นี่ข้าเป็นเพียงตัวประกอบงั้นรึ – ตอนที่ 7 แกล้งป่วย
ตอนที่ 7
แกล้งป่วย
ผ่านไป 10 วันหลังจากที่มู่หลานมาแจ้งข่าวให้ลู่ห่านว่าจะมีการบ่มเพาะแบบกลุ่มถูกจัดขึ้นมา
ยามเช้าของวันดวงอาทิตย์เปล่งประกายทอสีทองแสงสว่างไสวปกคลุมไปทั่วทั้งเก้าดินแดน บนยอดเขาหวนหลงที่มีพื้นที่กว้างขวาง ภายในเรือนไม้หลังหนึ่งที่ตั้งเด่นอยู่บนพื้นที่เขาหลายร้อยหมู่นั้นร่างของบุรุษที่เพิ่งย่างเข้าวัย 20 ปีกำลังเตรียมการอันใดอยู่หลังเรือนไม้เล็กๆหลังนั้น
ไม่นานนักเวลาเริ่มแผนการก็มาถึงลู่หานจัดแจ้งพื้นที่ภายในเรือนของตนอย่างไม่ขาดตกพร้อมกับพาร่างของตนเองไปนอนนิ่งอยู่บนเตียง
ครั้งนี้ลู่หานตั้งใจเอาไว้ว่าเขานั้นจะแกล้งป่วย การฝึกฝนบ่มเพาะแบบกลุ่มมันกินเวลาตั้งหนึ่งเดือนเขาไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าของตนเองไปกับการบ่มเพาะเช่นนั้นหรอก
ผู้ฝึกยุทธ์แต่ละคนมีความรวดเร็วในการบ่มเพาะแตกต่างกันไปรวมไปถึงประเภทของวิธีการบ่มเพาะด้วย บางคนสามารถบ่มเพาะด้วยตนเองรวดเร็วกว่าแบบกลุ่มหรือว่าบางคนอาจจะบ่มเพาะแบบกลุ่มได้รวดเร็วกว่าด้วยตนเองคนเดียว
เพราะว่าร่างกายของมนุษย์นั้นแตกต่างกันออกไป สิบวันหลังจากที่ลู่หานได้ลองบ่มเพาะด้วยตนเองโดยใช้วิธีการบ่มเพาะของเยี่ยหวนที่เป็นตัวเอกของเรื่องที่ทางนักเขียนได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดตอนนี้พลังของทักษะบ่มเพาะรากฐานของเขามันได้อยู่ในระดับกำเนิดพลังสีครามเรียบร้อยแล้ว มันทำให้ลู่หานรู้ว่าตนเองเหมาะกับการบ่มเพาะด้วยตัวเองมากกว่า
ในเมื่อการบ่มเพาะพลังของเขาเหมาะกับการบ่มเพาะด้วยตนเองมากกว่า แล้วเขาจะทำบ่มเพาะแบบกลุ่มไปด้วยเหตุใด ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้สิ้นเปลืองเวลาชีวิตสู้เอาเวลาไปดูแลสมุนไพรหยางไท่ดีกว่า
ลู่หานที่พาร่างของตนเองไปนอนนิ่งบนเตียงเขากระทำสองอย่างเพื่อเป็นการหลอกตาหมู่หลาน หนึ่งคือการนำผงบางอย่างมาป้ายทาบริเวณริมฝีปากให้ดูซีดเผือดและนำผ้าที่ต้มด้วยน้ำร้อนมาเช็ดตามร่างกายให้ร่างกายภายนอกนั้นร้อนเหมือนกับผู้ที่มีไข้สูง
ลู่หานคิดวิธีนี้ได้จากตอนที่สมัยเขายังเด็กเขามักจะใช้วิธีการนี้ในการหลอกพ่อแม่เพื่อแกล้งหยุดเรียนอยู่บ่อยครั้ง
นี้ก็ได้เวลาที่จะเริ่มการบ่มเพาะแบบกลุ่มแล้วลู่หานว่าถ้าเมื่อไม่เจอเขาปรากฏกายอย่างไรเสียก็ส่งมู่หลานมาตามตัวเขาอย่างแน่นอน ตอนนี้สิ่งที่ลู่หานกระทำได้คือการนอนหลับตาและเฝ้ารอเพื่อแสดงต่อหน้าของมู่หลานให้ดีที่สุด
ไม่นานนักลู่หานที่กำลังนอนหลับตาอยู่นั้นหูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว การปรากฏกายอย่างไร้เสียงขึ้นมาโดยก่อนหน้าแทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าจากไกลๆเช่นนี้มีเพียงมู่หลานเท่านั้น
ยามนี้เท่าที่ลู่หานจำเนื้อเรื่องของนิยายได้ไม่ผิดมู่หลานนางมีทักษะบ่มเพาะที่ชื่อว่าย่างกายไร้เสียง ทักษะบ่มเพาะนี้มันเป็นทักษะบ่มเพาะที่คอยส่งเสริมการเคลื่อนไหวของนางให้รวดเร็วและแทบจะไร้เสียงของการเคลื่อนไหว
ผู้ที่ปรากฏกายออกมาเช่นผีได้ภายในสำนักอักษรสวรรค์มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นคือ มู่หลาน และ มหาจอมปราชญ์
หูของลู่หานได้ยินเสียงฝีเท้านั้นปรากฏขึ้นมาแล้วค่อยๆย่างกายเข้าใกล้ร่างของเขาเรื่อยๆ เมื่อเสียงฝีเท้าอันนุ่มนวลมาหยุดใกล้ร่างกายของเขา ลู่หานได้โอกาสเปิดดวงตาทั้งสองข้างของตนเองที่กำลังพับปิดอยู่เปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ
ดวงตาคู่พยายามลืมเปิดไม่เต็มด้วยเพื่อแสดงให้นางเห็นถึงความอิดโรย ภาพแรกที่ลู่หานเห็นคือมู่หลานกำลังยืนมองเขาอยู่ข้างเตียง ไม่ได้พบเจอกันหลายวันความงดงามบนใบหน้าอันเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งของนางยังไม่จางหายไปเลยสักนิด
“ ศิษย์พี่… ” ลู่หานแสร้งเปล่งเสียงอันแผ่วเบา
“ เจ้าเป็นอันใด ” มู่หลานเปล่งเสียงถามออกมาอย่างเรียบเฉย
“ ข้าไม่สบายนิดหน่อยขอรับ ” ลู่หานตอบกลับไปด้วยเสียงอันอิดโรยเช่นเดิม การแสดงเป็นเอกคงเป็นเพราะว่าเมื่อตอนกลางคืนเขานั้นแสร้งทำอย่างนี้บ่อยครั้ง
มู่หลานนำมืออันนุ่มนวลของนางยกขึ้นมาวางไว้ที่หน้าผากของลู่หาน
“ ตัวของเจ้าร้อน… ข้าจะไปเอายามาให้ ” มู่หลานเอ่ยพร้อมกับจะพากายของตนเองวิ่งออกไปด้านนอกโดยทันที กระนั้นนางทำได้เพียงหันหลังเท่านั้นจะไม่ทันได้ก้าวขา ฝ่ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าผากของลู่หานก็ถูกมือของลู่หานยกขึ้นมาคว้าจับเอาไว้เพื่อหยุดนาง
มู่หลานเหลียวมองด้านหลังหลังจากที่มือของนางถูกดึงเอาไว้
“ ไม่ต้องขอรับศิษย์พี่สาม ”
“ ข้าขอเพียงแค่นอนพักอีกสัก 2-3 วันก็พอขอรับ แต่การบ่มเพาะแบบกลุ่มในครั้งนี้ข้าคงจะเข้าร่วมไม่ได้ กราบขออภัยท่านผู้อาวุโสทั้ง 4 ด้วยขอรับ ” ลู่หานเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
มู่หลานมองใบหน้าของลู่หานที่กำลังซีดเผือดพลางกระพริบตาปริบๆ
“ อืม~ ” มู่หลานพยักหน้า
“ ขอบคุณขอรับศิษย์พี่สาม… ”
ผ่านไปครู่หนึ่งมู่หลานก็ยังคงยืนจ้องลู่หานอยู่เช่นนั้นจนลู่หานก็จ้องนางกลับไปด้วยความฉงนเมื่อไม่รู้สาเหตุเขาจะเอ่ยถามออกไป “ มีอันใดหรือขอรับ ”
“ ปล่อยมือ… ” มู่หลานเอ่ยพลางก้มมองต่ำลงไปที่ฝ่ามือของนางที่โดนลู่หานจับไม่ปล่อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หานก็รีบปล่อยมือจากฝ่ามืออันนุ่มนวลของนางทันที เขาได้แสร้งทำเป็นร่างกายอิดโรยต่อเพื่อไม่ให้เป็นการสงสัย
หลังจากนั้นมู่หลานก็เคลื่อนกายออกไปด้วยทักษะวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศของนาง เมื่อนางจากไปตามแผนการแล้วลู่หานที่แสร้งนอนป่วยอยู่บนเตียงก็รีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขายกมือมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้าพลางอุทาน “ เกือบไปแล้วไม่น่าเลยลู่หานมือเกือบพาซวยแล้วไง แต่ก็อย่างว่าแหละมือของนางนุ่มนวลราวกับกำลังจับปุยนุ่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น ”
“ เอาละเท่านี้ข้าก็ไปทำงานต่อได้แล้วสินะ ” ลู่หานไม่รีรอที่จะออกไปทำงานของตนเองต่อทันที ตอนนี้สำคัญของเขาคือการหมั่นดูแลพืชสมุนไพรหยางไท่
ครึ่งวันช่วงเช้าลู่หานทำการรดน้ำพืชสมุนไพรของตนเองจำนวนสองร้อยตนเสร็จ ตอนนี้บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเป็นทุนเดิมที่สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มกำลังยืนอยู่ข้างแปลงสมุนไพรจำนวนประมาณ 200 ต้นที่ปรากฏออกมาให้เห็นเป็นต้นอ่อน
ลู่หานใช้สายตามองพวกมันพลางกับกำลังนึกคิดอันใดบางอย่าง ด้วยจำนวนของสมุนไพรหยางไท่ที่เขากำลังปลุกในยามนี้มันยังมีไม่มากพอ
จำนวนของมนุษย์ที่อยู่ภายใน 3 ดินแดนของพบมนุษย์รวมแล้วก็น่าจะมีเราราวๆไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ถ้าเขาอยากจะช่วยทั้ง 3 ดินแดนเขาต้องมีการเจริญเติบโตของพืชพรรณที่รวดเร็วกว่านี้ และต้องประหยัดเวลาในการลดน้ำมันซะด้วย ตอนนี้แหล่งน้ำบนภูเขาหวนหลงอยู่ทางทิศเหนือมันก็ห่างไปพอควรมันเสียเวลาในการขนย้ายน้ำมารดสมุนไพรหยางไท่จำนวนมากเช่นนี้
ลู่หานกำลังยืนคิดไม่ตกกลับปัญหาที่ตนเองกำลังเจอในตอนนี้ เขาควรจะแก้ปัญหาเช่นไรอย่างแรกคือเรื่องแหล่งน้ำ การจะสร้างทางเดินน้ำโดยการขุดลอกคลองก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่กระนั้นในยุคสมัยนี้ด้วยอุปกรณ์และปัจจัยต่างๆดูเหมือนว่ามันจะต้องใช้เวลานานพอควร เขามีเวลาเพียงประมาณ 9-10 เดือนเท่านั้น
และเรื่องการทำให้พืชพรรณสมุนไพรพวกนี้เจริญเติบโตได้รวดเร็วอีก ตอนนี้การที่จะเร่งการเจริญเติบโตของพืชพรรณสมุนไพรเห็นที่มีว่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เขาพอจะพึ่งได้นั่นคือ ค่ายกล
ค่ายกลเป็นพลังอีกอย่างนึงขอผู้บ่มเพาะที่สามารถใช้มาเป็นพลังและเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง
ค่ายกลโจมตีภายในนิยายเรื่องนี้มันมีหลายประเภทหลายชนิด ค่ายกลโจมตี ค่ายกลป้องกัน หรือว่าจะเป็นค่ายกลสนับสนุน รวมปัจจัยแยกย่อยแล้วค่ายกลมีทั้งหมด 10 ประเภท
เท่าที่เขาเคยอ่านนิยายมารู้สึกว่าจะไม่มีพลังของทักษะบ่มเพาะใดที่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชพรรณสมุนไพรได้ แต่ถ้าเป็นค่ายกลก็ไม่แน่
ถ้ามีค่ายกลที่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชพรรณได้มันจะเป็นค่ายกลอันใดกันล่ะ…
ลู่หานที่ยืนครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ข้างแปลงสมุนไพรหยางไท่ในยามเที่ยงวันก็พยายามเกี่ยวกับค่ายกลทั้งหมดภายในนิยายเรื่องนี้ในความทรงจำของเขาที่เคยอ่านผ่านตามา
บัดนี้ที่ลู่หานกำลังใช้ความคิดราวกับตัวอักษรนับแสนนับล้านตัวกำลังปรากฏเรียงรายขึ้นมาภายในสมองให้เขาเลือกสรรค์
“ รู้แล้วค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษา!!! ” ลู่หานเปล่งเสียงออกมาดังลั่นด้วยคำตอบที่ปรากฏออกมาจากความทรงจำมากมายภายในสมอง
แต่เมื่อล่วงรู้ว่าค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษาสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชพรรณได้ความดีใจนั้นอยู่ไม่ถึงสิบวินาทีความหนักใจก็แทรกเข้ามาทันที ค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษามันค่ายกลที่อยู่ในระดับ สวรรค์ ที่เป็นค่ายกลระดับที่อยู่สูงเกือบจะสุดเป็นลองเพียงแค่ค่ายกลระดับ หนึ่งในเก้าภพเท่านั้น
แต่ว่าผู้ที่ครอบครองตำราค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษาอยู่มันคือ หมอเทวะ ที่เป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งของเก้าดินแดน
การใช้ชีวิตเป็นตัวประกอบภายในนิยายมันก็เป็นเรื่องที่ยากพอควร เขาไม่ได้มีพรสวรรค์หรือว่าฐานะที่ดีเหมือนกับตัวเอกของเรื่องนี้ เยี่ยหวน เขาเป็นถึงนายน้อยตระกูลเยี่ยที่ปกครองดินแดนเยี่ยอยู่ ถ้าเป็นเยี่ยหวนเอ่ยปากคนของแคว้นเยี่ยก็คงจะหาและนำตำรานั้นมายื่นให้กับมืออย่างแน่นอน
ในขนาดที่ลู่หานกำลังสลดใจกับโชคชะตาของตนเองที่ตนเองไม่สามารถจะหาค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษามาได้
“ ค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษางั้นรึ เจ้าอยากได้งั้นรึ!!! ” เสียงอันไม่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านหลังของลู่หานที่กำลังไหล่ตกกับการที่ตนเองไม่สามารถไขว่คว้าสิ่งที่ตนเองต้องการได้
“ ใช่!!! ” ลู่หานตอบกลับไปตามปากโดยไม่สนใจว่าผู้ใดจะเป็นคนเอ่ยถาม กระนั้นมันตระหนักได้ว่าคนภายในสำนักเข้าการบ่มเพาะแบบกลุ่มไปหมดแล้ว แล้วเสียงที่ถามเขาขึ้นมามันจะเป็นเสียงของผู้ใดกันเล่า
ลู่หานเหลียวมองไปด้านหลังทีละนิดๆผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาคือชายชราที่มีผมและหนวดเคราสีขาวโพลนที่สวมใส่ชุดสีดำสนิทประหนึ่งขนของปีกอีกา ร่างกายสูงผอมใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นปรากฏอยู่เล็กน้อย ใบหน้านั้นกำลังแสดงรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นและฉายความเป็นมิตรออกมาให้ลู่หาน
ดวงตาของลู่หานเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เขาล่วงรู้ตัวตนของชายชราผู้นี้ตั้งแต่แรกเห็น
“ ท..ท่า…ท่านอาจารย์!!! ” ลู่หานเปล่งเสียงแห่งความตระหนก
จบตอน
คอมเม้นต์