ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 62 ทั้งหมดเป็นความผิดของเจียงหลี
เย่ว์ชิงหลิวไม่ได้ห้ามเย่ว์หนานซี เจียงอวี๋ตามเย่ว์หนานซีไปจากตรงนั้นที่มีผู้คนมากมาย
ทั้งสองยิ่งเดินยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงที่ลับตาคน บริเวณรอบๆ มีต้นไม้กั้นและยังมีโพรงดินที่บดบังสายตาผู้คน
พวกเขาอยู่ตรงนี้ สามารถมองเห็นผู้คนได้รางๆ แต่ว่ายากที่ผู้คนจะพบเห็นพวกเขา
ที่จริงแล้วเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการคุยกันตามลำพัง
“ท่านพี่หนานซี…” เจียงอวี๋พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ยื่นมือไปจะจับชายเสื้อของเย่ว์หนานซี
แต่ว่าเขาหลบได้อย่างง่ายดาย มองนางด้วยใบหน้าที่เย็นชา พูดถากถางว่า “เจ้าไม่ไปดูแลลั่วเทียนเจียวอยู่ตรงนั้นล่ะ มาหาข้าทำไม คนสำส่อน”
เจียงหลีสีหน้าเปลี่ยนไป มองเย่ว์หนานซีด้วยความเสียใจ ร้องไห้ไม่หยุด “ท่านพี่หนานซี ข้ามิได้เป็นคนเช่นนั้นนะเจ้าคะ! ในใจข้าชอบท่านพี่มาตลอด”
“ชอบข้าอย่างนั้นหรือ” ในรอยยิ้มที่เยาะเย้ยของเย่ว์หนานซี เขาโน้มตัวเขาไปแล้วใช้มือจับหน้านาง บังคับนางให้มองหน้าตน “ในตอนที่เจ้าอยู่กับลั่วเทียนเจียว ในใจเจ้าก็คิดถึงข้าหรือ”
เขาทั้งโมโห ทั้งหึงหวง
เพียงนึกถึงตอนที่เจียงอวี๋ยังอยู่ข้างกาย แต่เขายังไม่ทันได้เอาเปรียบนางเลย ผลสุดท้ายกลับถูกลั่วเทียนเจียวฉกไปกินเสียอย่างนั้น เขารู้สึกเจ็บราวกับมีหนองกลัดอก
เจียงอวี๋มองเย่ว์หนานซีอย่างหวาดกลัว ถูกบีบหน้าจนเจ็บไปหมด “พี่หนานซี อวี๋เอ๋อร์ยังบริสุทธิ์ ข้ากับคุณชายลั่วไม่เคยมีอะไรกัน”
“เจ้ายังบริสุทธิ์จริงๆ หรือ หึ ข้าไม่เชื่อ!” เย่ว์หนานซีพูดอย่างเย็นชา
“ท่านพี่หนานซี ทำอย่างไรถึงจะยอมเชื่ออวี๋เอ๋อร์” เจียงอวี๋ขอร้อง
เย่ว์หนานซีเผยรอยยิ้มที่ประหลาด พูดกับนางว่า “อยากให้ข้าเชื่อ ง่ายนิดเดียว” พูดจบ เขาเข้าประชิดเจียงอวี๋จนติดกำแพง ทำให้นางถอยหนีไปไหนไม่ได้ ก้มหน้าลงแล้วปิดปากนางไว้ในตอนที่เจียงอวี๋ตกใจ
อีกมือหนึ่งฉุดเอวนางอย่างแรง ทำให้เสื้อผ้านางหลวม
ลมเย็นๆ พัดเข้ามาจากซอก เจียงอวี๋ได้สติ นางขัดขืนและผละจากเย่ว์หนานซี ตะโกนสุดชีวิต “พี่หนานซี ท่าน ท่านพี่จะทำอะไร ท่านพี่อย่าทำแบบนี้…”
นางกลัวมาก!
ที่นี่คืองานประลองชิงเจียว ข้างหน้ามีผู้คนมากมาย ถ้าหากเย่ว์หนานซีทำอะไรนางที่นี่จริงๆ แล้วมีคนรู้เข้า นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
การขัดขืนของนาง ยิ่งทำให้เย่ว์หนานซีโกรธ เขากดเสียงต่ำ หายใจแรงแล้วพูดว่า “เจ้าอยากพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้าบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ ทำไมล่ะ ไม่กล้าแล้วหรือ”
คำพูดประโยคหลังมีความถากถาง ทำให้เจียงอวี๋ตัวแข็งทื่อ
เจียงอวี๋หยุดขัดขืน ทำให้เย่ว์หนานซียิ้มอ่อน มือทั้งสองข้างคลายออก
…
เจียงหลีเดินออกมาจากสนามการประลองเป็นคนสุดท้าย พอนางปรากฏตัว ก็ทำให้ผู้คนที่ดูอยู่รอบๆ ตะลึง
ทำไมถึงเป็นเด็กผู้หญิง
แทบทุกคนกำลังตะลึงกับวัยของเจียงหลี
“อายุน้อยขนาดนี้ สามารถเข้ารอบสิบคนสุดท้ายได้ แท้จริงแล้วนางมีพลังแค่ไหนกัน”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ก็คือสาวใช้ตระกูลลู่ที่ถอนหมั้นคนตระกูลเย่ว์”
“อ้อ นางนั่นเอง!”
“นึกไม่ถึงว่านางก็มาเข้าร่วมการประลอง”
“เจ้านี่รู้ข่าวช้าจริงๆ ได้ยินว่ามาตระกูลเย่ว์เคยไปหาตระกูลลู่เพื่อหารือกัน ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้นัดประลองกันที่งานประลองชิงเจียว”
“นึกไม่ถึงว่ายังมีเรื่องนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ งานนี้ก็มีอะไรน่าดูแล้ว”
“แน่นอน พวกเราก็ไม่ต้องพูดมาก รอดูอะไรสนุกๆ ดีกว่า”
“อืม มีเหตุผล เพียงแต่สาวใช้ตระกูลลู่ มีความสามารถจริงหรือไม่ เข้ารอบสิบคนสุดท้ายมาได้อย่างไร”
“เจ้าจะไปสนใจทำไม ถึงอย่างไรในการประลองก็มีผู้ตรวจตรา ถ้าหากมีใครทำผิดกฎ พวกเขาก็จะจัดการ สาวใช้คนนี้มาถึงตรงนี้ได้ อาจเพราะความโชคดี!”
…
การประลองชิงเจียวรอบที่สอง ได้เริ่มขึ้นแล้ว
คนของจวนท่านเจ้าเมือง นำป้ายชื่อคู่ที่จะประลองกันมาแขวนไว้
คู่แรกคือหลีเสวี่ยเฟิงแห่งเมืองเฉาหยางกับไป๋หลี่เฟิ่ง
เจียงหลียืนอยู่ข้างหน้า ดูชื่อบนป้าย คู่ที่สองเห็นชื่อของตัวเองกับเย่ว์หนานซี
หม่าหยวนจย่ายืนอยู่ด้านหลังนาง ก็เห็นเหมือนกัน เขารู้สึกแปลกใจ “ห้าอันดับสุดท้ายของการประลองชิงเจียว ล้วนแต่ต้องเวียนต่อสู้หนึ่งรอบ หลังจากประลองกับแต่ละคนเสร็จถึงจะได้ห้าคนสุดท้าย คิดไม่ถึงว่ารอบแรกคุณหนูก็เจอกับเย่ว์หนานซีเลย”
เจียงหลียิ้มอ่อน แววตาเปลี่ยนไป “ลำบากหน่อยนะตระกูลเย่ว์ อยากจะเห็นความพ่ายแพ้ของเย่ว์หนานซีจนทนไม่ไหวแล้ว”
ตึงๆๆ!
เสียงกลองดังขึ้น แจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่าการประลองชิงเจียวเข้าสู่รอบที่สองแล้ว
บนเวทีการประลองที่เป็นทรงกลม หลีเสวี่ยเฟิงยืนข้างบนแล้ว เพียงแต่ว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก
เขาก็คงคิดไม่ถึงว่าดวงของตัวเองจะไม่ดีเช่นนี้ รอบแรกก็เจอกับไป๋หลี่เฟิ่งเลย
เจียงหลีพาหม่าหยวนจย่าเบียดเข้าไปอยู่ด้านล่างเวที ดูอย่างสนใจกับคนรอบๆ ที่มาดู รอไป๋หลี่เฟิ่งขึ้นเวที
เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นโลกแห่งการประลองของเหล่าผู้เก่งกาจ แน่นอนว่าต้องสนใจ
เรียนรู้รูปแบบการต่อสู้ของผู้อื่น ก็เป็นการพัฒนาประสบการณ์การต่อสู้ของตัวเองรูปแบบหนึ่ง
…
หลังจากเสียงกลองดังขึ้น ในที่สุดเย่ว์หนานซีก็เสร็จธุระ
เขาจัดเสื้อผ้าของตัวเอง ยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มที่พึงพอใจ เขาหันไปมองเจียงอวี๋ที่แก้มแดงระเรื่อ นางก็รีบจัดเสื้อผ้าของตัวเอง กลัวว่ากลับเข้าไปจะดูมีพิรุธ
เห็นท่าทางที่เขินอายของนาง ปลุกอารมณ์ร้อนแรงดุจเปลวเพลิงของเย่ว์หนานซีที่เพิ่งจะดับลง เขายังอยากทำต่อ
เพียงแต่ว่าเสียงกลองจากที่ไกลๆ เตือนเขาให้รู้ตอนนี้คือเวลาอะไร
เขาหยิบผ้าที่เช็ดให้เจียงอวี๋ บนผ้ายังมีรอยเลือดเล็กน้อย “อวี๋เอ๋อร์ไม่ได้หลอกข้าจริงๆ เจ้าวางใจได้ ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี” พูดจบ เขาเก็บผ้าไว้ในเสื้อของตน
เห็นเขาทำเช่นนี้ เจียงอวี๋ทั้งเขินทั้งกลุ้ม ก้มหน้า พูดอย่างออดอ้อน “ตอนแรกที่ท่านพี่หนานซีสลบไป ข้าและท่านแม่ถูกไล่ออกจากตระกูลเย่ว์ ชีวิตระหกระเหิน และไม่กล้าอยู่ในเมืองนาน กลัวว่าจะโดนเจียงหลีเด็กนั้นแก้แค้น ก็เลยไปที่เมืองไป๋ลู่ หลังจากนั้นข้าและท่านแม่ก็เจอกับอันตราย แล้วคุณชายลั่วช่วยชีวิตไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะดี แต่ในใจของอวี๋เอ๋อร์มีเพียงแค่ท่านพี่หนานซี”
“ข้าเข้าใจทั้งหมด ทั้งหมดเป็นความผิดของเจียงหลี วางใจได้อวี๋เอ๋อร์ วันนี้ข้าจะทวงความยุติธรรมเพื่อตัวข้าและเจ้า ทำให้เจียงหลีไม่กล้าอวดดีต่อหน้าพวกเราอีก” เย่ว์หนานซีพูด
“อืม” เจียงอวี๋พยักหน้าเบาๆ มองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนเหมือนดั่งน้ำ “อวี๋เอ่อร์เชื่อท่านพี่หนานซี”
“อย่างนั้นก็ดี เจ้ากลับไปก่อน ข้าไปเข้าร่วมการประลองก่อน รอการประลองชิงเจียวจบลง ข้าจะมาหาเจ้าใหม่” เย่ว์หนานซีพูดจบ แววตาเป็นประกายระยิบระยับ
ความหมายแฝงในคำพูดนั้น ทำให้เจียงอวี๋ผู้ที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเขินอายจนต้องก้มหน้าลง
คอมเม้นต์