ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 135 อาณาเขตหลิงอู่อันน่าพิศวง
หรงจิ่งปลดปล่อยพลังวิญญาณออกปกคลุมบนร่างกายลู่เจี้ย ถึงขนาดกับกดทับดอกไม้ใบหญ้ารอบๆ นั้นให้ตกเตี้ยลงไปห่อเ**่ยวบนพื้นดิน
แต่ทว่า ลู่เจี้ยยังคงไม่หวั่นไหว ยกถ้วยสุรามรกตขึ้นมาข้างริมฝีปากแล้วจิบเบาๆ
ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
เจียงหลียืนขึ้นอย่างตกตะลึง ดวงตาทั้งคู่มองดูหรงจิ่งอย่างระแวดระวัง นางสามารถรับรู้ถึงพลังบนร่างกายของหรงจิ่ง ความรุนแรงของพลังวิญญาณนั้นไม่ด้อยไปกว่าของลู่จ้านเลย
แต่เขากลับอายุน้อยกว่าลู่จ้านถึงยี่สิบปี!
พลังวิญญาณของหรงจิ่งกดทับเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนเขาอยากจะบีบคั้นให้ลู่เจี้ยแสดงฝีมือออกมา แต่ทว่า ลู่เจี้ยกลับมองข้ามความกดดันของเขาไป
“คุณชายจิ่ง นายน้อยข้าขาดหนึ่งเนตรญาณแต่กำเนิด ไม่สามารถบำเพ็ญได้ เป็นเรื่องที่ใต้หล้าต่างก็รู้กัน” เจียงหลีขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปาก
น้ำเสียงที่ไม่อ่อนแอและไม่แข็งกร้าวของนาง ทำให้หรงจิ่งชายตาแล้วยิ้มกล่าว “ไม่สามารถฝึกฝนเป็นหลิงซือได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฝึกฝนเป็นเนี่ยนซือไม่ได้”
!
เจียงหลีตกตะลึงอยู่ในใจลึกๆ
หรงจิ่งผู้นี้ช่างจัดการยากเสียจริง ทว่า ถึงแม้เขาพูดคำนี้ออกมา ลู่เจี้ยก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เหมือนว่าแม้หรงจิ่งจะเอามีดมาจ่อบนคอเขา ฟันคอเขาขาด ลู่เจี้ยก็ไม่กระพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว
เจียงหลีหัวเราะเยาะเย้ย “ถึงแม้จะฝึกฝนเนี่ยนซือ ก็ต้องใช้พลังความคิดที่แข็งแกร่ง นายน้อยของข้าเนตรญาณไม่ครบ จะมีพลังความคิดที่แข็งแกร่งเช่นนั้นได้เช่นไร ท่านชายจิ่ง ท่านบีบคั้นคนอื่นมากเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้น เมื่อนางพูดจบ พลังความกดทับจากร่างกายหรงจิ่งนั้นก็สูบเก็บเข้าไปอย่างรวดเร็ว หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขามองดูเจียงหลี ดวงตาคู่นั้นยังคงแฝงด้วยรอยยิ้มอยู่ “ท่านพูดมีเหตุผล” แต่ว่า เมื่อเขาเหลียวกลับไปมองลู่เจี้ยกลับกล่าวว่า “ต้องมีสักวัน ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าท่านเก็บซ่อนอะไรไว้กันแน่”
ลู่เจี้ยยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ถกเถียงและไม่ได้อธิบาย เหมือนอยากจะปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจไป
หรงจิ่งก็ไม่ได้สนใจคำตอบของเขาเช่นกัน มองมาทางเจียงหลีอีกครั้ง แล้วเอ่ยถามอย่างสนใจ “เจ้าชื่ออะไรหรือ”
คำถามนี้ทำให้ลู่เจี้ยยกตาขึ้น เหลือบมองดูเจียงหลี แล้วละสายตาไป เหมือนไม่อยากจะก้าวก่าย
เจียงหลีมองตาหรงจิ่ง พูดชื่อของตนออกมาอย่างชัดเจน “เจียงหลี”
หรงจิ่งประหลาดใจไปสักพัก แล้วก็หัวเราะขึ้นมาทันใด “ข้าจำได้ว่าบุตรสาวของเจียงหลินเฟิงหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินท่านก่อน ก็ชื่อเจียงหลีเช่นกัน แต่เมื่อได้พบกันในวันนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าไม่เหมือนกับแม่นางเจียงที่ไม่สามารถฝึกฝนบำเพ็ญได้แต่มีความจำเป็นเลิศในตำนานผู้นั้นสักเท่าไร”
พูดจบ เขาก็ก้มศีรษะให้ แล้วหันกลับเดินจากไปอย่างอิสระ
เจียงหลีจ้องเบื้องหลังของเขา ในใจก็ครุ่นคิดถึงคำพูดนี้ของเขาว่าหมายความว่าอย่างไร
“หลีเอ๋อร์ อย่าได้ล่วงเกินคนผู้นี้” เมื่อหรงจิ่งหายไปจากสายตาของเจียงหลีแล้ว เสียงของลู่เจี้ยก็ดังขึ้นจากด้านหลังของนาง
เจียงหลีพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่ธรรมดาจริงๆ”
คำวิจารณ์ประโยคนี้กลับทำให้ลู่เจี้ยยกตาขึ้น ในดวงตาดั่งแก้วนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “น้อยนักจะได้ยินหลีเอ๋อร์ประเมินคนสูงเช่นนี้”
“ท่านชายจิ่งผู้นี้สมคำเลื่องลือยิ่งนัก” เจียงหลีไม่ได้สังเกตน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเขา แต่กลับพยักหน้าแล้วกล่าวเสริมอีกประโยค
นั่นทำให้ดวงตาของลู่เจี้ยนั้นมืดมนยิ่งขึ้น เขากระแอมเบาๆ ขึ้นมาทันใด เสียงนี้ดึงดูดความสนใจของเจียงหลีได้สำเร็จ
นางเหลียวกลับมามอง แล้วมาข้างกายเขา เอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อครู่เขาได้ทำร้ายท่านจนบาดเจ็บหรือไม่”
ความเป็นห่วงที่เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ทำให้ลู่เจี้ยเริ่มอารมณ์ดีขึ้น เขาส่ายหน้าช้าๆ “ไม่เป็นอะไร เพียงแค่ถูกพลังวิญญาณจู่โจมเท่านั้น”
“เจ้าสารเลวนี่! รอให้ข้าฝึกฝนจนเหนือกว่าเขาแล้ว จะต้องชำระแค้นนี้ให้ได้” แววตาของเจียงหลีตึงเครียด แล้วกัดฟันกล่าว
เมื่อได้ยินว่าเจียงหลีจะแก้แค้นให้กับตน ลู่เจี้ยก็ยิ้มมุมปากอย่างมิได้ตั้งใจ
เพียงแต่ รอยยิ้มนี้จางหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันให้เจียงหลีเห็น “หลีเอ๋อร์มาหาข้า มีธุระหรือ”
เมื่อนึกถึงธุระแล้ว เจียงหลีก็รีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นสองสามวันนี้ในสถาบันไป๋หยวนให้กับลู่เจี้ยฟัง “…หนานอู๋เฮิ่นบอกว่า ข้าสามารถเข้าอาณาเขตหลิงอู่ตามคนอื่นๆ ไปได้ แต่ทว่า วิญญาณยุทธ์ที่สองของข้าจะเลือกอะไรดี ข้าอยากฟังความเห็นของท่านก่อน”
ลู่เจี้ยหัวเราะขึ้นมา “หลีเอ๋อร์เก่งยิ่งนัก”
เจียงหลีกลอกตา “ใครอยากจะฟังคำเยินยอของท่านกันเล่า บอกสิ่งที่มีประโยชน์มาเถิด”
“วิญญาณยุทธ์ที่สองของหลีเอ๋อร์ ก็เลือกประเภทป้องกันแล้วกัน” ลู่เจี้ยยิ้มพลางตอบกลับ
“ประเภทป้องกันหรือ” เจียงหลีขมวดคิ้ว
นางรู้จักวิญญาณยุทธ์ได้ไม่ดีเท่าลู่เจี้ยอย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงได้อยากจะขอความคิดเห็นจากเขา เดิมทีนึกว่า เขาจะให้นางเลือกวิญญาณยุทธ์ประเภทจู่โจมอีก แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะให้ตนค้นหาวิญญาณยุทธ์ประเภทป้องกัน
“สามเนตรญาณแรก เป็นเนตรญาณพื้นฐาน ประเภทของวิญญาณยุทธ์นั้นจะกำหนดทิศทางความก้าวหน้าในอนาคต โดยปกติแล้ว วิญญาณยุทธ์ประเภทเดี่ยวนั้นจะฝึกบำเพ็ญได้ง่าย และยังฝึกบำเพ็ญได้เร็วกว่าวิญญาณยุทธ์หลายแขนงมาก แต่ว่า นั่นสำหรับคนธรรมดาทั่วไป หลีเอ๋อร์เป็นคนธรรมดาหรือ” ลู่เจี้ยอมยิ้มพลางถามกลับ
ไม่อยู่แล้ว! เจียงหลีตอบกลับในใจอย่างภาคภูมิใจ “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปค้นหาวิญญาณยุทธ์ประเภทป้องกัน”
ลู่เจี้ยพยักหน้า “อาณาเขตหลิงอู่เป็นแหล่งรวมวิญญาณยุทธ์ วิญญาณยุทธ์ในนั้นมีเป็นพันเป็นหมื่น ระดับขั้นก็แตกต่างกันมากนัก หลีเอ๋อร์จะต้องเลือกสรรอย่างละเอียด อย่าเลือกแต่เพียงถูไถตามใจตน หากเจ้าได้พบเสวียนกังกุยในนั้น นั่นจะเป็นการดีอย่างมาก!”
“เสวียนกังกุยหรือ” เจียงหลีจดจำชื่อนี้เอาไว้ในใจ
“ในบรรดาสัตว์ดุร้ายโบราณนั้น เสวียนกังกุยครองอันดับสาม วิญญาณยุทธ์ของมันนั้นยากจะรับมือ อีกยังหลอมรวมได้ยาก เจ้าเข้าไปในอาณาเขตหลิงอู่ จะต้องสำเร็จขั้นตอนการหลอมรวมในนั้น ฉะนั้นจะต้องระมัดระวัง อาณาเขตหลิงอู่นั้นเข้าได้เพียงร่างวิญญาณ การฆ่าฟันในนั้นเป็นเรื่องปกติ หากถูกสังหาร ถึงแม้จะไม่ตายจริง แต่ก็จะทำให้ร่างจริงได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะหากถูกลอบทำร้ายสังหารในขณะที่หลอมรวมวิญญาณยุทธ์อยู่ จะยิ่งอันตรายมากขึ้น” ลู่เจี้ยกำชับเจียงหลีอย่างรอบคอบ
เจียงหลีฟังอย่างตั้งใจจนจบ แล้วพยักหน้าให้ลู่เจี้ย
อาณาเขตหลิงอู่ ไม่มีในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่เปิดประตูทางเข้าได้นั้น ก็มีเพียงพลังอำนาจจำนวนน้อยเท่านั้น คนธรรมดาอยากจะทลายเงื่อนไขข้อจำกัดของตนเอง และได้รับวิญญาณยุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก็กล่าวได้ว่าการเข้าร่วมพลังอำนาจเหล่านี้ก็คือทางลัด!
“จริงสิ จิ่งเยี่ยนั่น…” เจียงหลีนึกถึงคนที่ทำให้นางเกิดความสงสัย
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เล่าเรื่องสถาบันศึกษาไป๋หยวนกับลู่เจี้ย นางได้เล่าถึงความผิดปกติของจิ่งเยี่ยด้วย
“ข้าจะส่งคนไปสืบพื้นเพของคนผู้นี้ และความสัมพันธ์ของเขากับบ้านตระกูลเจียงให้” ลู่เจี้ยสัญญากับเจียงหลี
ได้คำรับปากจากลู่เจี้ยแล้ว เจียงหลีก็ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป
สามวันต่อมา เจียงหลีกลับมายังสถาบันศึกษาไป๋หยวนอีกครั้ง และได้พบกับเหล่าศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนที่จะเข้าไปในอาณาเขตหลิงอู่เพื่อตามหาวิญญาณยุทธ์เหล่านั้น…
คอมเม้นต์