ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 109 แค้นนี้ ฝากไว้ก่อนเถิด
พลุบ พลุบ
เสียงแผ่วเบาดังมาจากตัวเจียงหลี
บนชุดสีดำนั้น มีเลือดไหลออกมาตามทุกส่วนของร่างนาง เลือดที่ไหลออกมาย้อมเสื้อผ้าของนางให้กลายเป็นสีแดงสด
ดวงตาของฉินเทียนอีหดลงพลางทิ้งลู่เสวียนลง เคลื่อนไหวดั่งเปลวเพลิง ชั่วพริบตาก็มาถึงหน้าเจียงหลี
“หลียาโถ่ว” ลู่เสวียนเองตอนนี่ก็ดึงสติกลับมาจนได้ เพิ่งสังเกตถึงความผิดปกติของเจียงหลี
เขาเองก็อยากจะเหมือนฉินเทียนอีที่ได้ดูอาการของนาง แต่ก่อนหน้านั้นเขาระเบิดพลังแห่งสายเลือด ทำไห้ตอนนี้หมดเรี่ยวแรงจนไม่มีแม้แต่แรงยกมือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าไปดูอาการของเจียงหลีได้หรือไม่
“นี่ ฉินเทียนอี อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง” ช่วยไม่ได้ ลู่เสวียนทำได้เพียงถามอาการจากฉินเทียนอีที่มาถึงตรงหน้าเจียงหลี สายตาฉินเทียนอีหยุดอยู่ที่ตัวเจียงหลี คนถูกมองมีสีหน้าที่เจ็บปวดนัก ราวกับว่า ในร่างมีพลังบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมา
สำหรับคำถามของลู่เสวียนนั้น ฉินเทียนอีไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด
แต่ในขณะนี้ เจียงหลีสัมผัสถึงลมหายใจที่ใกล้เข้ามา พยายามเงยหน้าขึ้น ก็พบกับใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินเทียนอี
ชุดสีแดงนั่นช่างทำให้นางรู้สึกคิดถึงเหลือเกิน
แต่ว่า
ฉินเทียนอีรู้สึกแปลกใจนักกับแรงอาฆาตที่แผ่ออกมาจากสายตานาง “เจ้าอยากฆ่าข้าปิดปากเช่นนั้นหรือ” เขาพูดแผนการของสาวน้อยด้วยน้ำเสียงแหย่เย้า
เจียงหลีไม่ปฏิเสธ แต่สายตากลับคมชัดขึ้น
ฉินเทียนอีหัวเราะ “ดูแล้วท่วงท่าที่เจ้าใช้เมื่อสักครู่นี่ คงจะเป็นท่าไม้ตายของเจ้าสินะ เจ้าอยากฆ่าข้า ก็พอเข้าใจอยู่นะ แต่ว่า เจ้าแน่ใจหรือว่าจะฆ่าข้าได้ นอกเสียจากว่า เจ้ายังสามารถปลดปล่อยพลังต่อสู้เมื่อสักครู่ได้ แต่ข้าดูเจ้าในสภาพนี้ คงจะเป็นไปไม่ได้สินะ”
“…” เจียงลีเม้มปากแน่นแต่ยังละสายตาจากเขาไม่ได้
ฉินเทียนอีพูดถูก วิชาลับที่นางใช้เมื่อครู่ เป็นวิชาลับสุดยอดของแคว้นกู่วู โลกแห่งยุคกลาง มีนามว่า ‘จักรพรรดิพิโรธ’
วิชาลับนี้ สามารถข้ามขอบเขตทุกพิภพได้ พลังทรงอนุภาพแห่งฟ้าดินร่วมกับพลังของตน ทำลายล้างทุกสิ่ง กำจัดทุกอย่าง การยืมใช้พลังจากฟ้าดินทำลายล้าง จำเป็นต้องรับมือกับผลข้างเคียง นอกจากผู้ที่มีสายเลือดแห่งราชวงศ์แคว้นกู่วูที่ใช้วิชานี้ จึงจะลดผลข้างเคียงให้น้อยลงได้ ศึกหันชุ่นในครั้งนั้น หากให้เวลานางอีกสักนิด นางก็สามารถใช้วิชาลับนี้ ไม่แน่อาจจะพลิกสถาณการณ์ได้ น่าเสียดาย…
ราวกับว่า ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว
อีกอย่างตอนนี้ พลังแห่งสายเลือดของนางได้แปลงเป็นเนตรญาณแล้ว ร่างกายตอนนี้ไม่มีสายเลือดจากแคว้นกู่วูเลยสักนิด ผลลัพธ์ของการฝืนใช้ ‘จักรพรรดิพิโรธ’ ก็ต้องทนรับเส้นเอ็นที่ขาดแหลกละเอียด อวัยวะภายในเสียหาย ถึงขั้นลดอายุขัย “เจ้าพูดถูก ข้าในตอนนี้ไม่มีแรงฆ่าเจ้าอีก” เจียงหลียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ว่าทั้งตัวจะอนาถแค่ไหน ฉินเทียนอียังเห็นความสง่างามที่ซ่อนอยู่บนใบหน้าของนาง
ฉินเทียนอีเลิกคิ้วขึ้น รอฟังต่ออย่างสนใจ
“หากเจ้ากล้าเอาเรื่องในวันนี้พูดออกไป สักวันข้าจะหาโอกาสฆ่าเจ้าให้ได้” เสียงเจียงหลีเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับว่า สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริง หาใช่เรื่องเพ้อฝันไหม
“อยู่ตรงนั้น!” เสียงเรียกดังขึ้นกะทันหัน ทำให้การจ้องหน้าของทั้งสองคนหยุดชะงัก
ฉินเทียนอีเผยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูก “รอเจ้าฟื้นตัวก่อน ถึงจะมีสิทธิ์มาข่มขู่ข้าได้ แล้วข้าจะบอกเจ้าอีกทีว่าจะช่วยเจ้าเก็บความลับนี้หรือไม่”
ฉินเทียนอีทิ้งท้ายไว้ แล้วลุกขึ้นยืนสะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทีที่สง่าผ่าเผย พลางเหยียบหายไปบนกิ่งไม้
เจียงหลีจ้องมองร่างที่จากไปของเขาด้วยสายตาที่มืดมน “หลียาโถ่ว เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ” ลู่เสวียนที่ตัวคว่ำอยู่กับพื้นค่อยๆขยับเข้าไปหาเจียงหลี ดวงตาที่วิตกความกังวลและความห่วงใยไม่มีท่าทีที่จะปกปิด
เจียงหลีถอนสายตาแล้วมองไปหาเขา เผยรอยยิ้มจางๆ “ข้าไม่เป็นไร”
ห่างจากที่นั่นไม่ไกลมากนัก หนานอู๋เฮิ่นนำคนของสถาบันไป๋หยวนมาถึง พวกเขาเห็นชายเสื้อสีแดงที่หายวับไป
“นั่นมันฉินเทียนอี!” อาจจะเป็นเพราะ เสื้อสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของฉินเทียนอี แม้จะเห็นชายเสื้อแค่แวบเดียว แต่คนข้างๆ หนานอู๋เฮิ่น คนหนึ่งก็เอ่ยชื่อเขาออกมาได้อย่างแม่นยำ
“ทำไมเขาถึงอยู่ในหุบเขาโยวโยวได้” มีคนสงสัย ดวงตาหนานอู๋เฮิ่นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงทุ้มเอ่ย “เข้าไปดูก่อน” เมื่อลู่เสวียนใกล้จะคลานไปถึงข้างกายเจียงหลี หนานอู๋เฮิ่นและพรรคพวกก็มาถึงก่อนแล้ว เดิมทีที่นี่อุดมด้วยพืชพันธุ์ แต่ตอนนี้ว่างเปล่าไปหมด บนพื้นยังมีหลุมรูปทรงแปลกๆ ในหลุมลึกยังมีเศษเลือดและก้อนเนื้ออยู่ ที่ดูไม่ออกลักษณะเดิมของมัน
“เจียงหลี! ลู่เสวียน!”
หนานอู๋เฮิ่นจำสองคนนี้ได้ ในใจเกิดสงสัย เมื่อมองไปยังเศษซากก้อนเนื้อนั้น เสมือนว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
ขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้าดังมาจากอีกด้านหนึ่ง เมื่อคนของสถานบันไป๋หยวนมองตามเสียงก็พบกับ อู๋เชียนได้นำคนของสำนักหลิงอู่มาถึง
ทันทีที่อู๋เชียนมาถึง สายตาก็เห็นลู่เสวียนที่ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ ลึกเข้าไปในดวงตามีแสงมืดมนวูบผ่าน
ถัดมา เขาก็เห็นเจียงหลีในสภาพอนาถา
นางอีกแล้ว อู๋เชียนคับแค้นใจยิ่งนัก สำหรับเจียงหลี หลังจากที่เขาประสบเรื่องราวในตระกูลลู่แล้ว ความรู้สึกไม่ชอบเป็นความเกลียดชังไปตั้งนานแล้ว
สุดท้าย เมื่อเขาเห็นเศษก้อนเนื้อที่อยู่ในหลุม ดวงตาหดลงรวดเร็ว สายตาเต็มไปด้วยความตกใจ “นี่มัน…”
“ผู้เฒ่าอู๋ การทดสอบศิษย์ใหม่ครั้งนี้ ที่เราสองสถาบันได้จัดขึ้นมา กลับมีคนร้ายปะปนเข้ามา หวังจะทำเรื่องไม่ดี เรื่องนี้ พวกเราทั้งสองสถาบันคงต้องสอบสวนกันอย่างถี่ถ้วน” หนานอู่เฮิ่นพูดขึ้น ขัดจังหวะการพูดของอู๋เชียน
สายตาอู๋เชียนมืดมน มีสีหน้าแย่ลง
เจียงหลีมองไปทางเขา ดูจากสีหน้านั้นแล้ว เรื่องในวันนี้ ไอหมาบ้าอู๋เชียนต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยอย่างแน่นอน
เจียงหลียิ้มเยือกเย็นแล้วหรี่ม่านตาลง
“ดูเหมือนว่า การประเมินสอบครั้งนี้ได้ล้มเหลวไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่เสียเวลาผู้เฒ่าอู๋ เขาทั้งสองเป็นศิษย์ของสถาบันไป๋หยวน ข้าขอพาพวกเขาไปก่อนแล้วกัน” หนานอู๋เฮิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
อู๋เชียนพูดไม่ออก ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เชิญท่านอาจารย์หนานตามสบาย”
เจียงหลีกับลู่เสวียถูกสถาบันไป๋หยวนนำตัวกลับไป ทั้งสองคนมาเข้าร่วมการทดสอบแต่กลับบาดเจ็บสาหัส เกือบจะถูกฆ่าตายในหุบเขาโยวโยว หนานอู๋เฮิ่นไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ ส่งทั้งสองกลับจวนอ๋องด้วยตัวท่านเอง
เมื่อพระชายาลู่เห็นลูกชายคนเล็กและเจียงหลีกลับมาในสภาพเช่นนี้ รีบรับสั่งให้หมอในจวนมารักษาและเปิดห้องสมบัติ เพื่อให้หมอหยิบใช้สมุนไพรล้ำค่าได้ทุกเมื่อ
แต่ว่า หลังตรวจสอบอาการของลู่เสวียนแล้วไม่ได้เป็นอะไรมาก
เจียงหลีต่างหากที่อาการหนักหนาสาหัสกว่า
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรแล้ว ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าขอคุยกับพี่ใหญ่หน่อยขอรับ” ลู่เสวียนมองท่านแม่ที่ร้องไห้หนัก รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
พระชายาลู่ปาดน้ำตา กล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ “ดูเจ้าสิ ดื้อนักจนทำให้หลีเอ๋อร์โดนลูกหลงไปด้วย”
“ลูกสำนึกผิดแล้วขอรับ” ลู่เสวียนรีบกล่าวขอโทษ พระชายาลู่พูดตำหนิไม่กี่คำ ก่อนจากไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนเดินออกไป ยังไม่ลืมกำชับลู่เจี้ยให้ดูแลเจียงหลีด้วย
รอจนนางจากไป ลู่เจี้ยหันกลับไปมองลู่เสวียนพูดว่า “เจ้าใช้พลังแห่งสายเลือด”
ลู่เสวียนกลับตอบไม่ตรงคำ “พี่ใหญ่ ชิงเกอคือใครหรือขอรับ ”
คอมเม้นต์