จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) – บทที่ 131 โลภจนน่ารังเกียจ[รีไรท์]

อ่านนิยายจีนเรื่อง จักรพรรดิเซียนหวนคืน 仙帝归来 ตอนที่ 131 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 131 โลภจนน่ารังเกียจ[รีไรท์]

โม่ซิงเหอเดือดดาลจนปากกระตุกและแอบสบถด่าเฉินฮั่นหลงเบาๆ เขาทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป เครื่องประดับสังหารสามารถฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้แค่เพียงคนเดียว ก็ตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายเสียแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียหายเป็นอย่างยิ่ง

เฉินฮั่นหลงโกรธแค้นจนควบคุมสติแทบไม่ได้แล้ว เขาจ้องมองเฉียงไท่และพูดอีกว่า “เฉียงไท่ เตรียมตัวซับน้ำตาไว้ให้ดี ฉันจะสั่งสอนแกอีกรอบ” หลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและโยนเครื่องประดับสังหารอีกชิ้นออกไป

นี่คือจี้หยกเเกะสลักมังกร เหมาะสำหรับให้บุรุษสวมใส่มากยิ่งกว่ากำไลหยกชิ้นเมื่อครู่นี้เสียอีก

เฉียงไท่ขนลุกไปทั้งตัว ถึงเขาอยากจะได้เครื่องประดับสังหารมากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าเขาอาจจะต้องจบชีวิตลงอย่างง่ายดายถ้าโดนมันเข้าไป

ปรมาจารย์กระบี่ทองคำไม่ใช่คนโง่โลภมากจนตามืดบอด เขารีบถอยหลังกลับและเตรียมตัวหลบหนีทันที

เปรี้ยง!

ลำแสงสีขาวพลันปรากฏขึ้น กั้นเป็นกำแพงหมายล้อมรอบพวกเขาไว้

แต่น่าเสียดายที่กำแพงม่านพลังถูกวางลงผิดตำแหน่ง จึงไม่มีใครอยู่ในวงล้อมของกำแพงเลยสักคน

“เปล่าประโยชน์ ของดีแบบนี้อยู่ในมือแกช่างเสียของจริง ๆ ส่งมันมาให้ฉันดีกว่านะ” เฉียงไท่ที่หนีออกมาได้แล้วส่งเสียงหัวเราะเยาะ

“ปากดีนัก!” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 ของสำนักความหวังใหม่ร้องตะโกนพร้อมกับไล่ตามเฉียงไท่ไป

เงาร่างของพวกเขาไล่ตามกันไปติด ๆ พร้อมกับสะบัดฝ่ามือปะทะพลังกันอย่างดุเดือด

ปรมาจารย์กระบี่ทองคำกำลังเดือดดาลจนลงมือด้วยความรุนแรง เห็นได้ชัดว่าเครื่องประดับสังหารชิ้นนี้มันควรจะตกเป็นของพวกเขา แล้วสำนักความหวังใหม่กล้าดีอย่างไรมาขโมยไปแบบนี้?

เปรี้ยง!

ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน ปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด

กลุ่มคนที่เหลืออยู่ในขณะนี้ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างทาง เนื่องจากการต่อสู้ดุเดือดรุนแรงมากเกินไป หากไม่ระวังตัว อาจจะได้รับลูกหลงจนบาดเจ็บสาหัสได้

“ของชิ้นนี้มันต้องเป็นของสำนักกระบี่ทองคำ แกกล้าดีขโมยไปได้ยังไง” ปรมาจารย์กระบี่ทองคำคำรามด้วยความโกรธแค้น

“ทำไมสำนักกระบี่ทองคำถึงได้ขี้โม้แบบนี้ บนกำไลชิ้นนี้ก็ไม่เห็นมีชื่อสำนักของแกเขียนเอาไว้สักหน่อย” เกาเล่ยจากหุบเขาราชาพิษพูดด้วยความโกรธแค้นเช่นกัน ถ้าเขาไม่โดนอีกฝ่ายแทรกแซงมาตั้งแต่ต้น ป่านนี้กำไลชิ้นนี้ต้องตกเป็นของหุบเขาราชาพิษไปแล้ว

เปรี้ยง!

เมื่อมีเสียงระเบิดเกิดขึ้น ทั้งสองคนก็ผละออกจากกันทันทีในสภาพที่ต่างฝ่ายต่างก็มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก ดูเหมือนว่าพลังฝีมือของพวกเขาจะกินกันไม่ลงเลยจริงๆ

“ถือว่าปรมาจารย์กระบี่ทองคำรนหาที่ตายแล้ว” หัวหน้าใหญ่ของหุบเขาราชาพิษพูดด้วยความเดือดดาล เขาเองได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้ทั่วทั้งฝ่ามือกลายเป็นสีดำสนิท แต่ก็ยังมีแรงมากพอที่จะคำรามว่า “ฉันจะต้องฆ่าพวกแกให้ได้”

ปรมาจารย์กระบี่ทองคำทำสีหน้าเย้ยหยัน ฝ่ามือของอีกฝ่ายกลายเป็นสีดำและลามขึ้นมาถึงช่วงแขน แสดงว่าเตรียมใช้ยาพิษเล่นงานเขาให้ถึงตายแน่นอน

เปรี้ยง!

พลัน ทั้งสองคนพุ่งเข้าหากันอีกครั้งเหมือนลูกกระสุนที่ถูกยิงออกจากปืนใหญ่ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างชวนใจหายใจคว่ำเป็นอย่างยิ่ง

“ทำไมนายถึงไร้ประโยชน์แบบนี้นะ” โม่ซิงเหอพูดด้วยความผิดหวังขณะมองหน้าเฉินฮั่นหลงที่กำลังรับชมการต่อสู้อย่างสบายอารมณ์

เฉินฮั่นหลงหันกลับมามองหน้าเขาและกระซิบว่า “ไม่ต้องห่วง ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของคุณฮวา เครื่องประดับของทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว” พูดจบก็หยิบเครื่องประดับสังหารประมาณเจ็ดถึงแปดชิ้นออกมาและส่งให้โม่ซิงเหอเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง

“หมายความว่ายังไง?” โม่ซิงเหอถามด้วยความสับสน

เฉินฮั่นหลงทำหน้าตามีลับลมคมในและยิ้มออกมาว่า “คุณฮวาบอกเอาไว้ว่า นี่ไม่ใช่เครื่องประดับสังหาร แต่มันเป็นกระดูก กระดูกที่เอาไว้ให้พวกหมาแย่งกันกัดแทะ”

ดวงตาของโม่ซิงเหอเป็นประกายแจ่มใสขึ้นมา เขาเข้าใจแล้ว โม่ซิงเหอกวาดสายตามองเจ้าสำนักที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะอย่างขบขัน สุนัขสองตัวกำลังกัดกันเพื่อแย่งกระดูกอยู่จริง ๆ

เปรี้ยง!

เสียงระเบิดดึงดูดความสนใจของทุกคน แม้แต่ขั้นปรมาจารย์ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันก็ต้องหยุดมือลงชั่วคราว

ในระหว่างที่ขั้นปรมาจารย์สำนักกระบี่ทองคำกับขั้นปรมาจารย์แห่งหุบเขาราชาพิษกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ได้มีปรมาจารย์ผู้หนึ่งทลายม่านพลังและถือจี้หยกแกะสลักมังกรไว้ในมือ

ปรมาจารย์ผู้นี้มาจากสำนักหมื่นกระบี่ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งก็ว่าได้

ปรมาจารย์กระบี่ทองคำคำรามด้วยความเดือดดาลและพุ่งเข้าใส่ทันที

ดวงตาของนายใหญ่จากหุบเขาราชาพิษก็แดงก่ำด้วยความโกรธแค้น พวกเขาต่อสู้กันแทบเป็นแทบตาย แต่กลับมีคนมาชุบมือเปิบไปดื้อ ๆ จะมีใครทนได้บ้าง? ดังนั้น เขาจึงร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งและพุ่งเข้าไปหมายสังหารอีกฝ่าย

แต่ปรมาจารย์กระบี่ฟ้าเป็นถึงขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 เพียงแค่ 10 กระบวนท่า เขาก็ทำให้คู่ต่อสู้ถึงกับเซถอยหลังกระอักเลือดออกมาแล้ว

ทันใดนั้นเอง บางอย่างก็ส่งเสียงแหวกอากาศเข้ามา

โม่ซิงเหอยกมือขึ้น เครื่องประดับสังหารชิ้นหนึ่งพุ่งตรงไปยังกลุ่มของสำนักความหวังใหม่

ดวงตาของทุกคนกำลังจ้องมองที่การต่อสู้กันของบรรดาปรมาจารย์ กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว

“พวกเราถอย!” ปรมาจารย์คนหนึ่งในสำนักคำราม ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็คว้าตัวหยางเฟ่ยถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว

แต่ลูกศิษย์คนอื่นในสำนักไม่ได้โชคดีแบบนั้น ในพริบตาเดียว ทุกคนก็โดนกักขังอยู่ในม่านพลัง

ปรมาจารย์ของสำนักความหวังใหม่เหวี่ยงร่างของหยางเฟ่ยลงข้างทางและพุ่งกลับเข้าไปสู่ลำแสงสังหารอย่างรวดเร็ว เขาขยับเพียงหนึ่งกระบวนท่า ลำแสงก็กระจายตัวหายไป

แต่น่าเสียดายที่เขาลงมือช้าไปหนึ่งก้าว เพียงแค่พริบตาเดียว ลูกศิษย์ของสำนักความหวังใหม่ก็ตายไปเกินครึ่ง ส่วนคนที่ยังเหลืออยู่ก็บาดเจ็บสาหัสจนใช้การไม่ได้แล้ว

“ฉันจะต้องเลาะกระดูกพวกแกให้ได้…” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 ของสำนักความหวังใหม่คำรามด้วยความโกรธแค้น เตรียมตัวจะพุ่งเข้าไปโจมตีใส่โม่ซิงเหอและเฉินฮั่นหลง

“ตอนนี้การช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 พูดด้วยสีหน้าที่เคียดแค้น แต่ถ้าเขาไม่รักษาชีวิตลูกศิษย์ในสำนักไว้เสียก่อน ก็คงไม่มีหน้ากลับออกไปจากที่นี่อย่างมีชีวิตอีกแล้ว

ฟึบ

คราวนี้ เฉินฮั่นหลงโยนเครื่องประดับสังหารไปทางกลุ่มของคนจากหุบเขาราชาพิษบ้าง

ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 จากหุบเขาราชาพิษเตรียมตัวอยู่นานแล้ว เมื่อเขายื่นมือออกไปรับ เครื่องประดับชิ้นนั้นจึงตกอยู่ในมือของเขาก่อนที่มันจะได้แสดงอานุภาพออกมา

“มันตกเป็นของพวกข้าแล้ว!” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 จากหุบเขาราชาพิษส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย ทางหนึ่งเขากำลังพูดกับเฉินฮั่นหลงและอีกทางหนึ่งเขาก็กำลังพูดกับผู้อาวุโสของสำนักความหวังใหม่

สีหน้าของกลุ่มคนที่เหลือเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มากพอจะจับเขากินทั้งเป็น

เฉินฮั่นหลงหันหลังกลับไปด้วยความเสียดาย ลงมือสองครั้งสองคราว แต่เขาฆ่าคนได้ไม่มากเท่าที่คิด

เปรี้ยง!

การต่อสู้ของเหล่าปรมาจารย์จบลงแล้ว ขั้นปรมาจารย์จากสำนักกระบี่ทองคำและขั้นปรมาจารย์จากหุบเขาราชาพิษต่างก็บาดเจ็บสาหัสด้วยกันทั้งคู่

“สำนักกระบี่ทองคำ พวกแกดูถูกคนมากเกินไปแล้ว”

“สำนักกระบี่ทองคำ พวกแกอยากจะมีจุดจบอยู่ในภูเขาเฉียนหลงแห่งนี้จริง ๆ ใช่ไหม?”

ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ทองคำและหุบเขาราชาพิษต่างก็ช่วยเหลือสมาชิกของกลุ่มตัวเองออกไปหมดแล้ว

ขั้นปรมาจารย์สำนักกระบี่ทองคำทำสีหน้าไม่พอใจขณะพูดออกมาว่า “กล้ามาลองดีกับฉัน ก็เท่ากับเตรียมตัวตายไว้อยู่แล้ว” เขาพูดอย่างไม่กลัวเกรงขั้นปรมาจารย์ของอีกฝ่ายหนึ่งที่เดินเข้ามาสมทบ เนื่องจากว่าขั้นปรมาจารย์ของสำนักกระบี่ทองคำก็เข้ามาหาเขาแล้วเช่นกัน

“พวกแกมันโอหังมากเกินไปแล้ว” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 ของสำนักกระบี่ทองคำยกมือชี้หน้าคนของหุบเขาราชาพิษ

ฟึบ

ในขณะนั้น ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 ของสำนักกระบี่ทองคำพลันกระโดดออกไปยืนจ้องตาฝ่ายตรงข้าม

เมื่อยอดฝีมือทั้งสี่คนยืนเผชิญหน้ากัน แม้ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แต่บรรยากาศก็น่าสะเทือนขวัญเป็นอย่างยิ่ง

กลุ่มคนที่ดูเหตุการณ์อยู่รีบล่าถอยเข้าหาที่หลบภัย เพื่อไม่ให้ตนเองถูกลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บ

แต่ในจังหวะนั้นเอง หยางเฟ่ยพลันหยิบกำไลหยกออกมาและโยนเข้าใส่กลุ่มคนของสำนักกระบี่ทองคำ

ไม่มีใครจะคาดคิดว่าหยางเฟ่ยจะโจมตีใส่ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ทองคำในเวลาเช่นนี้

“ไอ้ชาติหมา นับว่าแกรนหาที่ตายจริงๆ” ปรมาจารย์กระบี่ทองคำคำรามเสียงดัง กำลังจะพุ่งตัวไปช่วยลูกศิษย์ แต่ก็ถูกนายใหญ่ของหุบเขาราชาพิษรั้งตัวเอาไว้

ส่วนผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งก็ถูกขั้นปรมาจารย์สำนักหมื่นกระบี่ยืนขวางหน้า

แต่เคราะห์ดีที่ยังมีขั้นปรมาจารย์ในสำนักกระบี่ทองคำอีกคน ใช้ทั้งมือและเท้าทั้งผลักทั้งเตะลูกศิษย์กระเด็นกระดอนออกไป

เพล้ง!

กำไลหยกตกกระแทกพื้นหินเสียงดังเสนาะหู! พลัน…ตัวกำไลแตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ

แตกหัก…ไม่มีลำแสงสีขาวพุ่งวาบออกมาอีกแล้ว ไม่มีม่านพลัง มันกลายเป็นเพียงแค่เศษหยกธรรมดาที่แตกหัก

หยางเฟ่ย เจ้าคนโง่!

ทุกคนได้แต่ยืนมองด้วยความตกตะลึง

นี่คือเรื่องราวใดกันแน่

มีเพียงแค่เฉินฮั่นหลงและโม่ซิงเหอเท่านั้นที่หันมองหน้ากันและยิ้มกว้าง เครื่องประดับสังหารเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่เหมือนใคร ไม่เช่นนั้นมันก็คงไม่แตกต่างไปจากเครื่องประดับหยกธรรมดาเหมือนชิ้นนี้

ผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน ทุกคนก็ยังตั้งสติไม่ได้ โดยเฉพาะหยางเฟ่ย เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยกมือทุบหัวตัวเองจนเลือดไหล ในที่สุด เขาก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ตนเองได้ครอบครองเป็นเพียงแค่กำไลหยกธรรมดา และมันก็แตกหักไปแล้ว ทำให้เขาอยากจะกระอักเลือดตายนัก

“นี่เป็นฝีมือพวกแกใช่ไหม?” มีใครบางคนตะโกนใส่เฉินฮั่นหลงและโม่ซิงเหอ

ตอนนี้ ทั้งหมดต่างก็รู้สึกตัวแล้วว่าถูกทั้งสองคนนี้หลอกตบตามาตลอด พวกเขาไม่ต่างไปจากสุนัขหรือลิงที่กำลังแสดงละครให้คนทั้งสองเฝ้าดูอย่างสบายอารมณ์

โดยเฉพาะบรรดาปรมาจารย์ที่ปกติจะมีความสุขุมนุ่มลึกและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ต่างก็ต้องมาเข่นฆ่ากันเองจนเกือบตาย พวกเขารู้สึกอับอายจนเลือดขึ้นหน้า ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น แต่น่าเสียดายที่สายตาแห่งความเกลียดชังของพวกเขา ไม่สามารถฉีกกระชากร่างของเฉินฮั่นหลงและโม่ซิงเหอให้ขาดออกเป็นชิ้นๆ ได้

“กัดกันต่อไปสิ กำลังสนุกเลย จะหยุดทำไม…” เฉินฮั่นหลงระเบิดเสียงหัวเราะ

”ตายซะเถอะ” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 1 ของสำนักความหวังใหม่คำราม เขาเกือบจะถูกฆ่าตาย ในตอนนี้จึงโกรธแค้นสุดขีดและไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีกแล้ว เขาพุ่งตรงเข้าไปหาเฉินฮั่นหลงและโม่ซิงเหอ

ขั้นปรมาจารย์อีก 2 คนภายในสำนักคนอื่นตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ตอนที่กำลังจะอ้าปากห้าม ลำแสงสว่างไสวก็ปรากฏขึ้น ขั้นปรมาจารย์อีกคนของพวกเขาได้ทะลุเข้าไปในลำแสงนั้นแล้ว

สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่ร่างของขั้นปรมาจารย์คนนี้

เดิมทีเขาตั้งใจจะพุ่งตรงเข้าไปหาเฉินฮั่นหลงและโม่ซิงเหอ แต่เมื่อเข้าไปถึงตัวทั้งสองก็กลายเป็นว่าไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

“มันอยู่ข้างหลัง!” มีใครบางคนร้องตะโกนขึ้น

แต่ขั้นปรมาจารย์คนนี้กลับมีสภาพเหมือนคนหูหนวก สายตาพร่าเลือน เขาก้ม ๆ เงย ๆ อยู่พักใหญ่ สีหน้าปรากฏความตื่นกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในทันใดนั้นเอง ขั้นปรมาจารย์ก็ล้มลงหงายหลัง และทำท่าเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

ทุกคนเบิกตามองด้วยความประหลาดใจ อดหัวเราะออกมาไม่ได้กับอาการของปรมาจารย์

ในตอนนี้ ปรมาจารย์กระบี่ฟ้าลุกขึ้นและออกวิ่ง ระหว่างที่วิ่งก็เหลียวมองข้างหลังตลอดเวลาด้วยสายตาตื่นกลัว ลักษณะของเขาเหมือนกำลังถูกสุนัขที่ไร้ตัวตนกำลังวิ่งไล่กัดอยู่อย่างไรอย่างนั้น

แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นในตอนนี้ก็คือ เขากำลังวิ่งวนเป็นวงกลม

พลัน ท่านปรมาจารย์กลับหยุดชะงัก และนั่งคุกเข่าอย่างหมดหวัง หลังจากนั้น ขั้นปรมาจารย์ก็เริ่มโขกศีรษะลงกับพื้นจนมีเลือดไหลออกมาแล้ว

“พวกแกทำอะไรเขา?” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 ของสำนักหมื่นกระบี่คำรามด้วยความโกรธแค้น เสียงของเขาดังลั่นเหมือนเสียงฟ้าคำรามสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

โชคร้ายที่ปรมาจารย์ยังคงคำนับพื้นดินอยู่อย่างนั้น ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของทุกคนเลย

“ปล่อยตัวเขามาเดี๋ยวนี้” ขั้นปรมาจารย์คนหนึ่งของสำนักหมื่นกระบี่จ้องหน้าโม่ซิงเหอ พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ขมับของเขาเต้นตุบๆ ดวงตาเป็นประกายดุร้าย

“เก่งจริงก็เอากลับไปเองสิ” โม่ซิงเหอหัวเราะคิกคัก

ดวงตาของผู้อาวุโสสำนักหมื่นกระบี่หม่นหมองลง ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ทำตัวแบบนี้ แกคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปได้อีกสักเท่าไหร่ ปล่อยเขาออกมา แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก”

