลงมือด้วยความระมัดระวัง

แต่หลังจากนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายเย็นลง ซึ่งทำให้หัวใจของทุกคนกระตุกวูบ

ไม่ว่าเป็นใครต่างก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

เส้นไหมวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบกายฉู่ชวิ๋น เหมือนกับฝูงงูขาวที่สวยงามและอันตราย

ฉู่ชวิ๋นหันหน้าไปมองหลิวไป๋เฟิงและถามว่า “พ่อแม่ของผมอยู่ที่ไหน?”

เสียงของเขาราบเรียบ ราบเรียบจริง ๆ คนได้ฟังหวาดหวั่นในใจ

หลิวไป๋เฟิงสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที เขาพยายามหลบสายตา ดวงตาของเขาซ่อนความแค้นและความกลัวเอาไว้

ฉู่ชวิ๋นดีดพลังจากปลายนิ้วก้อยพุ่งใส่กำแพงหิน นี่คือการลงมือที่รวดเร็วและเงียบงัน พลังของเขาที่ปล่อยออกไปกระแทกเข้ากับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกใช้ตกแต่งอยู่ในสวนข้างคฤหาสน์

โครม!

ก้อนหินขนาดเท่ากับโต๊ะกินข้าวก้อนหนึ่งระเบิดตัวเป็นผุยผงทันที

ทุกคนได้แต่จ้องมองอย่างสะเทือนขวัญ!

ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นอีกครั้ง เส้นไหมวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้ลอยวนเวียนอยู่อีกแล้ว แต่มันรวมตัวเป็นเส้นตรง กลายเป็นหอกจำนวนหลายเล่มที่กำลังชี้ไปยังคนของตระกูลหลิว

คนตระกูลหลิวหวาดกลัวจนแทบขาดใจตายแล้ว คนอื่น ๆ ส่งเสียงร้องด้วยความหวาดผวา ก้อนหินก้อนใหญ่ขนาดนั้นยังแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี ถ้าเปลี่ยนจากก้อนหินกลายเป็นตัวพวกเขาเอง ก็นับว่าคงไม่มีหวังรอดชีวิตอีกแล้ว

ทั้งหมดได้แต่หันหน้ามองไปยังหลิวไป๋เฟิงอย่างมีความหวัง

หลิวไป๋เฟิงกัดฟันกรอด ดวงตาเย็นชา พูดว่า “ฉู่ชวิ๋น นายอยากจะเป็นกบฏใช่ไหม?”

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ ถามกลับไปว่า “กบฏงั้นเหรอ? กบฏอะไรกันไม่ทราบ นี่ประเทศจีนเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศหลิวตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ประเทศจีนไม่ใช่ประเทศหลิวก็จริง แต่ประเทศจีนคงไม่มีวันนี้ถ้าบรรพบุรุษตระกูลหลิวไม่เสียสละอย่างใหญ่หลวง ตั้งแต่โบราณกาล หัวหน้าตระกูลหลิวติดตามแม่ทัพใหญ่ออกศึกฆ่าฟันศัตรู ยอมหลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินเกิด สุดท้ายก็ตายเพื่อประเทศชาติ หัวหน้าหมายเลข 1 เคยพูดเอาไว้ด้วยซ้ำว่าประเทศจีนเกิดขึ้นมาได้เพราะคนตระกูลหลิว คฤหาสน์หลังนี้ถูกมอบให้กับตระกูลหลิวเป็นหลังแรกจากแม่ทัพใหญ่ เช่นเดียวกับป้ายโลหะบนประตูที่ท่านผู้นำเป็นคนมาติดให้เอง ยิ่งไปกว่านั้น นายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนจีนคนสำคัญคนหนึ่ง กลับพยายามจะฆ่าลูกหลานของบิดาผู้ก่อตั้งประเทศ แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าพยายามก่อการกบฏ แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?” หลิวไป๋เฟิงพูดได้น้ำไหลไฟดับอย่างน่าประทับใจอย่างยิ่ง

ฉู่ชวิ๋นต้องยอมรับจริงๆ ว่าหลิวไป๋เฟิงมีความสามารถในด้านการพูดเป็นอย่างสูง ทุกถ้อยคำของเขาที่พูดออกมาล้วนแล้วแต่มีพลัง ทำให้คนฟังรู้สึกหัวใจฮึกเหิม และปลุกเร้าอารมณ์เดือดดาลของบรรดาคนหนุ่มในตระกูลหลิวขึ้นมาแล้ว

“ฉู่ชวิ๋น ไสหัวออกไปจากตระกูลหลิวเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มอายุ 20 กว่าปีคนหนึ่งตะโกนขึ้น เขามีหน้าตาหล่อเหลา กำลังจ้องมองมายังฉู่ชวิ๋นเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ไสหัวไปซะ พวกเราคือบิดาผู้ก่อตั้งประเทศ เราจะไม่ยอมถูกรังแก ถ้านายแน่จริงก็เข้ามาฆ่าฉันเลยสิ” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก้าวเดินออกมาข้างหน้าและจ้องมองฉู่ชวิ๋นไม่ละสายตา

“เราจะจับมันไปขึ้นศาลทหาร คนตระกูลหลิวของเราเป็นนายพลไม่รู้อยู่ตั้งกี่คน ถ้ามันพยายามขัดขืนอีก เราจะเรียกกองทัพมาจัดการ ดูซิว่ามันจะรอดไปได้สักกี่น้ำ” ใครบางคนตะโกนขึ้น

……

……

ในขณะนี้ คนของตระกูลหลิวถูกพูดกระตุ้นปลุกเร้าจนหัวร้อนขึ้นมาแล้ว

ฉู่ชวิ๋นเป็นคนใจเย็นมาตลอด ริมฝีปากของเขาบิดตัวเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย แต่ตอนที่เขากำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น

มันเป็นเบอร์โทรศัพท์แปลกหน้า ฉู่ชวิ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายทันที

“ผู้อาวุโส…” เสียงที่นุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น

ในหัวของฉู่ชวิ๋นปรากฏภาพของหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่สวมใส่หูกระต่ายปลอมคนหนึ่งขึ้นมาในฉับพลัน

แต่สิ่งที่ฉู่ชวิ๋นสงสัยก็คือ กระต่ายหยกโทรมาหาเขาทำไมกัน

“ผู้อาวุโสจำเบอร์โทรศัพท์ที่ขอให้ฉันตรวจสอบดูได้ไหมคะ?” กระต่ายหยกถาม

“จำได้สิ” ฉู่ชวิ๋นตอบทันที

“ผู้อาวุโสคะ ฉันพบว่าเจ้าของเบอร์โทรศัพท์นั้นก็คือหลิวเจี่ยเฟย เขาคือคนที่ติดต่อกับพวกหมาป่าทองคำ และฉันก็ยังพบอีกด้วยว่าหลิวเจี่ยเฟยเป็นคนของตระกูลหลิวที่อยู่ในเมืองหลวง…”

กระต่ายหยกพูดมาแล้วไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไรเลย จึงรีบถามทันทีว่า “ผู้อาวุโสยังฟังอยู่หรือเปล่าคะ?”

“ฟังอยู่ เธอช่วยเอาไปบอกกับหัวหน้าหมายเลข 1 ด้วยนะ” ฉู่ชวิ๋นบอกเบาๆ

“ได้เลยค่ะ” กระต่ายหยกรีบตอบเขาทันที

“ดีมาก เอาไว้เสร็จเรื่องเมื่อไหร่ฉันจะเชิญเธอมาทานมื้อค่ำด้วยกัน” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง ก่อนจะกดวางสายไป ดวงตาดำขลับของเขาเป็นประกายดุร้ายขึ้นมาแล้ว

“ผู้อาวุโสบอกว่าจะเชิญฉันไปทานมื้อค่ำด้วยล่ะ” กระต่ายหยกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์ กดวางสายไปพร้อมกับมีรอยยิ้มเบิกบานบนใบหน้า

ฉู่ชวิ๋นตวัดสายตามองไปยังบรรดาคนหนุ่มของตระกูลหลิว ที่กำลังส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกขับไล่เขา

ฟุบ!

เส้นไหมวิญญาณพุ่งออกไปทะลุแขนของคนหนุ่มเหล่านั้น ส่งเลือดสาดกระจายในอากาศ

“อ๊าก…”

นี่คือเสียงร้องโหยหวนของหนุ่มหล่อคนแรกที่เอ่ยปากขับไล่ฉู่ชวิ๋นให้ออกไปจากตระกูลหลิว

ฟุบ!

เส้นไหมอีกหลายเส้นพุ่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา หัวไหล่หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายหนุ่มหล่อ ก็ถูกพันธนาการจนหมดสิ้น

ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ต้องการชีวิตของชายหนุ่มคนนี้ ตำแหน่งที่เส้นไหมบีบรัดลงไปไม่ใช่จุดตาย แต่มันจะทำให้ชายหนุ่มคนนี้เจ็บเจียนตาย

ใบหน้าที่หล่อเหลาของชายหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดอย่างน่ากลัว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของเขาทำให้บรรดาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ถึงกลับหดหัวกลับไปทันที

ฉู่ชวิ๋นกวาดตามองโดยรอบ บรรดาคนหนุ่มหัวร้อนที่ตะโกนขับไล่เขาอยู่เมื่อสักครู่นี้ บัดนี้ได้แต่ยืนก้มหน้าตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เนื่องจากหนุ่มหล่อผู้ถูกฉู่ชวิ๋นเล่นงานกำลังลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ไม่มีใครอยากจะพบชะตากรรมแบบนั้น ความหัวร้อนของพวกเขาจึงสลายหายไปทันที

ฉู่ชวิ๋นหันกลับมามองหน้าหลิวไป๋เฟิงอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ผมจะนับถึง 3  ถ้าคุณไม่ยอมบอก ก็อย่ามาโทษผมแล้วกัน ชีวิตของคนในตระกูลคุณ อยู่ในมือของคุณแล้ว”

เมื่อพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย เส้นไหมวิญญาณของเขาพุ่งออกไปรัดพันลำคอสมาชิกของคนในตระกูลหลิวอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 50 คนในเวลาเดียวกัน

“หนึ่ง”

คนตระกูลหลิวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว กลิ่นเหม็นชวนอาเจียนฟุ้งในอากาศ บางคนหวาดกลัวถึงกับอุจจาระราด บางคนหวาดกลัวจนร้องไห้ แต่ก็ไม่มีเสียงร้องไห้ดังออกมา เพราะว่าเส้นไหมวิญญาณรัดพันลำคออยู่นั่นเอง ทุกคนตัวเย็นเฉียบ ไม่มีใครติดใจสงสัยในอานุภาพของเส้นไหมอีกแล้ว

หลิวไป๋เฟิงมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปในพริบตา ก่อนจะร้องคำรามว่า “ฉู่ชวิ๋น แกอยากจะเป็นกบฏจริงๆ ใช่ไหม!”

“สอง”

ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชา เสียงของเขาก็เยือกเย็นไม่แพ้กัน

“ฉู่ชวิ๋น…” หลิวไป๋เฟิงกำลังจะอ้าปากพูด ก็ถูกคนในตระกูลหลิวด้วยกันเองขัดขึ้นเสียก่อนว่า

“พี่ใหญ่ นี่มันหมายความว่าไง? พี่จะยืนดูพวกเราถูกฆ่าตายจริงๆ เหรอ?”

คนพูดก็คือหลิวไป๋ซาน น้องชายของหลิวไป๋เฟิงเอง

“มันไม่กล้าฆ่านายหรอก” หลิวไป๋เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ไม่กล้างั้นเหรอ” ถึงแม้ว่าหลิวไป๋ซานจะมีสถานะเป็นน้องชายก็จริง แต่สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ดวงตาของเขาเบิกโตอย่างไม่พอใจ ในขณะที่แผดเสียงใส่ผู้เป็นพี่ชายว่า “หลิวไป๋เฟิง ขอบใจนะที่พูดออกมา แต่ในเมื่อแกเป็นคนทำเรื่องชั่วพวกนั้นไว้ แล้วทำไมพวกฉันต้องเดือดร้อนไปด้วยล่ะ”

ทุกสายตาจับจ้องมองหลิวไป๋เฟิงเป็นตาเดียวกัน ทำไมจะไม่มีใครรู้ถึงความอำมหิตของฉู่ชวิ๋น เขาสามารถฆ่าคนได้ตาไม่กะพริบ ดูท่าทางแล้วหลิวไป๋เฟิงคงอยากจะให้พวกเขาตายไปจริง ๆ

ไม่มีใครเชื่อว่าฉู่ชวิ๋นจะไม่กล้าลงมือ คนในตระกูลหลิวไม่เชื่อ พวกบอดี้การ์ดก็ไม่เชื่อ ไม่มีใครเชื่อทั้งนั้น แม้แต่คนของสำนักสวรรค์ฟ้าก็ยังลงไปนอนกลายเป็นศพ เลือดบนพื้นยังไม่ทันแห้งดีด้วยซ้ำ

“คุณลุงครับ คุณลุงอยากจะเห็นพวกเราตายจริงๆ เหรอ ผมยังไม่อยากตายนะ ช่วยผมด้วย…”

“พี่ใหญ่ บอกฉู่ชวิ๋นไปเถอะว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหน”

“หลิวไป๋เฟิง พวกแกพ่อลูกมันเป็นตัวชั่วช้า แกไม่รู้หรือไงว่าลูกชายตัวเองทำอะไรเอาไว้บ้าง”

หลายคนถึงกับตะโกนใส่หลิวไป๋เฟิงด้วยความโกรธแค้น

“สาม”

สีหน้าของฉู่ชวิ๋นยังคงเรียบเฉย ในดวงตาของเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ นอกจากความเฉยชาที่ไม่มีจุดจบสิ้น มือของเขายกขึ้นช้า ๆ ขอแค่เขาวางมือลงเพียงพริบตาเดียว เส้นไหมเหล่านั้นก็จะทะลุลำคอคนพวกนั้นไปได้อย่างง่ายดาย

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด