จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) – บทที่ 119 ฆ่า![รีไรท์]
บทที่ 119 ฆ่า![รีไรท์]
“ถางโร้วอยู่ที่ไหน” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างใจเย็น
หลิวเสี่ยวไป๋กัดฟันของเธอไว้แน่น เธอไม่พูดอะไรออกมาและจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาอาฆาต ฉู่ชวิ๋นมองอย่างไม่แยแส แบฝ่ามือและกำแน่น
ตู้ม!!
อิฐหินบนพื้นระเบิดและกลายเป็นฝุ่น มีรอยประทับของฝ่ามือขนาดใหญ่อยู่บนพื้น ฝ่ามือนั้นไม่ได้โจมตีไปยังหลิวเสี่ยวไป๋ แต่ก็ทำให้เธอตกใจกลัวสุดขีดได้
ชายชราเองก็ตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อเลย ฉู่ชวิ๋นยังหนุ่มยังแน่นแต่เป็นถึงขั้นปรมาจารย์แถมยังเป็นขั้นปรมาจารย์ระดับสูง แม้จะเป็นเขาตอนที่รุ่งโรจน์อยู่ก็ไม่สามารถทำมันได้อย่างง่ายดายแน่
ตอนนี้ดวงตาที่สวยงามของหลิวเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยความกลัว ร่างของเธอสั่นเหมือนเจ้าเข้า เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองหรือคิด ถ้าฝ่ามือนั้นเล็งมาที่เธอจริง ๆ เธอคงแหลกสลายไม่ต่างกับอิฐนั้น
เส้นไหมวิญญาณปรากฏขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่ก็พันเข้าที่คอของหลิวเสี่ยวไป๋ทันทีและพาเธอลอยขึ้นไปในอากาศเหมือนตุ๊กตาเศษผ้า นิ้วทั้งห้าของฉู่ชวิ๋นหดงอ และเส้นไหมวิญญาณที่พันรอบคอของหลิวเสี่ยวไป๋เองก็หดตัวเช่นกัน
คอบาง ๆ ของหลิวเสี่ยวไป๋เริ่มมีเลือดไหลซิบออกมา ใบหน้าของเธอเริ่มเป็นสีม่วงเพราะการไหลเวียนของโลหิตที่ถูกขวางกั้น ดวงตาที่สวยงามของเธอปูดโปน ไม่มีร่องรอยของความงามหลงเหลืออยู่เลย
“ถางโร้วอยู่ไหน?”
คำถามเดินถูกถามขึ้นซ้ำ ๆ แต่คราวนี้หลิวเสี่ยวไป๋พยักหน้าให้อย่างสิ้นหวังก่อนที่เธอจะหมดลมหายใจ
ฉู่ชวิ๋นยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ใครกันล่ะที่จะไม่กลัวความตาย? นิ้วทั้งห้ากางออกและหลิวเสี่ยวไป๋ก็หลุดและตกลงมาพร้อมฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เธอหายใจอย่างรวดเร็วเหมือนกับคนที่พึ่งได้สติหลังจมน้ำ
“ถางโร้วอยู่ที่สำนักราชาปีศาจ” เธอบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงอันรวยริน
“สำนักราชาปีศาจ!” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินชื่อสถานที่แห่งนั้น
ชายชราสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และเริ่มพยายามขัดขืนขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง ฉู่ชวิ๋นเก็บเส้นไหมวิญญาณกลับมา เมื่อชายชราเป็นอิสระ มือที่เหี่ยวแห้งของเขากำที่วางแขนของรถเข็นไว้แน่น หลังมือของเขามีเส้นเลือดสีฟ้าและที่วางแขนก็ดังเอี๊ยด!
ปั๊ก!
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งโกรธมาก เขาเตะหลิวเสี่ยวไป๋ถึง 2-3 ครั้ง
“สัตว์ร้าย!” ชายชราคำรามด้วยร่างอันสั่นสะท้าน เขากัดปากจนเลือดซิบออกมา
ฉู่ชวิ๋นเองก็สงสัยกับท่าทีของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะไปยุ่งเพราะถางโร้วกำลังรอเขาอยู่
“สำนักราชาปีศาจอยู่ที่ไหน?” ฉู่ชวิ๋นถาม
หลิวเสี่ยวไป๋รีบลุกขึ้นจากพื้นและตอบว่า “ในหุบเขาเฟิงหลิน”
ฉู่ชวิ๋นชี้นิ้วออกไปแล้วก็มีแสงขาวพุ่งออกมา หลิวเสี่ยวไป๋กรีดร้องด้วยแววตาสิ้นหวัง ฉู่ชวิ๋นได้ทำลายจุดตันเทียนของเธอไปแล้ว ฉู่ชวิ๋นหันหลังเตรียมออกไป
“ปรมาจารย์ฉู่ เดี๋ยวก่อน!” ชายชรากล่าวอย่างกังวล
ฉู่ชวิ๋นหยุดและหันไปมองเขา ชายชราถอนหายใจอย่างขมขื่น น้ำเสียงของเขาเศร้าเล็กน้อยและกล่าวอย่างเศร้า ๆ ว่า “ปรมาจารย์ฉู่รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงลงเอยเช่นนี้?”
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อยดวงตาของเขามีความคิดและเขาก็พึมพำ “เป็นเพราะสำนักราชาปีศาจ?”
ชายชราปรับอารมณ์แล้วบอกสิ่งที่อย่างให้เขารู้ออกมา
…..
…..
หุบเขาเฟิงหลินได้รับการตั้งชื่อตามต้นเมเปิลที่เต็มภูเขา เป็นจุดชมวิวระดับ 4A ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ 100 กิโลเมตร
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมราชาปีศาจถึงไปซ่อนอยู่ตรงนั้น เพราะต้องการที่จะใช้ป่าไม้เป็นกำแพงธรรมชาติอีกชั้นหนึ่ง ซ่อนสถานที่ลึกลับแห่งนี้ไว้ในป่าลึก นักท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่สวยงามต่างรีบหนีไปและในเวลานี้มีเพียงฉู่ชวิ๋นเท่านั้นที่เดินไปอย่างช้า ๆ
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ใบเมเปิ้ลทั่วทั้งภูเขาเหมือนเปื้อนเลือดสีแดงล่องลอยไปกับสายลม ภูเขาทั้งลูกปกคลุมไปด้วยสีแดงเลือดแพรวพราวในสายตา ฉู่ชวิ๋นเหมือนกำลังเดินเล่นในสวน เขาไม่ได้ปีนเขาแต่มาที่ปากหุบเขาซึ่งก่อตัวขึ้นตามเชิงเขา
พื้นดินเต็มไปด้วยหนามและต้นไม้ส่วนใหญ่ มีใบร่วงเหลือเพียงลำต้นที่มีหนามซึ่งเป็นสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติ เมื่อเทียบกับสถานที่อื่น ๆ สถานที่แห่งนี้ดูเยือกเย็นมากและโดยปกติแล้วไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเต็มใจที่จะมาที่นี่
เบื้องหน้าของเขามีป้ายเตือนขนาดใหญ่ เตือนว่า ข้างหน้าเป็นเขตอันตรายให้นักท่องเที่ยวใช้เส้นทางอื่น ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในเขตหวงห้าม และเดินตรงไปอีก 100 เมตร
“ทำอะไร?”
ชายสองคนสวมชุดของผู้ดูแลจุดชมวิวปรากฏตัวขึ้นในป่าใกล้ ๆ ทันที
“คุณไม่เห็นป้ายที่ประตูเหรอ? ที่นี่ยังไม่ได้รับการพัฒนามันอันตรายมาก นักท่องเที่ยวควรหยุดและออกไปเดี๋ยวนี้” หนึ่งในนั้นตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์
“โทษทีนะ สำนักราชาปีศาจอยู่ข้างหน้าใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถาม
ทันใดนั้นทั้งสองก็แข็งทื่อ และระมัดระวังนักท่องเที่ยวที่หลงเขามาคนนี้ทันที!
ฟู่!
เลือดไหลออกมาทางตาของชายทั้งสองเป็นน้ำพุ พวกเขากุมหน้าด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเสียหลักล้มลงไปกองกับพ้น
“ขอบคุณที่นำทางให้” ฉู่ชวิ๋นพูดจบเขาก็เดินลึกเข้าไปในป่า เดินเข้าไปลึกอีกเกือบ 50 เมตร
ฟู่! ก๊มีอีกสองร่างลงไปนอนดิ้นกับพื้น
….
ตลอดทางมีคนนอนนิ่งอยู่เป็นช่วง ๆ กว่า 10 คนแล้ว จนกระทั่งเขาเข้ามาลึกกว่า 300 เมตร ฉู่ชวิ๋นก็อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย
สภาพอากาศในหุบเขามีลมปราณที่อบอุ่น ที่ด้านนอกนั้นใบไม้เหี่ยวและดอกไม้กำลังร่วงโรย แต่ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและดอกไม้ก็บานสะพรั่ง
ฉู่ชวิ๋นเดินไปอีก 50 เมตร เขาก็เริ่มเห็นมันเป็นอาคารสลับซับซ้อนตั้งอยู่ในป่าทึบเขียวชอุ่มราวกับสวรรค์
ฉู่ชวิ๋นตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะและอาคารที่นี่แสดงให้เห็นถึงสไตล์โบราณ ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปอีกโลกหนึ่ง
“ที่แห่งนี้ดีมาก ฉันอยากได้”
ฉู่ชวิ๋นพึมพำ ต่อมาเขาก็กลายเป็นลำแสงและ 1 ก้าวของเขาก็คือ 10 เมตร
ตู้ม!
ประตูไม้ของอาคารขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่านถูกฉู่ชวิ๋นต่อยกระจุย สิ่งนี้ทำให้คนที่อยู่ข้างในตื่นตระหนก
“นั่นใคร!”
มีคนวิ่งออกมาและตะโกนทันทีที่เห็นร่างของฉู่ชวิ๋น สิ่งที่ตอบกลับมาคือเส้นไหมวิญญาณที่ปรากฏขึ้นไม่กี่เส้น จากนั้นก็เฉือนผ่านลำคอของพวกเขาราวกับมีดคม!
“ข้าศึกโจมตี ข้าศึก…”
ผู้คนหวาดกลัว หลายสิบคนเสียชีวิตในพริบตาและพวกเขาก็ตะโกนอย่างสิ้นหวัง
ตู้ม!
ก้อนหินข้างประตูที่มีคำว่า ‘*鬼王门’ ก็ถูกทำลายด้วยฝ่ามือของฉู่ชวิ๋น
*สำนักราชาปีศาจ
ลูกศิษย์จำนวนมากของสำนักราชาปีศาจที่เข้ามาพื้นฐานพลังอยู่ที่ขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ1 ถึง 9 แต่มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างสำหรับฉู่ชวิ๋น เส้นไหมวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นโซ่พันธนาการถูกปลดปล่อยออกไป
ฟิ้ว!
เลือดกระจายออกไปทั่วทุกทิศ เหมือนกับวันนี้ฝนตกลงมาเป็นเลือดอย่างไรอย่างงั้น เส้นไหมวิญญาณนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าใบมีดที่แหลมคม มันราวกับงูขาวที่ว่ายอยู่บนท้องฟ้า ศพก็ร่วงหล่นลงมาทุกที่ที่ผ่านไป
หลังจากจัดการพวกลูกกระจ๊อกหมดแล้วเขาก็ไม่เร่งรีบ เขาก้าวเท้าทีละก้าว โดยที่เลือดไม่ได้เปื้อนร่างของเขาเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนก็พุ่งเข้ามาใกล้ฉู่ชวิ๋น ในมือถือดาบยาวฟาดมาอย่างรุนแรงพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึม
แกร๊ง!
คมมีดของเขาถูกปัดป้องเอาไว้ระลอกคลื่นที่ปรากฏขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ตั้งหลักคมดาบมีชีวิตของฉู่ชวิ๋นก็ปลิดชีพของชายคนนี้และเลือดพุ่งสูงครึ่งเมตร
“ฆ่ามัน ปกป้องสำนักราชาปีศาจจนกว่าชีวิตจะหาไม่! สำนักราชาปีศาจเป็นอมตะ! สำนักราชาปีศาจจงเจริญ!”
มีคนพุ่งเข้ามาพร้อมดาบยาวอย่างคลุ้มคลั่งและไม่กลัวตาย แต่น่าเสียดายที่เขาล้มเหลวในการพุ่งเข้ามาหาชู่วิ๋นและถูกตัดออกด้วยเส้นไหมวิญญาณขาดครึ่งท่อน
“สำนักราชาปีศาจเป็นอมตะ! สำนักราชาปีศาจจงเจริญ!”
ทุกคนโห่ร้องพร้อมยกดาบขึ้น ดูบ้าคลั่งและรุนแรงเหมือนผู้ศรัทธาที่บ้าคลั่ง ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นแล้วกดนิ้วลง วิชาดัชนีสังหาร—กระบวนท่าหนึ่งดัชนีสังหารสรรพสิ่ง!
อากาศบิดเบี้ยว กลางอากาศระเบิดและรอยนิ้วมือขนาดใหญ่ประมาณ 10 เมตรก็กลิ้งลงมาด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง
ตู้ม!
พื้นดินระเบิด ฝุ่นปกคลุมท้องฟ้าและมีร่องน้ำยาว 10 เมตรปรากฏขึ้นที่พื้นซึ่งเปื้อนสีแดงด้วยเลือดและซากศพเกลื่อนกลาด
มีผู้เสียชีวิต 20 หรือ 30 คนภายใต้จุดนี้เลือดเปื้อนพื้นโลกและสร้างเส้นทางที่เปื้อนเลือดขึ้น สายลมจากภูเขาคำราม ใบเมเปิ้ลสีแดงเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาจากยอดเขาฉากนั้นเงียบสงัดและทุกคนก็หวาดกลัว
“จะ…จอมมาร!”
“ทุกคนหนีเร็ว จอมมาร!”
ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความกลัว บางคนทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่า ผู้คนหลายสิบคนเหมือนนกที่ตกใจหนีไปที่หุบเขาอย่างไม่คิดชีวิต ฉู่ชวิ๋นเม้มปากไม่หยุด
ชายชราบอกกับเขาว่าคนพวกนี้ไม่กลัวความตาย เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนบนโลกนี้ที่ไม่กลัวความตาย และไม่ใช่ปีศาจพวกนี้แน่นอน
ฉู่ชวิ๋นหันหลังเตรียมเดินเข้าไป แต่ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ แกเป็นใคร บุกมาที่สำนักราชาปีศาจของฉันทำไม?”
มีคนมากกว่าหนึ่งโหลมาขวางทางและฐานพลังโดยทั่วไปอยู่ในขั้นนักสู้พลังชีพจร คำตอบสำหรับพวกเขาคือรอยมือขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า
ฝ่ามือจอมเชือด—พังพินาศ!
ตู้ม!
พื้นดินทรุดลง ภูเขาสั่นสะเทือนอีกครั้ง ครึ่งหนึ่งของคนมากกว่าหนึ่งโหลถูกดูดลงสู่ดิน ส่วนคนที่เหลือก็ไอเป็นเลือด ทุกคนหวาดกลัวและความหนาวเย็นก็แพร่กระจาย
มีใครบางคนเฝ้าดูจากระยะไกล ดวงตาของเขาตกใจและขาอ่อนแรง ฐานพลังของพวกเขาเองก็ไม่ได้สูงไปกว่าคนเหล่านี้มากนัก หากฝ่ามือนี้ตกลงบนพวกเขาคาดว่าพวกเขาจะจบลงไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ตายก็พิการ
ฟิ้ว!
เลือดพุ่งออกมาและมีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตโดยบังเอิญ ทุกคนถูกตัดศีรษะด้วยเส้นไหมวิญญาณ
หลายคนที่อยู่ห่างออกไปเกือบจะเป็นอัมพาตด้วยความตกใจ นี่มันโหดร้ายเกินไป ฆ่าทุกคนโดยไม่พูดอะไรเลย
“ผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักของเขาทำให้ท่านขุ่นเคืองตรงไหน กรุณาบอกให้ชัดเจนทีเถิด เราจะแก้ไขให้ท่านและต้องขอโทษด้วยจริง ๆ!” ใครบางคนในระยะไกลตะโกนอย่างกล้าหาญ
การแสดงออกของฉู่ชวิ๋นสงบนิ่งและเดินไปข้างหน้า เขาก้าวไปข้างหน้าและคนเหล่านั้นก็ถอยหลัง
“พี่ชาย ยกโทษให้ฉันที่โง่เกินไปด้วยที่ทำให้พี่ชายขุ่นเคือง” ใครบางคนถามด้วยเสียงสั่นเครืออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นและเส้นไหมวิญญาณของฝ่ามือของเขาก็ระเบิดออกมาราวกับโซ่ ระเบิดใส่คนเหล่านั้นในระยะไกล
“หนีเร็ว!”
