ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม – ตอนที่ 16 ท้องเสียขั้นน่ากลัวสุดขีด
“โอ้แม่เจ้า!” เมื่ออันหลินเห็นรอยหมัดบนหน้าผา ก็อดอุทานขึ้นมาไม่ได้
อานุภาพของวิชาเซียน เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ผู้ที่ร่ายมนตร์อย่างเขา ก็ยังสะดุ้งโหยง
หลังตกตะลึงแล้ว ใบหน้าของอันหลินก็แสดงอาการกระหยิ่มใจและตื่นเต้น
หมัดสะเทือนขุนเขา วิชาเซียนอันแรกของระบบ ไม่คิดว่าอานุภาพจะยิ่งใหญ่ปานนี้ แล้วอัสนีมรรควิถีล่ะจะเป็นอย่างไร
ตอนนี้เขาเกิดความคิดชั่ววูบอยากค้นหาสถานที่สักแห่ง จากนั้นถูกสายฟ้าสวรรค์ผ่าสักที
วิชานั้นแค่ได้ยินชื่อก็สุดยอดมากแล้ว เมื่อมีตัวอย่างของหมัดสะเทือนขุนเขา อันหลินก็เกิดความกระเหี้ยนกระหือรือยิ่งขึ้น
สวีเสี่ยวหลานเห็นอันหลินดำดิ่งอยู่ในวิชาเซียนของตัวเอง แถมยังทำหน้าลำพองใจอีกด้วย ก็อดส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอไม่ได้
แม้นางจะไม่รู้ว่าอันหลินไปได้วิชาเซียนวิชานี้มาจากไหน แต่นางรู้ว่าตัวเองในตอนนี้ จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
“วิชาเซียนนี่ก็ไม่ได้ร้ายกาจเท่าใดนัก ดูของข้า!”
พูดจบ สวีเสี่ยวหลานก็เงื้อมือฟาดออกไปทางหน้าผาข้างหน้า ฝ่ามือเปลวอัคคีกว้างสองจั้งกว่าก็ลอยหวีดหวิวออกมา
อุณหภูมิสูงจนน่ากลัวของฝ่ามือเปลวอัคคี แม้สวีเสี่ยวหลานจะอยู่ห่างจากอันหลิน แต่ก็รู้สึกถึงความร้อนระอุ
ต่อมาฝ่ามือก็ประทับรอยลงบนหน้าผา ทำให้มันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ตูม!
เมื่อสิ้นเสียงดังสนั่น ก็มีรอยฝ่ามือที่มีขนาดใหญ่กว่ารอยหมัดของอันหลินหลายเท่าปรากฏบนหน้าผา
แถมรอบๆ ก็ดำสนิท แม้แต่ก้อนหินก็ไหม้เกรียมแล้ว!
อันหลินอ้าปากกว้าง สบตากับสวีเสี่ยวหลานแวบหนึ่ง
จากนั้น อันหลินก็เห็นสีหน้าสบายๆ ของนาง
เสมือนว่าฝ่ามือนั้น นางปล่อยออกมาโดยที่ไม่เปลืองแรงเลยสักนิด
อารมณ์ของอันหลินเริ่มดิ่งลงอีกครั้ง…
อะไรกัน คนอื่นก็ปล่อยฝ่ามือออกไปง่ายๆ อานุภาพก็รุนแรงกว่าหมัดสะเทือนขุนเขาของเรามากขนาดนั้น ที่แท้วิชาเซียนของเราเป็นแค่วิชาธรรมดาเองเหรอเนี่ย…
อันหลินไม่รู้ว่า ฝ่ามือของสวีเสี่ยวหลาน นางใช้พลังของปราณหงส์สวรรค์ร่วมด้วยพลังยุทธ์กายแห่งมรรคขั้นสิบของนาง ถึงจะได้ผลลัพธ์อย่างที่เห็นนี้
อานุภาพหมัดของอันหลิน หากกล่าวตามวิชาเซียน อันที่จริงถือว่าแข็งแกร่งผิดธรรมดาแล้ว
สวีเสี่ยวหลานกังวลว่าเขาจะลำพองใจเพราะรู้วิชาเซียนนี้ จึงหวังดีเจตนาใช้วิธีนี้
จากนั้น นางแอบชำเลืองมองอันหลิน เมื่อเห็นอากัปกิริยาของอันหลิน ก็แอบพยักหน้า ระริกระรี้ในใจ
ดูท่าทางผลลัพธ์จะไม่เลวทีเดียว…
อย่างน้อย เขาก็ไม่แสดงอาการกระหยิ่มยิ้มย่องว่ามีวิชาเซียนอยู่กับมือเช่นนั้นอีก
…
หลังได้กินจิตวิญญาณแห่งขุนเขาแล้ว อันหลินรู้ดีว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงกลับที่พักของตัวเอง
เมื่อถึงห้อง เขาก็เริ่มกระตุ้นกำลังภายใน ดูดซึมพลังชีวิตของฟ้าดินเพื่อฝึกกาย
ท่าทางเราต้องพยายามให้หนักขึ้นแล้ว ยิ่งเป็นคนโง่เขลาก็ยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้น!
วันนี้อันหลินสะเทือนใจไม่น้อยเลย
เมื่อก่อนเขาคิดว่าตัวเองสามารถพึ่งพาระบบ ไต่เต้าเป็นอัจฉริยะของแดนนี้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าความจริงอันโหดร้ายบอกเขาว่า ความคิดของตัวเองช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน
ตัวเองที่ไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีต้นทุน ไม่มีสำนักคอยหนุนหลัง แค่ใช้ระบบจะไล่ตามฝีเท้าของเหล่าอัจฉริยะทันงั้นเหรอ
หากไม่พยายามด้วยตัวเอง คิดแต่จะพึ่งพาระบบทุกวี่ทุกวัน เกรงว่าระยะห่างจะยิ่งไกลขึ้นไปทุกทีน่ะสิ
อันหลินไม่ใช่คนที่กลัวความล้มเหลว ยิ่งหนทางข้างหน้าลำบาก ก็จะยิ่งกระตุ้นความมุ่งมั่นของเขา
และเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึงใช้เวลาทุกวินาทีในการตั้งใจบำเพ็ญเพียร
พรสวรรค์ไม่พอ ใช้เวลาให้พอ!
แต่ขณะที่เขาเริ่มบำเพ็ญเพียรด้วยความมุ่งมั่นอันเต็มเปี่ยม จู่ๆ ท้องน้อยของเขาก็เกิดปวดบิดขึ้นมา
เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น
อันหลินคลึงท้อง ชั่วขณะนั้นเอง ท้องของเขาก็เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
อาการปวดบิดอย่างรุนแรงโจมตีท้องน้อยของเขา ทำให้เขาตื่นตระหนก
เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกลือกกลิ้งในท้อง หรือจะกินอะไรผิดสำแดงเข้าไป
อาหารในโรงอาหารถูกสุขอนามัยมาโดยตลอด อีกอย่างทำให้คนในระดับกายแห่งมรรคขั้นเจ็ดท้องเสียได้ มีก็แต่วางยาแล้วล่ะ!
อ๊าก ไม่ไหวแล้ว จะราดแล้ว!
อันหลินทนไม่ไหว พุ่งตัวเข้าห้องน้ำทันที
จากนั้น ก็มีเสียงเหมือนช้างร้อยตัวพุ่งชนดังมาจากห้องน้ำ เขาปล่อยกระแสน้ำถาโถมลงมา…
วันต่อมา สวีเสี่ยวหลานไม่เห็นเงาของอันหลินในห้องเรียน เกิดความสงสัยในใจอย่างอดไม่ได้
วันนี้ อันหลินนั่งยองๆ อยู่ในห้องน้ำ
แม้ท้องไส้จะไม่มีอะไรให้ถ่ายแล้ว แต่ความคิดที่อยากจะถ่ายจนตราบสิ้นดินฟ้า กลับตามหลอกหลอนเขาตลอดเวลา…
วันที่สาม สวีเสี่ยวหลานก็ยังไม่เห็นเงาของอันหลิน ความสงสัยในใจรุนแรงมากขึ้น หรือเจ้านั่นจะทะเลาะกับคนอื่น ถูกจับตัวเข้าห้องกักตัวของสำนักอีกแล้ว
สวีเสี่ยวหลานนึกขึ้นได้ว่า จู่ๆ ก่อนหน้านี้อันหลินก็ใช้วิชาเซียนที่สุดยอดมากวิชาหนึ่ง มีความเป็นไปได้เช่นนี้อยู่จริงๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็ถอนหายใจยาว ครุ่นคิดว่าจะไปเยี่ยมอันหลินที่ห้องกักตัวดีไหม
วันนี้ อันหลินนั่งยองๆ อยู่ในห้องน้ำ
แม้ท้องไส้จะไม่มีอะไรให้ถ่ายแล้ว แต่ความคิดที่อยากจะถ่ายจนตราบสิ้นดินฟ้า กลับตามหลอกหลอนเขาตลอดเวลา ทำให้เขาย้ายฝีเท้าไม่ได้เลยแม้แต่นิด…
วันที่สี่ สวีเสี่ยวหลานก็ยังไม่เห็นเงาของอันหลิน นางจึงตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมอันหลินที่ห้องกักตัว
หลังเลิกเรียน นางมาถึงห้องกักตัวของสำนัก กลับไม่เห็นร่องรอยของอันหลิน
น่าแปลก เขาไม่อยู่ที่ห้องกักตัว แล้วอยู่ที่ใดกัน
สวีเสี่ยวหลานขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นก็เกิดคิดขึ้นมาได้ สาเหตุคงไม่ใช่มาจาก ‘จิตวิญญาณแห่งขุนเขา’ หรอกนะ
จิตวิญญาณแห่งขุนเขาเป็นสิ่งปฏิกูลที่เกิดขึ้น หลังเทพแห่งขุนเขาดูดซึมพลังชีวิตของฟ้าดิน
อันที่จริงจิตวิญญาณแห่งขุนเขาไม่มีอันตราย แต่หากนักพรตรับประทานเข้าไปโดยตรง จะเกิดผลข้างเคียง นั่นก็คือท้องเสียอย่างรุนแรงสามวัน!
เดิมทีสวีเสี่ยวหลานคิดจะกลั่นแกล้งอันหลิน จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขาก่อน และตั้งใจจะรอให้เขาปวดท้อง ค่อยแสดงน้ำใจช่วยเหลือเขา
เมื่อเป็นเช่นนั้น สวีเสี่ยวหลานก็จะได้เอาคืนเรื่องที่อันหลินหยาบคายกับนางได้อย่างง่ายดาย
ไม่คิดว่าหลังอันหลินกินจิตวิญญาณแห่งขุนเขาเข้าไปแล้ว จะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย กลับกระโดดโลดเต้นแทน สวีเสี่ยวหลานจึงคิดว่าเขามีภูมิคุ้มกันต่อผลข้างเคียงเสียอีก
สวีเสี่ยวหลานลูบคางขาวสะอาดพลางพึมพำว่า “ไม่ใช่ไม่ได้ผล แต่ยังไม่ถึงเวลางั้นหรือ คำนวณดูแล้วนี่วันที่สามแล้วสินะ หากสาเหตุมาจากจิตวิญญาณแห่งขุนเขา พรุ่งนี้น่าจะได้เจอเขาแล้ว”
วันนี้ อันหลินนั่งยองๆ อยู่ในห้องน้ำ
แม้ท้องไส้จะไม่มีอะไรให้ถ่ายแล้ว แต่ความคิดที่อยากจะถ่ายจนตราบสิ้นดินฟ้า กลับตามหลอกหลอนเขาตลอดเวลา ทำให้เขาย้ายฝีเท้าไม่ได้เลยแม้แต่นิด…
ไม่สิ อันหลินเกิดความรู้สึกบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนตัวเองสามารถถ่ายลำไส้ออกมาได้แล้ว…
วันนี้ สวีเสี่ยวหลานยังคงไม่เห็นอันหลินในห้องเรียน นางล้มเลิกข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ไป
หรือว่าไม่ใช่ท้องเสีย
ช่างเป็นคนที่ทำให้ห่วงอยู่เรื่อยเลย ก็ได้ ไปเยี่ยมเขาหลังเลิกเรียนสักหน่อยแล้วกัน
วันนี้ อันหลินนั่งยองๆ อยู่ในห้องน้ำ ความคิดที่อยากถ่ายจนตราบสิ้นดินฟ้า หายไปจากสมองของเขาแล้ว
หากถามว่าทำไมเขายังนั่งยองๆ อยู่ในห้องน้ำ
นั่นเป็นเพราะเขาลุกไม่ขึ้น
ใช่แล้ว เขานั่งจนขาขยับไม่ได้เสียแล้ว…
…………………………..
คอมเม้นต์