นี่ข้าเป็นเพียงตัวประกอบงั้นรึ – ตอนที่ 9 ออกเดินทางกับอาจารย์
ตอนที่ 9
ออกเดินทางกับอาจารย์
หนึ่งวันในการเดินทางลู่หานถูกหวังเซียนฉิงลากพาไปภายในอากาศราวกับสิ่งของ หนึ่งมือของมหาปราชญ์จับคอเสื้อของศิษย์แปดของตนเองพร้อมกับใช้สองเท้าพาร่างกายของตนเองเคลื่อนไหวมุ่งตรงไปภายในอากาศอย่างรวดเร็ว
มันคือวิชาตัวเบาของมหาปราชญ์ที่ชื่อว่าฝ่าเท้าท่องเมฆา เท้านั้นไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับอย่างอื่นก็พาให้ร่างกายตรงไปด้านหน้าได้อย่างรวดเร็ว
เท้าทั้งสองข้างของชายชราที่สวมใส่ชุดสีดำประหนึ่งขนของอีกาแหวกว่ายไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว ชั่วยามแรกลู่หานที่ถูกลากไปบนอากาศด้วยความเร็วก็รู้สึกราวกับอยากจะอาเจียน มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับการเมาเครื่องบินในยุคที่เขานั้นจากมา
สถานที่ที่ผู้เป็นอาจารย์กำลังจะพาเขามุ่งไปก็คือดินแดนแคว้นเยี่ย ก่อนหน้านี้เขากล่าวกับผู้เป็นอาจารย์ว่าเขานั้นอยากจะได้ค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษาที่อยู่ที่ท่านหมอเทวะ โดยสถานที่ที่ท่านหมอเทวะอาศัยอยู่มันอยู่ภายในดินแดนแคว้นเยี่ย สถานที่แห่งนั้นชื่อว่าหุบเขาไร้ตะวัน
หนึ่งวันในการเดินทางไปยังหุบเขาไร้ตะวันเมื่อดวงอาทิตย์อัสดงเริ่มเปล่งแสงทอประกายสีส้มอมแดง ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำสนิทที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในอากาศก็พาศิษย์ของตนเองหยุดพักอยู่ที่ใจกลางป่าที่เงียบงัน
ร่างของลู่หานถูกวางลงสู่พื้นดินอีกครั้งหลังจากที่ล่องลอยอยู่บนอากาศอย่างไร้แก่นสารมาเป็นเวลานาน ร่างของเขานอนราบลงไปกับพื้นไม่เหลือคราบของบุรุษผู้สง่างามเลยสักนิด
ลู่หานพยายามหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อให้ความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่ภายในหัวสมองของเขานั้นหายไป
“ เจ้าแปดเป็นอันใดไป… ” หวังเซียนฉิงเอ่ยถามศิษย์ของตนเองที่กำลังนอนหมดท่าอยู่ที่พื้น
ลู่หานที่กำลังพยายามหายใจเข้าออกอยู่ก็พยายามรวบรวมสติแล้วตอบกลับผู้เป็นอาจารย์ไป “ เมา…ขอรับท่านอาจารย์”
“ เมางั้นรึ เจ้ายังไม่ได้กินสุราแล้วจะเมาได้เช่นไร??? ” หวังเซียนฉิงเอ่ยถามด้วยความฉงน
ลู่หานตั้งสติของตนแล้วลุกขึ้นแล้ว เมื่ออาการมึนงงที่ติดอยู่ภายในศีรษะเริ่มจางหายไป ดวงตาทั้งสองข้างที่ประดับอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลากวาดมองรอบกายอย่างงุนงง
“ ถึงแล้วงั้นรึขอรับท่านอาจารย์ ” ลู่หานหันไปถามกับผู้เป็นอาจารย์
“ ยังวันนี้พวกเราจะพักผ่อนที่นี่กันแล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกันต่อ ”
“ ขอรับ ”
หลังจากนั้นลู่หานก็รับหน้าที่ไปหาเศษไม้แห้งมาก่อกองเพลิงเล็กๆเอาไว้เพื่อเตรียมขับไล่ความหนาวเย็นยามราตรีที่กำลังจะมาถึง
ท้องนภามืดมิดไร้แสงจากดวงตะวัน จันทราสีเงินเปล่งประกายทอแสงสว่างไสวไปทั่วทั้งท้องฟ้าโดยมีดวงดาวระยิบระยับมากมายประดับประดาล้อมรอบเป็นบริวาร บริเวณใจกลางป่ากองเพลิงเล็กๆได้ถูกจุดขึ้นเพื่อเอาไว้ขับไล่ความหนาวเย็นในยามราตรี หนึ่งบุรุษรูปงามที่สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มนั่งตั้งวงสนทนากับผู้เป็นอาจารย์อยู่หน้ากองเพลิง
“ เฮ้อ!!! ” ลู่หานลองถอนหายใจออกมาดู สายลมที่ถูกปล่อยออกมาจากปากมันกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งระยิบระยับ
เหตุนั้นทำให้ลู่หานประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ยามนี้เป็นเวลาเดือนสามเป็นฤดูใบไม้ผลิเหตุใดภายในป่ายามราตรีถึงสามารถหนาวเหน็บได้ขนาดนี้อีก
เขานั้นสัมผัสได้ตั้งแต่โลกหมุนเวียนเปลี่ยนช่วงเวลากลายเป็นยามราตรีแล้ว อุณหภูมิรอบกายมันลดต่ำลงจนแขนนั้นแทบจะขยับไม่ได้แม้ว่าจะนั่งอยู่นางกองเพลิงก็ตาม
“ ท่านอาจารย์นี่มัน… ” ลู่หานออกเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา เมื่อมองไปที่อาจารย์ที่นั่งอยู่ด้านหน้า
ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำสนิทประหนึ่งขนของอีกากับไม่แสดงท่าทางหนาวเหน็บออกมาเลยสักนิด
“ อาจารย์นี่มันอันใดกันขอรับ!!! ” ลู่หานถามย้ำอีกครั้งในขณะที่มหาปราชญ์ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าน่าจะบอกอะไรเขาได้แต่กลับนิ่งเฉย
จะไม่ให้ลู่หานตื่นตระหนกได้เช่นไรร่างกายของเขามันรับความหนาวเย็นนี้ไม่ไหวแล้ว ทว่า…ปล่อยผ่านไปอีกเพียงไม่กี่นาทีคงได้แข็งตายอย่างแน่นอน จะพาร่างกายเข้าใกล้กองไฟมากเท่าไหร่มันก็ไม่สามารถบรรเทาความหนาวเหน็บที่กำลังกัดกินร่างกายได้เลย
“ ใจเย็นเอาไว้เจ้าแปด เจ้าทำเพียงแค่เรียกเร้นพลังบ่มเพาะออกมาและขับไล่ความหนาวเย็นออกไปเพียงเท่านั้นเจ้าก็จะเป็นปกติ ” เสียงของหวังเซียนฉิงตอบกลับศิษย์ที่กำลังตื่นตระหนกของตนเอง
ชายชราผู้นี้พูดเหมือนง่ายอีกแล้วเขาไม่เคยเรียกเร้นพลังบ่มเพาะออกมาเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นที่อยู่ภายในร่างกายเลยสักครั้ง แต่เมื่อหลังชนฝาแล้วลู่หานก็ต้องกระทำ เขาตั้งสติแล้วพาร่างกายที่กำลังแข็งของตนเองขยับเข้ามาอยู่ในท่านั่งสมาธิพร้อมทั้งดวงตาทั้งสองข้างที่พับปิดลง
ลู่หานเริ่มพยายามเรียกเร้นพลังบ่มเพาะที่ก่อกำเนิดมาจากทักษะบ่มเพาะรากฐานของตนที่อยู่ในระดับกำเนิดพลังสีครามออกมา
ยามแรกที่เริ่มเรียกเร้นพลังบ่มเพาะลู่หานก็ทำได้เพียงแค่การเรียกเร้นมันออกมาปกคลุมภายนอกร่างกายเท่านั้นแต่ความหนาวเหน็บภายในร่างกายที่กำลังกัดกินร่างกายก็ยังคงอยู่
ลู่หานเพิ่งมาอยู่ในร่างนี้เขาเข้าใจเพียงแค่การบ่มเพาะพลังเบื้องต้นและการเรียกเร้นพลังบ่มเพาะออกมาเท่านั้น เขายังไม่เข้าใจถึงเรื่องการใช้พลังบ่มเพาะในรูปแบบต่างๆ
“ หามันให้เจอ… ความหนาวเหน็บที่กำลังแทรกซึมอยู่ทั่วทุกอณูของร่างกายแล้วก็ใช้พลังบ่มเพาะขับมันออกมา ” เสียงของผู้เป็นอาจารย์ดังแว่วเข้ามาภายในหูของลู่หาน
เมื่อได้คำชี้แนะเขาไม่รีรอที่จะเริ่มพยายามอีกครั้ง เมื่อลองตั้งมั่นสมาธิดูดีๆแล้วเขาสามารถสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่แทรกซึมอยู่ภายในทุกส่วนของร่างกาย
เมื่อสัมผัสได้ลู่หานก็เริ่มใช้พลังบ่มเพาะขับมันออกมา หลังจากที่ทำมาสำเร็จอุณหภูมิภายในร่างกายเมื่อเข้าสู่สภาวะปกติ ร่างกายเริ่มขยับได้ดังเดิมดวงตาทั้งสองที่พับปิดอยู่ได้เปิดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพแรกที่ลู่หานเห็นคือผู้เป็นอาจารย์ที่กำลังยิ้มรับความสำเร็จของเขาในครั้งนี้
“ เจ้าอย่าหยุดเรียกเร้นพลังวิญญาณออกมาปกคลุมร่างกายนะมิเช่นนั้นไอเย็นพวกนั้นก็จะกลับเข้ามาทำร้ายร่างกายของเจ้าอีกครั้ง ” หวังเซียนฉิงเอ่ยเตือน
ถ้าไม่ได้ยินคำตักเตือนนั้นลู่หานเองก็เกือบจะลดพลังบ่มเพาะที่กำลังปกคลุมร่างกายลงไปแล้ว
เมื่อตั้งสติได้ลู่หานไม่รีรอที่จะถามออกไป “ นี่มันอันใดกันงั้นรึขอรับท่านอาจารย์ ”
“ ป่าแห่งนี้คือป่าราตรีมรณะ ” หวังเซียนฉิงตอบกลับ
เมื่อได้ยินชื่อของสถานที่ลู่หานก็ให้ตระหนักยิ่งนักเขาไม่คิดว่าสถานที่ ที่เขากำลังนั่งอยู่มันคือป่าราตรีมรณะ ป่าราตรีมรณะเป็นสถานที่ที่อันตรายแห่งหนึ่งภายในแคว้นเยี่ย ยามกลางวันก็จะเหมือนกับป่าทั่วไป แต่ว่าเมื่อยามราตรีป่าแห่งนี้จะมีอุณหภูมิลดต่ำลงให้ความหนาวเหน็บยิ่งกว่าในยามราตรีเสียอีก
เพราะว่าถูกหิ้วลอยมาตามสายลมลู่หานเลยไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองนั้นถูกพามาอยู่ที่ป่าราตรีมรณะแล้ว
เมื่อพูดถึงป่าราตรีมรณะลู่หานก็นึกถึงพืชบางอย่างขึ้นมาได้
ต้นเกล็ดน้ำแข็ง ต้นไม้วิญญาณที่แตกต่างจากต้นไม้ทั่วไป เพราะว่าเป็นต้นไม้ที่เติบโตได้ด้วยการหล่อเลี้ยงของไอเย็นจำนวนมาก มันเลยเติบโตเพียงแค่ภายในป่าราตรีแห่งนี้เท่านั้นที่มีความหนาวเย็นทั่วทั้งปี
ต้นเกล็ดน้ำแข็งเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ขายได้ราคาดีมากภายในตลาด จะเก็บเมล็ดของมันกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายไหนไหนก็มาถึงที่แล้ว
ในขณะที่ลู่หานกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับต้นเก็บน้ำแข็งที่เติบโตภายในป่าราตรีมรณะเสียงของผู้เป็นอาจารย์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็เอ่ยดังขึ้นมา
“ นี่เจ้าแปด… ”
“ ขอรับท่านอาจารย์!!! ” ลู่หานหลุดจากภวังค์ความคิดพลางขานรับกลับไป
“ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในทั้งเก้าดินแดนอันใดคือสิ่งที่บ่งบอกความแข็งแกร่งของผู้ฝึกฝนยุทธ์เช่นพวกเรา ” มหาปราชญ์แห่งยุคที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตั้งคำถามให้ศิษย์คนเล็กของตนเองที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
“ มีอยู่สามสิ่งขอรับ ทักษะบ่มเพาะ คุณสมบัติกายา และค่ายกล ” ลู่หานตอบกลับไปอย่างทันควันด้วยความมั่นใจ
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วสามสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกความแข็งแกร่ง
หวังเซียนฉิงยิ้มรับพลางตอบ “ ผิด!!! ”
ลู่หานขมวดคิ้วอย่างฉงนเหตุใดคำตอบของเขาถึงผิดกันเล่า คำตอบเหล่านี้มันก็อธิบายมาจากในมุมของนักเขียนเองเลย
“ ผิดงั้นรึขอรับแล้วถ้าความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธเช่นพวกเราไม่ได้วัดมาจาก 3 สิ่งนั้นแล้วมันวัดมาจากอันใดกันละขอรับ ” ลู่หานถามออกไปอย่างฉงน ถ้าคำตอบของเขามันผิดก็แปลว่าย่อมมีคำตอบที่ถูกต้องอยู่เขาเองก็อยากจะรู้ถึงคำตอบที่ถูกต้องเหมือนกัน
“ ก่อนข้าจะตอบข้าขอถามเจ้าอีกอย่าง ในเมื่อผู้ฝึกยุทธ์สามารถฝึกฝนทักษะบ่มเพาะได้มากกว่า 1 แล้ว ถ้าบุรุษผู้หนึ่งมีทักษะบ่มเพาะระดับจักรพรรดิ์นิรันดร์ สองอัน เมื่อเทียบกับอีกผู้ฝึกยุทธ์มีทักษะบ่มเพาะระดับจักรพรรดินิรันดร์เช่นกันแต่ว่ามีถึง 5 ทักษะ เมื่อทั้งสองต่อสู้กันผู้ใดจะชนะ ”
คำถามนี้มันทำให้ลู่หานถึงกับคิดหนักหนักคำตอบนี้มันยากยิ่งนัก เมื่อลองคำนึงดูแล้วทั้งสองก็มีทักษะระดับจักรพรรดินิรันดร์เช่นกันเพียงต่างกันแค่จำนวนและชนิดเท่านั้น ในนิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีระดับพลังบ่มเพาะแน่ชัดเพราะเช่นนั้นเหล่าตัวละครถึงใช้ความเฉลียวฉลาดในการต่อสู้และประยุกต์ทักษะต่างๆที่ตนเองบ่มเพาะมา
ใบหน้าและดวงตาของลู่หานตื่นตระหนกเด็กน้อยเขาล้วงรู้ถึงคำตอบแล้ว
“ ปัญญาขอรับ สิ่งที่เป็นสิ่งที่บ่งบอกความแข็งแกร่งที่แท้จริงคือปัญญาขอรับ ” ลู่หานเอ่ยคำตอบที่ตนเองเพิ่งจะหาได้ออกมา
“ เก่งมากเจ้าแปด ” หวังเซียนฉิงกล่าวชื่นชมศิษย์ของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ
“ จงจำเอาไว้นะเจ้าแปดไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่เก่งกาจเพียงใดไร้ปัญญาก็ไร้ค่า ผู้ที่มีปัญญาจะรุกหน้าได้รวดเร็วกว่าผู้อื่น และผู้ที่มีปัญญาต่างหากจะเป็นผู้ที่ได้ยืนอยู่เหนือกว่าผู้อื่นที่แท้จริง ” นั่นคือคำพร่ำสอนที่ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยกับศิษย์ของตนเอง
“ ข้าอยู่มาจนปูนนี้แล้วตอนนี้จำอายุของตนเองไม่ได้แล้วด้วย แต่ข้าจะสอนศิษย์ทุกผู้อยู่เสมอว่าจงเลือกขัดเกลาสติปัญญาก่อนพลัง ”
“ ศิษย์ขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอนขอรับ ”
“ ข้าเคยให้บททดสอบแก่ศิษย์ทุกคนยกเว้นเจ้า เจ้าแปด!!! วันนี้นี่คือบททดสอบแรกที่ข้าจะให้กับเจ้า จงเอาชีวิตรอดภายในป่าราตรีมรณะแห่งนี้ให้ได้จนถึงวันพรุ่งนี้ ”
ม่านตาของลู่หานเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
จบตอน
คอมเม้นต์