โม่ซิงเหอได้ยินเข้าก็ถึงกับหัวเราะหนักกว่าเก่า ก่อนที่จะพูดออกมาเสียงดังว่า “ใครใช้ให้พวกแกโลภมากกันเองล่ะ ถ้าพวกแกไม่โลภมากตั้งแต่แรก จะถูกพวกฉันหลอกได้ยังไง ถ้าพวกแกไม่โลภมาก ก็ไม่ต้องกลายเป็นหมาวิ่งไล่งับกระดูกแบบนี้หรอก”

กลุ่มคนที่ยังอยู่ได้ยินดังนี้ ก็แสดงสีหน้าโกรธแค้นออกมา แต่โม่ซิงเหอน่ากลัวมากเกินไป นอกจากทำให้ขั้นปรมาจารย์ยอมก้มหัวคำนับให้ได้แล้ว ยังทำให้คนจากสำนักต่าง ๆ บาดเจ็บจำนวนนับไม่ถ้วน และทั้งหมดนี้ ก็ทำไปเพื่อแย่งชิงเศษหยกที่ไร้ค่าเพียงไม่กี่ชิ้น

“แล้วแกจะต้องเสียใจ” ผู้อาวุโสของสำนักหมื่นกระบี่พูดด้วยความอาฆาตแค้น

ระหว่างพวกเขากั้นไว้ด้วยม่านพลังที่มีความบางเบาเหมือนปีกจักจั่น

โม่ซิงเหอสามารถเห็นแววตาอาฆาตของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน

แต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัว โม่ซิงเหอหันกลับไปหาปรมาจารย์ที่ยังคงโขกศีรษะคำนับพื้นดินอยู่

“แกต้องการอะไร” ผู้อาวุโสลำดับที่สามของสำนักหมื่นกระบี่ถามออกมาด้วยความร้อนใจ

โม่ซิงเหอเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าขั้นปรมาจารย์ เหมือนคนที่เดินมาเพื่อรับการทำความเคารพ

“ไอ้บัดซบ แกจะทำอะไร…” ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 ของสำนักหมื่นกระบี่คำรามออกมาแล้ว

โม่ซิงเหอหันหน้ามามองด้วยสายตาน่ากลัว ก่อนที่จะก้มหน้ามองขั้นปรมาจารย์ซึ่งกำลังคุกเข่าคำนับอยู่บนพื้นและพูดว่า “เพื่อลบล้างความผิดที่แกทำในวันนี้ แกจะต้องคำนับต่อไปอีก 10,000 ครั้ง!”

“กล้าดียังไง ฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้แหละ”

“ได้เลย พวกเราร่วมมือกันฆ่ามันเดี๋ยวนี้”

กลุ่มคนของสำนักหมื่นกระบี่ส่งเสียงโห่ร้องตามๆ กัน

แต่ในตอนนั้นเอง โม่ซิงเหอยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งและเหยียบลงไปบนศีรษะของขั้นปรมาจารย์ ใบหน้าด้านข้างของขั้นปรมาจารย์แนบติดกับพื้นดิน ดวงตาของเขาจ้องมองมาทางคนของสำนักตัวเองอย่างไร้ความรู้สึก

กร๊อบ!

เสียงกระดูกหักดังขึ้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินขนลุกเกรียว

ขั้นปรมาจารย์ถูกโม่ซิงเหอเหยียบศีรษะจนคอหัก ทั้งที่ยังอยู่ในท่วงท่าก้มคำนับอยู่อย่างนั้น

ตายแล้ว ตายสนิท!

จิตใจของทุกคนชาดิก โม่ซิงเหอกระทืบศีรษะของขั้นปรมาจารย์ต่อไปไม่ยั้ง การกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร? มันแสดงให้เห็นว่าถึงแม้ศัตรูจะตายไปแล้วแต่โม่ซิงเหอก็จะไม่เมตตาเด็ดขาด ทุกคนที่หาญกล้ามาสู้กับเขา ต้องเตรียมตัวตายไปพร้อมกับความหวาดกลัว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด