แม่สาวเข็มเงิน – ตอนที่ 8 หาเรื่องใส่ตัว

อ่านนิยายจีนเรื่อง แม่สาวเข็มเงิน ตอนที่ 8 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 8 หาเรื่องใส่ตัว

โจซื่อกำลังจับแขนเจียงหยุนชาน นางร้องไห้และไม่ยอมปล่อยเขาไป “หยุนชาน เจ้าเป็นเด็กรู้จักคิด… เจ้าลองคิดสิว่ากว่าอาจะเลี้ยงพวกเจ้าสองพี่น้องให้โตขนาดนี้ได้นั้นเป็นเรื่องง่ายงั้นหรือ ? อาต้องทุ่มเทอะไรไปบ้าง ? เจ้านึกสิ”

ดูเหมือนเจียงหยุนชานจะเก้อเขินเล็กน้อย เขาก้มหน้าลง เม้มริมฝีปากแต่ไม่ได้พูดอะไร

เจียงป่าวชิงที่ยืนแอบดูอยู่หวนรำลึกถึงความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมสักครู่ จากนั้นก็รู้สึกอยากหัวเราะเยาะ

…ทุ่มเทอะไรบ้างอย่างนั้นเหรอ ?

ตระกูลเจียงของพวกเขาเอาทรัพย์สินบ้านเรือนและที่ดินของสองพี่น้องไปเป็นของตัวเอง จากนั้นทุก ๆ ปีก็เหมือนเป็นการให้สิ่งของกับขอทาน พวกเขาจะนำเสื้อผ้าขาด ๆ หนึ่งหรือสองชิ้นที่เจียงต้ายากับเจียงเอ้อยาใส่ไม่ได้แล้ว และข้าวเก่าปนรำข้าวหนึ่งถุงที่เก็บมาหลายปีแล้วให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาสองพี่น้องไม่หนาวและหิวตาย

เจียงหยุนชานผู้เป็นชายหนุ่มถูกบังคับให้ทำงานเย็บปักถักร้อยอย่างดี เพื่อให้ตัวเองกับน้องสาวสามารถใส่เสื้อผ้าชำรุดนั้นได้อย่างเหมาะสมกับเขาบ้าง เสื้อผ้าเก่าที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานใส่ซึ่งมีรอยปะทับรอยปะนั้น ต่อให้มีรอยปะ แต่ใช่ว่าโจซื่อจะเป็นคนช่วยเย็บ

แล้วเหตุใดโจซื่อถึงยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองทุ่มเทอะไรบ้างอีก ?

ยังมีข้าวเก่าปนรำข้าวที่เก็บมาหลายปีถุงนั้น โจซื่อยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ ?! กี่ครั้งแล้วที่เจียงเอ้อยาหัวเราะเยาะพวกเขา ต่อให้เป็นหมูที่เลี้ยงในบ้าน พวกมันยังได้กินดีกว่าพวกเขาสองพี่น้อง

โจซื่อดูเหมือนจะไม่เห็นความลำบากใจของเจียงหยุนชาน ถึงได้จับแขนเจียงหยุนชานไม่ปล่อยอย่างนั้น เสียงร้องของนางดูเหมือนจะจริงใจมาก “อา… เรื่องเรียนหนังสือก็อีกเรื่อง เจ้าลองไปถามคนอื่นดูว่าในชีหลี่โวของเรานั้นมีเด็กกี่คนที่ได้ไปเรียนหนังสือ ?  กว่าครอบครัวเราจะส่งเจ้าเรียนหนังสือได้นั้นไม่ง่ายเลย ค่าใช้จ่ายของการเรียนหนังสือมีตั้งมากมาย ถ้าไม่มีการสนับสนุนของครอบครัว เจ้าจะมีวันนี้หรือ ? ต่อให้เป็นอาฉายน้องเจ้า ถ้าเขาอยากไปเรียนหนังสือ ข้ายังไม่ยอมให้เขาไปเลย”

เจียงป่าวชิงแทบจะกลั้นขำไม่ไหว เรื่องที่เจียงโหย่วฉายลูกชายคนเล็กของโจซื่อไปเรียนหนังสือนั้น โจซื่อไม่ยอมเสียที่ไหนกัน

เป็นเรื่องจริงที่ตระกูลเจียงจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อส่งเจียงโหย่วฉายที่เป็นต้นกล้าเพียงคนเดียวของตระกูลเข้าไปเรียนในโรงเรียน แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ไล่เจียงโหย่วฉายกลับบ้านโดยบอกว่าเจียงโหย่วฉายชอบก่อเรื่องในโรงเรียน ไม่เพียงแต่เขาจะสัปหงกในคาบเรียน เขายังต่อยเพื่อนร่วมชั้นสามถึงสี่คนในโรงเรียนอีกด้วย! ท้ายที่สุดเจ้าเด็กอันธพาลคนนี้ถึงกับต่อยบุคลากรในโรงเรียนไปอีกหนึ่งหมัด

เรื่องเพียงแค่นี้… โจซื่อยังมีหน้าเอาออกมาพูดอีกอย่างนั้นหรือ ?!

ส่วนเรื่องเรียนหนังสือของเจียงหยุนชานนั้น ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยังคงชัดเจน ตอนที่พ่อของเจียงหยุนชานยังอยู่ เขาได้รู้จักกับชายชราคนหนึ่งที่เคยดูแลงานอยู่ในตระกูลใหญ่ ชายชราคนนั้นรู้หนังสือไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความรอบรู้ เขาเห็นเจียงหยุนชานน่ารักน่าเอ็นดูและเป็นเด็กดี จึงหยิบกิ่งไม้บนพื้นทรายมาสอนให้เจียงหยุนชานรู้จักตัวหนังสือสองสามตัว

ใครจะไปคิดว่าเห็นเจียงหยุนชานอายุเท่านี้ แต่เขากลับเรียนรู้ได้เร็วยิ่งนัก ชายชราเห็นดังนั้นก็เกิดความสนใจจึงทำการสอนหนังสือให้เจียงหยุนชานทุกวันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาเขาก็อดไม่ไหวจึงบอกกับพ่อของเจียงหยุนชานว่าความสามารถในการเรียนรู้ของเจียงหยุนชานเปรียบเสมือนรางวัลของพระเจ้า และได้แนะนำให้พ่อของเจียงหยุนชานส่งเจียงหยุนชานไปเรียนหนังสือที่อำเภอ

เพียงแต่ต่อมาชายชราคนนั้นก็ไปที่อื่นเนื่องจากธุระส่วนตัว ส่วนพ่อของเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงก็มาป่วยจนลุกไม่ขึ้น เรื่องนี้จึงล่าช้าไป

หลังจากที่พ่อของพวกเขาเสียชีวิต ภายใต้ความบังเอิญ เจียงหยุนชานก็รู้มาจากเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันว่าโรงเรียนในอำเภอกำลังรวบรวมนักเรียน เขากัดฟันและจัดการเรื่องน้องสาวให้เรียบร้อย จนมาถึงวันสอบเป็นนักเรียนเขาก็ตื่นตั้งแต่เช้า และตามคนที่จะไปตลาดในอำเภอเข้าไปในอำเภอด้วยกัน

ใครจะคิดว่าการสอบครั้งนี้ เจียงหยุนชานจะสอบได้อันดับหนึ่งของนักเรียนทั้งหมด

บุคลากรในโรงเรียนรักเด็กที่มีความสามารถคนนี้ และหลังจากที่พวกเขารู้ว่าทางบ้านของเจียงหยุนชานยากจน พวกเขาก็ยกเว้นค่าตอบแทนครูผู้สอนให้มากกว่าครึ่ง

แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ แต่เจียงหยุนชานก็ยังเจอกับการไม่เห็นด้วยของท่านปู่เจียงอยู่ดี

ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ท่านปู่เจียงก็ไม่ยอมออกเงินให้เจียงหยุนชานไปเรียนหนังสือที่อำเภอ

“งานทำไร่ทำนาในบ้านยุ่งจะตายอยู่แล้ว และน้องสาวของเจ้ายังเป็นคนเกียจคร้านที่เอาแต่อ้าปากกินข้าวไปวัน ๆ คนในบ้านเลี้ยงพวกเจ้าให้โตมาขนาดนี้โดยที่ไม่ได้ค่าตอบแทนสักสลึง พวกเจ้าแต่ละคนก็เอาแต่กิน ๆ ๆ  วัน ๆ ไม่ทำอะไร แล้วยังคิดจะเอาเงินในบ้านไปเรียนหนังสือกวนประสาทนั่นอีกรึ ? ฝันไปเถอะ! อย่าหวังเลย!”

ต่อมา หัวหน้าหมู่บ้านได้ยินว่าตระกูลเจียงมีเด็กสอบเข้าโรงเรียนในอำเภอได้ที่หนึ่ง จึงจะมาให้กำลังใจเจียงหยุนชานสักหน่อย  แต่เขากลับได้ยินคำพูดที่ท่านปู่เจียงพ่นใส่เจียงหยุนชานเข้าพอดี เขาจึงรู้สึกไม่พอใจทันที และบังคับให้ท่านปู่เจียงออกค่าตอบแทนครูผู้สอนที่เหลือนั้น

ท่านปู่เจียงโกรธเป็นเวลานานเพราะเรื่องนี้  เขาไม่เพียงโกรธเรื่องเงินที่เสียไป แต่ที่โกรธยิ่งกว่าคือในบ้านต้องมาขาดแรงงานไปคนหนึ่งแต่ยังต้องเลี้ยงคนปัญญาอ่อนโดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทนอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม เจียงหยุนชานเรียนเก่งขึ้นเรื่อย ๆ และท่านปู่เจียงก็ได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านชมเจียงหยุนชานมากกว่าหนึ่งหรือสองครั้ง เขาจึงตระหนักได้ว่าถ้าเจียงหยุนชานสามารถสอบได้ตำแหน่งดี ๆ  ต่อไปตระกูลของพวกเขาก็จะได้อาศัยบารมีของเจียงหยุนชานไปด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้น ท่านปู่เจียงก็ค่อย ๆ ปฏิบัติต่อเจียงหยุนชานดีกว่าเดิมเล็กน้อย

ทว่าก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น…

สิ่งที่เจียงหยุนชานเรียนคือหนังสือนักปราชญ์ สำหรับเรื่องที่ตระกูลเจียงให้เขาเรียนหนังสือนั้น เขารู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ  ทว่าความซาบซึ้งใจไม่สามารถหักล้างกับความโกรธได้

เจียงหยุนชานกัดริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับโจซื่อด้วยเสียงอันเบา “ท่านอา ท่านอยากพูดอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ… ข้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณที่พวกท่านให้ข้าไปเรียนหนังสือ เพียงแต่เรื่องที่ให้ป่าวชิงไปแต่งงานกับเฉจื่อเจิ้งนั้น ข้ายอมไม่ได้จริง ๆ”

โจซื่อไม่คิดว่าเจียงหยุนชานที่หน้าบางมาตลอดจะปฏิเสธตนเองอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้ นางจึงจับแขนของเจียงหยุนชานไว้ จากนั้นก็ใช้นิ้วจิกลงไปแรง ๆ ลึก ๆ จนสีหน้าของเจียงหยุนชานเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว นางเอื้อมมือผลักหน้าต่าง จากนั้นก็เกาะหน้าต่างและตะโกนขึ้นเสียงดัง “พี่ชาย ข้าหิวแล้ว”

สีหน้าของโจซื่อเปลี่ยนไปทันทีแต่เจียงป่าวชิงไม่สนใจโจซื่อเลย นางเกาะหน้าต่างและเรียกโจซื่อว่า ‘ท่านอาเจ้าคะ’ ด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อย นางแอบหนีออกไปจากห้องดินเหนียวในตอนที่โจซื่อกำลังตื่นตระหนก จากนั้นก็ดึงเจียงหยุนชานออกมาจากภายใต้การเกาะกุมของโจซื่อ และพาเจียงหยุนชานวิ่งออกไปนอกประตูทันที

ในตอนนี้โจซื่อถึงจะดึงสติกลับมาได้

สองพี่น้องฝาแฝดได้ยินเสียงกระทืบเท้าและเสียงตะโกนขึ้นว่า ‘พวกเจ้า!’ ดังมาจากข้างหลัง แต่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานไม่ได้หันกลับไปมอง

เจียงป่าวชิงอาศัยความทรงจำตอนมา นางพาเจียงหยุนชานวิ่งตรงไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยสมุนไพร  ระหว่างทางก็เจอเข้ากับเด็กในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อเด็กพวกนั้นเห็นเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน พวกเขาก็ปรบมือและพากันหัวเราะยิ้มขำ

หนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกหัวเราะและพูดขึ้นว่า “ฮ่า ๆ ๆ พวกเอ็งดูสิ หนอนหนังสือมันพาน้องสาวปัญญาอ่อนของมันออกมาตากแดดอีกแล้ว”

สำหรับเรื่องที่ตระกูลเจียงขายเจียงป่าวชิงเพื่อแลกกับเงินห้าตำลึงนั้น คนของตระกูลเจียงไม่ได้เอาไปพูดที่ไหนเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร ในหมู่บ้านจึงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเจียงป่าวชิงถูกขายแต่หนีกลับมาได้

เจียงหยุนชานไม่ได้พูดอะไร เขาจับมือเจียงป่าวชิงไว้แน่น

เจียงป่าวชิงหันหน้าไปมองเด็กพวกนั้นเล็กน้อย

แม้จะบอกว่าเป็นเด็ก แต่แท้ที่จริงอายุก็ไม่น้อยแล้ว พวกเขาก็แค่เด็กที่มีกำลังวังชาเปี่ยมล้นกลุ่มหนึ่ง ด้วยเพราะไม่ได้ไปเรียนหนังสือ อีกทั้งที่บ้านก็ไม่มีอะไรทำจึงพากันไปปีนต้นไม้ จับนก จับปลาในแม่น้ำ ชนไก่ พาหมาไปเดินเล่น ก่อความวุ่นวายอะไรได้ก็ทรมานสิ่งนั้น

โดยปกติเด็กพวกนี้มักจะก่นด่าเจียงป่าวชิงเป็นประจำ เจียงป่าวชิงทำเพียงซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัวมาโดยตลอด นางเคยมองพวกเขาอย่างสังเกตแบบนี้ที่ไหนกัน ?

“ไอ้เจ้าปัญญาอ่อนมันเปลี่ยนไปแล้วหรือ ?” หนึ่งในนั้น คนที่น้ำมูกกำลังไหลย้อยคนหนึ่งเบะปาก จากนั้นก็หยิบกิ่งไม้และโยนใส่เจียงป่าวชิง

เจียงหยุนชานปกป้องอยู่ตรงหน้าเจียงป่าวชิง กิ่งไม้นั้นจึงกระเด็นมาโดนใบหน้าของเจียงหยุนชานและทิ้งรอยแดงไว้บนใบหน้าของเขาจาง ๆ  เขารู้สึกเจ็บแต่กลับไม่ส่งเสียงออกมาเพราะเขากลัวน้องสาวจะเป็นห่วง

เจียงป่าวชิงหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นนางก็หยิบก้อนหินก้อนเล็กขึ้นมาจากบนพื้นและออกแรงขว้างไปทางคนที่โยนกิ่งไม้มาเมื่อสักครู่นี้

ไม่นานนักเสียงร้องอย่างน่าเวทนาก็ดังก้องไปทั่ว  คนที่โยนกิ่งไม้คนนั้นกอดแขนข้างหนึ่งพลางร้องไห้อย่างเจ็บปวด “อ๊าก! เจ้าปัญญาอ่อนมันหยิบก้อนหินมาขว้างใส่ข้า! แขนข้าถูกมันขว้างหินใส่จนหักแล้ว! แขนหักแล้วโว้ย! พวกเจ้ารีบไปต่อยมันให้ตายเร็วสิ! ต่อยมันให้ตายเลย!”

พวกเพื่อน ๆ ของเด็กคนนั้นตกใจ แต่จากนั้นก็รีบเดินไปถอดเสื้อของเขาอย่างลุกลี้ลุกลน พากันสำรวจแขนของเขากันจ้าละหวั่น

ถอดเสื้อนอกออกแล้ว แขนเสื้อด้านในก็รูดขึ้นมาจนสูงแล้ว อย่าบอกว่าหักเลย บนแขนที่ค่อนข้างดำนั้น แม้แต่รอยที่มีสีเข้มก็ไม่มีปรากฏให้เห็นแม้แต่นิดเดียว

เพื่อนคนหนึ่งหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ๆ ๆ กางจื่อ ทำไมเจ้าถึงทำตัวน่าขายหน้าได้เช่นนี้ เจ้าปัญญาอ่อนนั่นจะมีแรงสักแค่ไหนกันเชียว ? อีกอย่าง เสื้อผ้าตัวนี้ของเจ้าก็หนามาก ยังจะมาบอกว่าถูกขว้างหินใส่จนแขนหักอีก ฮ่า ๆ ๆ! แม้แต่รอยสักรอยก็ยังไม่มีเลย ร้องเสียเหมือนหมูถูกเชือดอย่างนั้น เจ้านี่น่าขายหน้าจริง ๆ”

เพื่อนที่อยู่ด้านข้างต่างก็พากันหัวเราะลั่น

เด็กที่ชื่อ ‘กางจื่อ’ คนนั้นหน้าแดงลามไปถึงใบหู เขากอดแขนด้วยดวงตาแดงก่ำ สายตาก็มองแขนของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ  ในเมื่อไม่หัก แล้วทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บขนาดนี้ล่ะ ?

เด็กพวกนี้ทยอยทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้

เจียงป่าวชิงยกยิ้มมุมปาก นางพาเจียงหยุนชานเดินออกไปในตอนที่สถานการณ์กำลังวุ่นวาย  เดินมาได้สักพักเจียงหยุนชานก็ลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่าง

“ป่าวชิง…” เขาเรียกน้องสาวเบา ๆ เขาอยากสั่งสอนน้องสาวว่าการปาก้อนหินใส่คนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดี ถ้าหากปาไปโดนดวงตาหรือส่วนไหนก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามอาจจะต้องเป็นอะไรบางอย่างไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

แต่เมื่อเจียงหยุนชานนึกถึงความเจ็บปวดที่น้องสาวเคยได้รับมาก่อน เขากลับพูดคำพูดเหล่านี้ไม่ออก

ช่างเถอะ… ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่คนพวกนั้นหาเรื่องใส่ตัวเอ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด