จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) – บทที่ 46 ฉันไม่พอใจ[รีไรท์]
บทที่ 46 ฉันไม่พอใจ[รีไรท์]
ฉินหวนยวี่ก็จนปัญญาเหมือนกัน คนอย่างเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะมาสนใจถางโร้ว ฮวนยวี่เอ็นเตอร์เทรนเมนท์ มีศิลปินนักร้องนักแสดงเยอะมาก แม้วันนี้ข่าวของถางโร้วจะกระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต แต่เขายังไม่รู้ว่าถางโร้วเป็นนักร้องของบริษัทตัวเองเลย และถึงจะรู้เขาก็ไม่มีเวลามาให้ความสนใจกับเรื่องไร้สาระแบบนี้
แต่ที่เขาจำเป็นออกโรงเอง เพราะในสองชั่วโมงนี้เขาได้รับโทรศัพท์ 3 สาย
สายแรกเป็นเฉินฮั่นหลงที่มาจากบริษัทเทียนหยวน ฝ่ายตรงข้ามพูดแบบเกรงใจเขามาก จนทำให้เขาประหลาดใจ ตัวตนของเฉินฮั่นหลงไม่ใช่คนที่ลึกลับอะไร เฉินฮั่นหลงเป็นผู้มีอำนาจมืดในเมืองกู่เจียง คนแบบนี้ทำไมถึงโทรมาถามเรื่องดาราเด็กด้วยตัวเอง? แม้ว่าตัวตนของเขาจะไม่จำเป็นต้องกลัวเฉินฮั่นหลง แต่ล้วนอีกฝ่ายเป็นคนที่มีหน้ามีตาในเมืองกู่เจียง จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้
เดิมทีเขาวางแผนจะโทรมาถามสักหน่อย แค่นั้นก็ถือว่าให้เกียรติกับเฉินฮั่นหลงมากแล้ว แต่สายที่สองทำให้เขาจำใจต้องรอบคอบเวลาทำอะไรต่อเรื่องนี้ สายนี้มาจากเจิ้งก่วงอี้ที่เป็นประธานเชียนคุนกรุ๊ป
พอเขาได้รับสายจากสองคนนี้ที่โทรมาถามเรื่องของดาราเด็กอย่างสนใจ ตัวเองก็คิดแล้วว่า ถางโร้วคนนี้ตัวตนของเธอมันมีเบื้องหลังอะไรกันแน่?
ฉินหวนยวี่คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน เลยได้แต่สั่งคนให้ไปตรวจสอบหาประวัติของถางโร้วมา แต่ผลลัพธ์ก็ทำให้เขาตกใจ ตัวตนของถางโร้วสำหรับเขาแล้วก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
หรือว่าถางโร้วจะเด็กที่เฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้เลี้ยงไว้ คนมีเงินย่อมเลี้ยงดูดาราเด็ก ๆ เอาไว้ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร ถ้าเป็นแบบนั้น ถางโร้วใช้วิธีอะไรทำให้ทั้งสองเป็นคนนี้หลงใหลได้พร้อม ๆ กัน
แต่ผ่านไปไม่นานความคิดที่เขาคิดดูหมิ่นถางโร้วก็ถูกขัดจังหวะโดยสายที่สาม
สายนี้มาจากภัตตาคารป่าไผ่สีม่วง ฝ่ายตรงข้ามแจ้งให้เขาทราบว่า ถางโร้วคือคนที่มีบัตรม่วงของภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงไว้ครอบครอง ถ้าหากว่าเรื่องนี้ไม่จัดการแก้ไขปัญหาให้ดี ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงจะยกเลิกบัตรเพชรของเขาและไม่ให้เขาเหยียบในภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงอีกตลอดไป
ฉินหวนยวี่ตื่นเต้นจนเกือบกัดลิ้นของตัวเอง บัตรม่วง? ตัวตนของเขามีแค่บัตรเพชรและค่าสมาชิกทุก ๆ ปีสูงถึง 5 ล้านคาดไม่ถึงว่าถางโร้วคนนี้จะมีบัตรม่วงไว้ครอบครอง เขาไม่เชื่อว่าภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงจะเอาบัตรม่วงมองให้ดาราเด็กที่ธรรมดาคนหนึ่งแน่ๆ ต้องมีคนมอบให้อีกที?
ฉินหวนยวี่เรียกคนที่รับผิดชอบตรวจสอบประวัติของถางโร้วมาด่าอย่างรุนแรงทันที เขาได้แต่กลุ้มใจ ในเวลาเดียวกันในใจของเขาก็มีคำว่าทำไมอยู่เต็มไปหมด
คนที่มีบัตรม่วงครอบครองกลับเป็นดาราเด็กคนนั้น? แถมพอเกิดเรื่องขึ้นกลุ่มอิทธิพลทั้งสามก็ออกหน้ามาช่วยเหลือทันที ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงถึงกับไม่เสียดายที่จะยกเลิกบัตรเพชรของเขา ถ้าหากว่าตอนนี้มีคนบอกเขาว่าถางโร้วเป็นเพียงแค่ดาราเด็กธรรมดา เขาจะชกหน้ามันให้พ่อแม่มันยังจำหน้ามันไม่ได้เลย
เขาเริ่มจำใจต้องตั้งใจปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างรอบคอบจริง ๆ
ถ้าหากต้องสูญเสียบัตรเพชรของภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงไปจริง ๆ แล้วเขาจะเอาอะไรไปเข้าสังคมกับกลุ่มเศรษฐีหรือผู้ทรงอิทธิพลอื่น ๆ หลายปีมานี้เขาอุตส่าห์ติดต่อคนอื่นได้มากมาย ถ้าจู่ ๆ หายไปทุกสิ่งที่เขาทำมาก็ต้องจบลง
ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ภัตตาคาร แต่ในสายตาของผู้ที่มีอำนาจทุกที่ก็คือพีระมิด มีไว้เพื่อแบ่งแยกฐานะทางสังคมถ้าหากสูญเสียบัตรเพชรไป ใครจะอยากมาเสียเวลากับเขา
ดังนั้น บัตรสมาชิกของภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงถึงได้มีการแบ่งแยกระดับชั้น ทุกคนล้วนอยากจะมีบัตรสมาชิกที่สูงที่สุดไว้ครอบครอง ฉินหวนยวี่ให้คนไปตรวจสอบหาประวัติของถางโร้วมาอย่างละเอียด
ผ่านไปไม่นาน คนที่รับผิดชอบตรวจสอบหาข้อมูลก็วางกองเอกสารข้อมูลไว้บนโต๊ะเขาอย่างระมัดระวัง การตรวจสอบหาในครั้งนี้หามามากที่สุดได้เท่านี้จริงๆ แม้แต่ตอนที่ถางโร้วเป็นเด็กเข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลอะไร เพื่อนที่ดีที่สุดตอนเรียนอนุบาลคือใครก็ล้วนตรวจสอบมาอย่างชัดเจน
แต่สุดท้ายการตรวจสอบก็ไม่แตกต่างอะไรจากการตรวจสอบก่อนหน้านี้ ตัวตนของถางโร้วธรรมดามาก ฉินหวนยวี่อดทนที่จะไม่พ่นคำด่าออกมาและมองเอกสารข้อมูลพวกนี้ต่อ แต่พอเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ของถางโร้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะชะลอความเร็วในการอ่านลง
นายท่าน?
ฉินหวนยวี่พึมพำกับตัวเอง ทุกครั้งถางโร้วเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีล้วนมีคนที่ชื่อว่านายท่านอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้ประจบประแจงนายท่านคนนี้ ประจบเอาใจมาก แสดงให้เห็นว่านายท่านคนนี้เป็นคนที่เก่งกาจอย่างแท้จริง เขาเป็นใครกันแน่?
ฉินหวนยวี่เริ่มคิดไตร่ตรอง นายท่านคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แม้แต่เฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้ก็ล้วนยอมต่อนายท่านคนนี้ แสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังของเขานั่นยิ่งใหญ่มาก
แม้จะไม่รู้ว่านายท่านคนนี้เป็นใครก็ตาม? แต่ฉินหวนยวี่ก็นั่งไม่ติดลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปในบริษัท โชคดีที่เจอถางโร้ว หน้าประตูห้องประชุมพอดี
“คุณถาง เชิญนั่งครับ!” ฉินหวนยวี่ก็รีบเก็บความรู้สึกและบอกให้ถางโร้ว นั่งลงก่อน
น้ำเสียงของฉินหวนยวี่นอบน้อมและจริงใจมากขณะเดียวกันก็เกรงใจมากด้วยเหมือนกัน การกระทำแบบนี้ทำให้ถางโร้วรู้สึกไม่เข้าใจ ฉินหวนยวี่เป็นประธานใหญ่มีศักดิ์ศรีมากไม่จำเป็นต้องให้เกียรติเธอเลย
หลินซินดึงเสื้อเชิ้ตของถางโร้วเอาไว้และบอกใบ้ให้ถางโร้วนั่งลงก่อน การยืนตัวแข็งทื่อแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
ฉินหวนยวี่นั่งเผชิญหน้ากับคนในบริษัท ถางโร้วรู้สึกเป็นกังวลมาก เธอเดินอิงแอบหลิวซินไปนั่งที่นั่งที่ก่อนหน้านี้เคยนั่ง
หลินหงตะลึงตาค้าง คิดไม่ถึงว่าฉินหวนยวี่จะกลับมาในเวลานี้ แบบนี้ถ้าเขานั่งที่นั่งประธานมันไม่เหมาะสม เขาจึงรีบลุกขึ้นให้ฉินหวนยวี่นั่งแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “ประธานใหญ่ฉิน ท่านมาได้ยังไงครับ? มีเรื่องอะไรโทรมาถามผมได้ ผมจะได้รายงานให้ท่านทราบ”
ในใจหลินหงรู้สึกกระวนกระวายใจ ท่าทางฉินหวนยวี่ดูมีลับลมคมในกับถางโร้ว
“เรื่องของคุณถาง ฉันจะไม่พูดซ้ำตามที่ฉันเข้าใจ เรื่องนี้มีคนตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงคุณถาง คุณถางเป็นนักร้องภายใต้การบริหารบริษัทฉัน เมื่อได้รับความไม่ยุติธรรมเช่นนี้ ฉันที่เป็นประธานใหญ่จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยได้ยังไง?” ฉินหวนยวี่พูดและเคาะโต๊ะจนเกิดเสียงดังก้องกังวานก่อนพูดว่า
“ฉันได้ให้คนไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ฉันไม่สนว่าจะเป็นใครมันต้องได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง ไม่มีการผ่อนปรนเด็ดขาด!”
บริษัทฮวนยวี่อินเตอร์เทรนเมนท์ เขาเป็นผู้สร้างมากับมือ การชิงดีชิงเด่นกันภายในระหว่างนักร้องนักแสดงเขาก็รู้อยู่แก่ใจทุกอย่าง ก่อนที่จะเข้ามาเขายืนฟังอยู่ตรงประตู เขาได้เข้าใจเรื่องราวพอประมาณแล้ว
คำพูดนี้ทำให้หลินหงและคนอื่น ๆ รู้สึกตกใจมาก คำพูดของฉินหวนยวี่มีความหมายชัดเจน เขาต้องการปกป้องถางโร้ว
หลินหงไม่เข้าใจ ถางโร้วเกี่ยวข้องอะไรกับฉินหวนยวี่? ตัวตนทั้งสองคนนี้แตกต่างกันมากจนเกินไป แต่ถ้ามีความสัมพันธ์อะไรกัน ทำไมฉินหวนยวี่ถึงออกโรงปกป้องถางโร้วด้วยตัวเอง?
ไม่เพียงแค่หลินหงที่ไม่เข้าใจ คนอื่น ๆ ในใจก็รู้สึกสงสัยเหมือนกัน
หลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยนสบตากัน พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้เลยเถิดไปแล้ว มันเกินแผนการของพวกเขาในตอนแรก ใบหน้าของเฉินเชี่ยนเชี่ยนก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอไม่เข้าใจว่าทำไม มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอใกล้จะได้เหยียบถางโร้วให้จมดิน ทำไมเรื่องถึงกลายมาเป็นแบบนี้ เธอรับไม่ได้ เธอแอบใช้สายตามองไปยังหวงเฉินกวง
เฉินเชี่ยนเชี่ยนในเวลานี้ผมยุ่งกระเซิง เสื้อผ้าเรียบง่ายที่อยู่บนร่างกายถูกดึงหลุดลุ่ย หวงเฉินกวงเหงื่อท่วมตัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนอบอ้าว เรื่องนี้เขาทำตัวไม่ถูกจริง ๆ
“แค่กแค่ก…..” หวงเฉินกวงไอขึ้นมาสองทีและเรียบเรียงภาษาก่อนจะปริปากพูดออกมา
“ไอ้เพื่อนฉิน คิดไม่ถึงเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้จะทำให้นายตกใจได้ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ฉันเองก็เข้าใจแล้วไม่ได้มีการแก้แค้นหรือใส่ร้ายป้ายสีอะไรทั้งนั้น เมื่อกี้ผู้จัดการจี้ก็พูดแล้ว รูปพวกนั้นล้วนเป็นของจริงไม่มีใครสร้างรูปขึ้นมา ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ปั้นน้ำเป็นตัวแต่งเรื่องโกหกขึ้นมา ถึงยังไงเรื่องราวย่อมมีต้นสายปลายเหตุไม่ใช่เหรอ! ฉันว่านะ เพื่อชื่อเสียงของบริษัทจำเป็นที่จะต้องยกเลิกสัญญากับถางโร้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา จัดการแบบนี้คุณถางเองก็ไม่ติดขัดอะไร”
หวงเฉินกวงพูดอย่างสุขุมเยือกเย็น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นกรรมการบริหารของบริษัท ความสัมพันธ์ของเขากับฉินหวนยวี่ก็ไม่ได้แย่อะไร ฉินหวนยวี่ไม่มีทางหักหน้าเขาแน่ ๆ
สายตาฉินหวนยวี่หรี่ลงเล็กน้อยและใช้นิ้วเคาะหัวเข่า ไม่เอ่ยคำปากพูดอะไร ในใจของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเต้นตึกตักขึ้นมา
ผ่านไปนานแล้ว ฉินหวนยวี่ก็หยุดนิ้วลงและหันกลับไปมองจี้หมิ่นแล้วยิ้มก่อนพูดขึ้นมา
“ผู้จัดการจี้ รูปพวกนั้นเป็นของจริงแน่นะ?”
จี้หมิ่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ เธอเป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ เธอเข้าใจดีว่าฉินหวนยวี่ทำไมถึงถามแบบนี้ มันชัดเจนแล้วว่าฉินหวนยวี่ต้องการปกป้องถางโร้ว เธอเลยรีบลุกขึ้นมาและพูดว่า “จริง ๆ แล้ว รูปพวกนี้เป็นรูปที่ยังไม่ได้ตรวจสอบให้ดี ฉันยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด เรื่องนี้เป็นการทำงานที่สะเพร่าของฉันเอง ฉันยอมรับบทลงโทษทุกอย่างของบริษัท”
คนอื่น ๆ ต่างตะลึงตาค้าง หน้าผากของหลินหงมีเหงื่อผุดออกมา
หลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้พวกเขามึนงงไปหมด ดูเหมือนว่าเพื่อปกป้อง ถางโร้ว ฉินหวนยวี่ต้องการให้ตรวจสอบเรื่องนี้ใหม่ ถ้าหากว่าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง…พวกเขาทั้งสองคง…..พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“ฉิน…” หวงเฉินกวงไม่อยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงว่าฉินหวนยวี่จะหักหน้าเขาต่อหน้าทุกคน คำพูดของเขาถูกฉินหวนยวี่แทรกขึ้นมา “หวง ในเมื่อเรื่องนี้น่าสงสัย งั้นก็ควรตรวจสอบไม่ใช่เหรอ! ไม่อย่างงั้นคนอื่นจะพูดว่าพวกเราเป็นผู้นำที่ไม่ดี ซึ่งแบบนี้จะเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของบริษัทพวกเรามากกว่าเดิม นายคิดว่าไงล่ะ?”
หวงเฉินกวงอ้าปากค้าง ในที่สุดก็พูดอะไรไม่ออก เขาไม่ใช่คนโง่ คำพูดของฉินหวนยวี่มันชัดเจนมาก ๆ อยู่แล้ว ถ้าหากว่าเขายังไม่หยุดอีกคงได้แตกหักกันแน่ ๆ
ฉินหวนยวี่ยิ้มเบา ๆ ก่อนเคาะโต๊ะดึงดูดสายตาของทุกคนและปากพูดว่า “เรื่องนี้ก็ตัดสินใจแบบนี้แล้วกันนะ ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนักร้องที่อยู่ในบริษัทฉัน ผู้จัดการจี้ เรื่องนี้ฉันให้เธอไปจัดการ เชื่อว่าเธอจะต้องให้คำตอบที่น่าพึงพอใจกับฉันได้แน่นอน”
ฉินหวนยวี่พูดพร้อมแววตาที่มีความหมายแอบแฝงขึ้นมาทำให้ผู้จัดการจี้รีบพูด “ประธานฉินไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียดเพื่อคุณถาง”
ฉินหวนยวี่พยักหน้าและมองไปยังถางโร้วที่นั่งอยู่หลังสุดก่อนยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “คุณถาง คุณคิดว่าแก้ไขปัญหาแบบนี้คุณพอใจไหม?”
“ใครว่ายังไงฉันไม่รู้ แต่ฉันไม่พอใจ!” ถางโร้วที่กำลังจะพยักหน้า จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากประตูด้านนอก
เวลานี้ ประตูใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกเปิดออก ทุกคนหันไปมอง คนอื่น ๆ แค่อยากรู้อยากเห็นเลยหันไปมองแต่ฉินหวนยวี่กลับรู้สึกตกตะลึง เพราะว่าประตูที่เปิดออกมาคือ เฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้และคนที่ยืนอยู่ตรงกลางคือเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่ง
“นายท่าน เชิญครับ!” เฉินฮั่นหลงและเจิ้งกันพูดพร้อมโค้งคำนับ
สีหน้าฉู่ชวิ๋นไม่สนใจใครก่อนก้าวเท้าเดินเข้ามาในห้องประชุม
“พี่ฉู่ชวิ๋น” ถางโร้วตะโกนออกมาอย่างดีใจ เหมือนนกนางแอ่นที่กลับรัง ถางโร้วโผเข้าไปในอ้อมกอดของฉู่ชวิ๋น ฉู่ชวิ๋นลูบหัวเล็ก ๆ ของเธอด้วยความรักและความทะนุถนอม
“พี่ฉู่ชวิ๋น พี่มาได้ยังไง?” เมื่อเจอฉู่ชวิ๋น ถางโร้วก็เหมือนเจอที่หลบภัย ไม่ว่าฝนจะกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้
“ถ้าฉันยังไม่มา ยัยเด็กโง่คนนี้คงถูกคนอื่นรังแกจนน่าสงสารตายเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดและยิ้มขึ้นมา ฉินหวนยวี่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่ในใจกลับรู้สึกตกตะลึง นายท่านที่เขาอยากรู้อยากเห็นมาตลอดคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กหนุ่มคนนี้
“ประธานเฉิน ประธานเจิ้ง ยินดีต้อนรับจะเข้ามาที่นี่ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน? ฉันจะได้ไปต้อนรับพวกคุณ” ฉินหวนยวี่ก็พูดทีเล่นทีจริง
เฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้กลับไม่ได้พูดจาอะไร พวกเขามองและพยักหน้าอย่างมีมารยาท หลังจากนั้นก็เดินแยกกันไปอยู่ด้านหลังฉู่ชวิ๋น
ฉินหวนยวี่หัวใจหล่นวูบ เขามองไปยังฉู่ชวิ๋นที่ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา
คอมเม้นต์