หลายคนก็รีบวิ่งหนีไปทันที แต่คนที่โชคร้ายไหวตัวไม่ทันก็ถูกเส้นไหมวิญญาณแทงทะลุหัวใจ เลือดสาดกระจายไปตาม ๆ กันสู่อากาศ
ตู้ม!
โซ่สีขาวที่ควบแน่นด้วยเส้นไหมวิญญาณพุ่งทะลุเข้าไปในบ้านไม้ในระยะไกล ทำลายสิ่งก่อสร้างจนเละแล้วพุ่งกลับมา ผู้คนที่รอดชีวิตต่างหวาดผวาอย่างบ้าคลั่ง คนคนนี้สังหารโดยไม่พูดอะไรสักคำ ราชาปีศาจผู้เหี้ยมโหดของพวกเขายังไม่อาจเทียบกับฉู่ชวิ๋นได้เลย
ตอนนี้ในหัวของพวกเขามีเพียงอย่างเดียวคือหนี! หนีไกลและเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! คนคนนี้ไม่ใช่แค่ขั้นปรมาจารย์แล้ว!
ฟึ่บ!
เส้นไหมวิญญาณเร็วกว่าเดิม พวกมันลอยอยู่ในอากาศและคดเคี้ยวราวกับอสรพิษ มันจะเคลื่อนไวช้าๆ ในตอนแรกเพื่อให้คู่ต่อสู้ตายใจก่อนที่จะปลิดชีพศัตรูก่อนที่พวกมันจะรู้ตัวเสียอีก
ตอนนี้ฉู่ชวิ๋นก็เข้าไปได้ลึกมากแล้ว เลือดลมของเขาสูบฉีดเต็มที่
ในส่วนลึกของอาคารที่ซับซ้อนมีแท่นบูชาหินตั้งอยู่สูง และมีหลายร่างมองไปที่ฉู่ชวิ๋นที่แม้ถูกสังหารไปแล้วเปลือกตาของพวกเขาก็ยังกระตุกอยู่
“คนคนนี้เป็นใครกัน?” มีคนพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
“ไม่รู้หรอก อยู่ ๆ ก็เข้ามาแล้วสังหารหมู่เลย”
“ไม่มีทางที่ใครจะมาโจมตีสำนักราชาปีศาจโดยไร้เหตุผลหรอก ต้องมีใครไปแหย่ชายผู้โหดเหี้ยมคนนี้อย่างแน่นอน”
“มันเป็นใครก็ช่าง กล้ามาหาเรื่องถึงที่แบบนี้ ฉันจะจัดการมันเอง ดูท่าแล้วอย่างมากก็แค่ขั้นปรมาจารย์ระดับ2 ฉันฆ่ามันด้วยตัวคนเดียวได้” ชายร่างเตี้ยคนหนึ่งลุกขึ้น เขาเป็นคนที่เลือดร้อน เสียงของเขาที่พูดแต่ละครั้งเหมือนกับสายฟ้าฟาด เขามีชื่อว่า เหลยกัง เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักราชาปีศาจ
คนอื่น ๆ หลายคนพยักหน้าและในขณะเดียวกันก็มองไปที่ด้านหน้าของชายวัยกลางคน เหลยกังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้ ขั้นปรมาจารย์ระดับ2
“เอาเลย จำไว้ให้ดี สิงโตน่ะกินกระต่าย” ชายวัยกลางคนพูดย้ำเตือน
เหลยกังพยักหน้าให้และมองลงไปยังฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นก้าวไปหนึ่งก้าว ผู้ที่ฐานพลังต่ำก็ก้าวถอยหลังไป 2 ก้าวอย่างหวาดกลัวและพวกเขาต้องการหนี แต่มีฉู่ชวิ๋นอยู่ข้างหน้าและผู้อาวุโสของสำนักราชาปีศาจอยู่เบื้องหลังและพวกเขาไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่ต่อสู้ พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและต้องการร้องไห้ด้วยความอับอายออกมาดัง ๆ
คอมเม้นต์