จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) – บทที่ 34 อันดับ 1 ของการจัดอันดับนักฆ่า
บทที่ 34 อันดับ 1 ของการจัดอันดับนักฆ่า
พญาอสรพิษสมแล้วที่เป็นสัตว์ร้ายระดับสูง ไม่ว่าอะไรมันก็กล้ากิน คนธรรมดาเมื่อโดนมันกัดจนตายทันที ศิลารัตติกาลเหมันต์สำหรับมันก็แค่อาหารกินเล่น
“พญาอสรพิษ ของสิ่งนี้เป็นของสำคัญที่มีประโยชน์ต่อฉัน รอฉันกลับไปจะหาหยกระดับสูงให้แกกิน” ฉู่ชวิ๋นพูดปลอบโยนพญาอสรพิษ
พญาอสรพิษตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ต้องการอาหารจำนวนมาก พญาอสรพิษเลื้อยไปที่ฝ่ามือของฉู่ชวิ๋นอย่างไม่เต็มใจหลังจากนั้นก็หมุนตัวรอบข้อมือของเขา ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ แวบเดียวเงาของฉู่ชวิ๋นก็หายกลับไปที่เดิม ที่เดินเข้ามาครั้งแรก
พอกลับถึงห้อง ฉู่ชวิ๋นก็สร้างเขตแดนเล็ก ๆ เผื่อปิดกั้นพลังของศิลารัตติกาลเหมันต์ ถ้าไม่อย่างนั้นคนที่พักอยู่บริเวณรอบ ๆ จะได้รับผลกระทบจนเกิดอาการหลอนประสาทได้
ศิลารัตติกาลเหมันต์ ไม่ควรอยู่ในห้องแบบนี้นาน ๆ หรือว่าเขาควรสร้างแหวนมิติเลยดีนะ ฉู่ชวิ๋นสร้างเขตแดนที่ตัดขาดจากโลกภายนอกจะได้ไม่รบกวนคนอื่น จากนั้นเขาใช้ ค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยัน! ใช้เป็นไฟในการหล่อหลอมศิลารัตติกาลเหมันต์เพื่อสร้างเป็นแหวนมิติ
ที่พิเศษไปกว่านั้น คือของที่อยู่ในห้องนี้ไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย แสงไฟก็ไม่ได้ทะลุออกไปข้างนอก ศิลารัตติกาลเหมันต์ลอยไปมาอยู่กลางอากาศ ส่งกลิ่นอายความเยือกเย็นอันหนาวเหน็บออกมา
“จงแผดเผา!”
เสียงระเบิดดังขึ้น เปลวไฟกระทบกับศิลารัตติกาลเหมันต์ที่อยู่กลางอากาศ
ศิลารัตติกาลเหมันต์ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมโดนหลอมรวมง่าย ๆ กลิ่นอายอันหนาวเหน็บทะลักออกมาต่อต้านการโจมตีของเปลวไฟ
“ยอมซะดี ๆ เถอะ”
ฉู่ชวิ๋นพูดเสียงต่ำ และถ่ายเทพลังลมปราณลงไปในค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยัน เปลวไฟที่แผดเผาทุกสิ่งจู่โจมศิลารัตติกาลเหมันต์อย่างรวดเร็ว ฉู่ชวิ๋นไม่หยุดมือ เขาโคจรลมปราณถ่ายเทลงไปในค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยันไม่หยุด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ดูเหมือนว่าศิลารัตติกาลเหมันต์จะต้านทานพลังของเปลวไฟไม่อยู่ กลิ่นอายอันหนาวเหน็บก็เสื่อมคลายลง พอถึงช่วงสุดท้ายความรู้สึกอันหนาวเหน็บของศิลารัตติกาลเหมันต์ก็สลายหายไป สุดท้ายมันก็ถูกแผดเผาจนกลายเป็นของเหลว
ของเหลวพวกนี้รวมตัวและหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายเหลือเพียงแค่หนึ่งหยดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ
“จงแข็งตัว!”
ฉู่ชวิ๋นใช้นิ้วทั้งสิบกวัดแกว่งเพื่อสร้างเป็นยันต์ตราประทับ ของเหลวที่อยู่กลางอากาศเริ่มแปรเปลี่ยน สุดท้ายก็กลายเป็นแหวนวงหนึ่งที่เปล่งประกาย อย่างสว่างไสว ฉู่ชวิ๋นสร้างแหวนมิติเสร็จแล้วก็ขจัดค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยันให้หายไปและแหวนก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าของเขา
เขาหยิบแหวนมาสวมลงบนนิ้วมือของตัวเอง แหวนไม่เล็กไม่ใหญ่กำลังพอดีนิ้ว จากปลายนิ้วอีกข้างมีเลือดหยดออกมาหนึ่งหยดและหยดลงบนแหวน ตรงกลางของแหวนเปล่งประกายแวบหนึ่งนี่เป็นรอยประทับของฉู่ชวิ๋นเพื่อแสดงตัวตนว่าเป็นเจ้าของแหวนมิติวงนี้
ฉู่ชวิ๋นตั้งสติเชื่อมต่อกับแหวน พื้นที่ว่างของแหวนมิติพื้นที่ ห้าตารางเมตรนับว่าเป็นแหวนมิติระดับต่ำที่พอถู ๆ ไถ ๆ ไปได้ แหวนมิติสามารถเพิ่มพลังให้มันขยายใหญ่ขึ้นได้โดยการผสมเข้ากับวัสดุอื่น ๆ
“เก็บ”
เขาคิดในใจและพูดขึ้นมา ชุดชงชาที่อยู่บนโต๊ะดื่มชาชั่วพริบตาก็หายไปทันที สีหน้าของฉู่ชวิ๋นดูดีอกดีใจ เขาคิดในใจให้ “ออกมา” ชุดชงชาก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง ฉู่ชวิ๋นก็เก็บท่าทางดีอกดีใจไว้ สายตาปรากฏความเยือกเย็นอยู่แวบหนึ่ง ไม่นานเขาก็กระโจนออกมาผ่านหน้าต่างด้านนอกและมองอย่างเมินเฉยไปยังบนบ้านพัก
แสงจันทร์ดับลง มีเงาหนึ่งยื่นอยู่บนบ้านพัก ท่าทางของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความทะนงตัว ชายคนนี้อายุประมาณห้าสิบปี ร่างกายสวมใส่ชุดจีนโบราณสีขาวสมัยราชวงศ์ถัง ดวงตาทั้งสองข้างเหมือนเหยี่ยวเขาจ้องมองไปยังฉู่ชวิ๋น
ชั่วพริบตาเขาก็กระโดดลงมาจากบ้านพัก สายตาของฉู่ชวิ๋นปรากฏความแปลกใจอยู่แวบหนึ่ง
“พรึบ…..”
บ้านพักทำจากไม้สูงสองชั้นก็จริงแต่สูงกว่าสิบเมตรแต่อีกฝ่ายกลับกระโดดลงมาแบบไร้เสียง!
ฉู่ชวิ๋นสีหน้าปรากฏความรู้สึกสนใจ เมื่อตอนที่ชายคนนี้กระโดดลงมาพลังในร่างกายอีกฝ่ายก็ไหลเวียนโคจรตามร่างกายเหมือนใช้วิชาอะไรสักอย่าง
“วิชาตัวเบา” ในสมองของเขาทันใดนั้นก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมาได้ทันที
“ไม่ทราบว่าคุณ อยู่ในอันดับนักฆ่า อันดับที่เท่าไหร่?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างสนใจ
“แกรู้จักอันดับนักฆ่า ก็ยังนับว่ามีความรู้อยู่บ้าง” น้ำเสียงชายคนนี้ดังกังวานเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูสบาย ๆ บอกไม่ได้เลยว่าเขาอายุเท่าไรถ้าได้ยินแต่เสียง ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ ดอกบัวดำที่อันดับสิบ ในการจัดอันดับนักฆ่ายังตายด้วยน้ำมือของเขามาแล้ว มีคนเสนอราคาหนึ่งร้อยล้านบนเว็บมืดให้เอาชีวิตของเขาแถมภารกิจครั้งนี้ก็มีคนรับไปแล้ว
เขารอคนที่รับภารกิจนี้มาตลอด เพราะเขาอยากทำให้เจ้าผู้บงการที่ชอบหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังตกใจกลัวสักหน่อย
“อันดับหนึ่ง ในการจัดอันดับนักฆ่า ผ้านกวน!”
*ผ้านกวน (判官) หมายถึง ผู้พิพากษา
ผ้านกวนคืออันดับหนึ่ง ในการจัดอันดับนักฆ่าที่สามารถตัดสินความเป็นความตายได้!
ชายคนนี้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยท่าทางทะนงตัว สายตาจ้องมองฉู่ชวิ๋นอย่างหยอกล้อ ในเมื่อฉู่ชวิ๋นรู้เรื่องการจัดอันดับนักฆ่า งั้นก็ต้องรู้ว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหน
เมื่อก่อนเขาแค่เปิดเผยตัวตนออกมาก็ทำให้ศัตรูตกใจกลัวจนเป็นบ้าได้แล้ว เขากำลังรอสีหน้าที่ตกใจและหวาดกลัวของฉู่ชวิ๋น เขาชอบมองสีหน้าที่หวาดกลัว เขาชอบควบคุมความเป็นความตายของคนอื่น แต่น่าเสียดายที่สีหน้าของฉู่ชวิ๋นเมินเฉยตลอดเวลา ไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ผ้านกวน? งั้นแกตัดสินความเป็นความตายของผู้คนมาแล้วเท่าไหร่แล้ว” ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมา
“ฉันผ้านกวนคนนี้ไม่เคยปล่อยเหลือให้รอดไปได้ จนถึงตอนนี้ฉันฆ่าคนไปแล้วกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน!” ผ้านกวนพูดจบก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “ผ่านคืนวันนี้ไปก็คือคนที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสาม!”
“จำนวนที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนคือฉันเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“ก็ยังนับว่ารู้ตัวเองดี แกฆ่าตัวตายให้เรียบร้อยสิ จะได้ไม่ต้องให้ฉันลงมือ” ผ้านกวนมองอย่างเหยียดหยาม ตอนที่เขารับภารกิจ ระดับอันตรายของฉู่ชวิ๋นที่อยู่บนเว็บไม่ได้เขียนไว้ แต่จนถึงตอนนี้เขาไม่เห็นพลังเส้นชีพจรในตัวฉู่ชวิ๋นเลย ดูเหมือนว่าฉู่ชวิ๋นน่าจะฝึกวิชามวยทั่ว ๆ ไป ผ้านกวนสีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เขาเป็นถึงยอดฝีมือมานาน ไร้พลังจากเส้นชีพจรไม่คุ้มค่าที่เขาจะให้เขาลงมือเอง
“เกรงว่าบนโลกนี้จะไม่มีใครกล้าตัดสินความเป็นความตายของฉันได้” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเย่อหยิ่งและมองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยามพร้อมปล่อยพลังลมปราณออกมาล้อมรอบตัว
ผ้านกวนหวั่นเกรงเล็กน้อย เมื่อกี้พลังในร่างกายของฉู่ชวิ๋นทำให้เส้นชีพจรในร่างกายของเขาสับสนวุ่นวายอย่างคาดไม่ถึง
“คุยโม้โอ้อวดเกินไปแล้ว!” ผ้านกวนตะโกนออกมาเสียงดังและโคจรพลังเส้นชีพจรในร่างกายของเขาอย่างเต็มที่ เขาคิดจะกำจัดฉู่ชวิ๋นในกระบวนท่าเดียว
ฉู่ชวิ๋นมองไปยังผ้านกวนด้วยสายตาที่เย็นชา ฉู่ชวิ๋นมุมปากยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย นี่คือท่าทางเหยียดหยามที่แท้จริง ผ้านกวนไม่เคยพบเจอคนแบบนี้ เส้นชีพจรภายในร่างกายของเขาไม่ต่อเนื่องใช้พลังออกมาได้ไม่เต็มที่ แม้ว่าเสียงระเบิดพลังจะดังขึ้นแต่กลับมีเพียงแค่เขาและฉู่ชวิ๋นที่ได้ยิน คนอื่น ๆ ที่อยู่ในรีสอร์ตยังคงนอนหลับฝันดีตามปกติ
“ในเมื่อแกไม่ยอมฆ่าตัวตาย งั้นก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน ฉันจะให้แกได้ลิ้มลองความโหดเหี้ยมที่แท้จริง แม้แกจะไม่คู่ควรให้ฉันฆ่าก็ตาม!” พลังในร่างกายของผ้านกวนเพิ่มขึ้น เท้ากระแทกลงไปที่พื้น เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้น หญ้าก็เริ่มกระพัดกระพือ เขาพุ่งทะยานไปหาฉู่ชวิ๋นที่กำลังวาดนิ้วกลางอากาศ ลมจากฝ่ามือฉีกอากาศจนเกิดเสียงระเบิดออกมาดังลั่น พลังของผ้านกวนทำให้ผู้คนสั่นกลัวได้เลย
สายตาของฉู่ชวิ๋นเย็นชา ฉู่ชวิ๋นเริ่มโคจรลมปราณให้หญ้าที่อยู่ใต้เท้าพัดกระพือขึ้นมาปิดกั้นสายตาของผ้านกวน สีหน้าผ้านกวนเปลี่ยนไป ในใจตื่นตระหนก เขาไม่อาจรับรู้ถึงพลังจากเส้นชีพจรในร่างกายของฉู่ชวิ๋นได้เลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับรู้สึกถึงความอันตราย แต่ตอนนี้เขาถอยไม่ได้แล้ว ร่างกายระเบิดพลังออกมาหมายฆ่าในฝ่ามือเดียว!
“ฉึก!”
ฝ่ามือแหวกอากาศ ทันใดนั้นฉู่ชวิ๋นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ฝ่ามือที่รวดเร็วและดุดันของเขาโจมตีใส่อากาศที่ว่างเปล่า เขาโจมตีพลาด ผ้านกวนเป็นนักฆ่ามานานปฏิกิริยาตอบสนองย่อมต้องรวดเร็ว เขาหันกลับไปมองในทันที เขาเห็นฉู่ชวิ๋นอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังของเขาและมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
ผ้านกวนเริ่มตื่นตระหนก เพราะแบบนี้ข้อมูลระดับความอันตรายของฉู่ชวิ๋นเลยไม่ได้เขียนลงไป เพราะมันอันตรายจนไม่อาจวัดได้สินะ!
“ฉันบอกแล้วว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครสามารถตัดสินความเป็นความตายของฉันได้” พอสิ้นเสียงที่พูดออกมา สักพักร่างกายของฉู่ชวิ๋นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยและมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผ้านกวนอีกครั้งก่อนชกหมัดออกมาทันที
สีหน้าของผ้านกวนเปลี่ยนไปเขาใช้แขนทั้งสองข้างป้องกันหมัดของฉู่ชวิ๋น เส้นชีพจรภายในเต้นอย่างบ้าคลั่งแขนทั้งสองข้างนูนขึ้นมาเหมือนเติมลูกโป่ง
“ปัง!”
แขนทั้งสองข้างของผ้านกวนแทบระเบิด หมัดนี้หนักแน่นราวหินผา เพราะมันเต็มไปด้วยพลังลมปราณของฉู่ชวิ๋น เสื้อผ้าของผ้านกวนระเบิดกลายเป็นเศษชิ้นเล็กในชั่วพริบตาต่อมาก็คือแขนทั้งสองข้าง
“แกร๊ก ๆ….”
เสียงของกระดูกแตกดังขึ้น!
ร่างกายผ้านกวนลอยไปไกลหลายเมตร เขาพยายามขยับตัวแต่ไม่นานสายตาก็เริ่มว่างเปล่าลมหายใจค่อย ๆ ดับหายไป
แขนทั้งสองข้างของเขาถูกฉู่ชวิ๋นโจมตีจนแหลกละเอียด พลังหมัดทะลุผ่านหน้าอกของเขา แม้แต่ตับไตไส้พุงก็ถูกทำลายจนแหลกสลาย
อันดับหนึ่ง ของการจัดอันดับนักฆ่าถูกโจมตีตายในหมัดเดียว!!
คนที่จิตใจฮึกเหิม ท่าทางทะนงไร้คู่ต่อสู้ ตอนนี้กลับกลายเป็นศพที่แข็งกระด้าง ฉู่ชวิ๋นลดหมัดลง สายตามองศพอย่างเย็นชาและหายตัวกลับเข้าไปในห้อง เขาไม่เผาทำลายศพของผ้านกวน
รอพรุ่งนี้มีคนมาพบ ผู้อยู่เบื้องหลังก็จะได้รู้ข่าวการตายของผ้านกวนเองที่เขาทำแบบนี้ ก็เพราะต้องการทำให้ผู้อยู่เบื้องหลังตกใจกลัว บางทีพ่อแม่ของเขาอาจตกอยู่ในมือของผู้อยู่เบื้องหลัง เขาอยากให้อีกฝ่ายหวาดกลัว ไม่กล้าลงมือจัดการพ่อแม่ของเขาง่าย ๆ
ผ้านกวนที่โชคร้ายตายไป ไม่รู้ตัวเลยว่าการตายของเขาเป็นเพียงแค่การเชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น เช้าตรู่ ฉู่ชวิ๋นที่กำลังฝึกตนก็อยู่ถูกเสียงดังโวยวายทำให้ตกใจตื่นจากการฝึกตน
ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นมาเดินไปทางหน้าต่างและมองออกไปก็เห็นคนที่สวมชุดกู้ภัยนำศพของผ้านกวนขึ้นรถกู้ภัยไปพอดี ฉู่ชวิ๋นยิ้มเบา ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ก๊อก ก๊อก….”
เสียงเคาะประตูที่ถูกเคาะถี่ ๆ
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นเปลี่ยนไปทันที เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและเดินไปเปิดประตู เป็นถางโร้วที่มีสีหน้าร้อนใจวิตกกังวลยื่นอยู่ด้านนอก
พอเห็นฉู่ชวิ๋น ถางโร้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “พี่ฉู่ชวิ๋น พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“พี่ไม่เป็นไรอยู่แล้ว!” ฉู่ชวิ๋นส่ายหัว
“พี่ฉู่ชวิ๋นไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ถางโร้วบอกตัวเองเบา ๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า “มีเรื่องที่น่าตกใจมากด้วยล่ะ เมื่อวานตอนกลางคืนมีคนถูกฆ่าและตายอยู่ด้านนอกหน้าต่างบ้านพักของพี่ฉู่ชวิ๋นเลย”
ฉู่ชวิ๋นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในใจรู้สึกซาบซึ้งและลูบหัวเล็ก ๆ ของถางโร้วเบา ๆ “ไม่ต้องคิดมาก เรื่องคนที่ตายก็ส่งให้ตำรวจจัดการเถอะ เดียวเธอต้องไปถ่ายโฆษณานะ” เมื่อฉู่ชวิ๋นเก็บของเสร็จหมดแล้วก็ลงจากบ้านพักมาพร้อมกับถางโร้ว
เดิมที่ต้องไปกินข้าวเช้าแต่ถางโร้วกินไม่ลง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะตกใจจนไม่อยากกินอะไรแล้ว พอถึงที่ถ่ายทำ พนักงานก็มากันหมดทุกคนล้วนกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานที่มีคนตาย
ทั้งสองคนส่งเสียงทักทายผู้กำกับลู่และเดินมาด้านข้างรอเริ่มถ่ายทำสักพัก หลินไค่ก็มาถึงแล้วเหมือนกัน
หลินไค่ดูจากภายนอกแล้วเหมือนกับจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จู่ ๆ วันนี้ก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนกับปกติที่เคยเป็น แถมยังมีมารยาทกับทุกคน ราวกับว่าเปลี่ยนนิสัยแล้ว แต่สิ่งเดียวที่ไม่ได้เปลี่ยนไปคือทัศนคติที่มีต่อถางโร้ว เขาปรนนิบัติดูแลเอาใจใส่ถางโร้วอย่างดีแถมชงชาให้อีกด้วย
ถางโร้วลำบากใจมาก หลินไค่ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่มันเกินเลย เธอเลยต้องจำใจยอมรับมาด้วยความร่วมมือที่ดีของหลินไค่ทำให้การถ่ายทำเป็นไปได้อย่างราบเรียบ
มันเป็นโฆษณาสั้น ๆ จริง ๆ เป็นแค่โฆษณาสาธารณประโยชน์ สามนาที
เดิมทีวางแผนไว้ว่าถ่ายกันหนึ่งวัน คิดไม่ถึงว่าใช้เวลาแค่เพียงครึ่งวันก็ถ่ายเสร็จแล้ว เพราะว่าตอนกลางคืนฉู่ชวิ๋นต้องไปเยี่ยมครอบครัวถางโร้ว ดังนั้นหลังจากที่ถ่ายเสร็จพวกเขาก็บอกลากับผู้กำกับลู่ทันที หลินไค่มองไปยังแผ่นหลังของฉู่ชวิ๋นและถางโร้วที่เดินจากไปแล้วเขาก็ก้มมองดูรูปภาพที่อยู่ในโทรศัพท์ตัวเอง จากนั้นสายตาก็ปรากฏความดุร้ายและยิ้มเยาะออกมา
คอมเม้นต์