นี่ข้าเป็นเพียงตัวประกอบงั้นรึ – ตอนที่ 13 การประลอง
ตอนที่ 13
การประลอง
ดวงตาของลู่หานเบิกกว้างด้วยความตระหนก เมื่อเขาพบเจอกับเวทีขนาดใหญ่เบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายรุมล้อมราวกับมันกำลังจะมีงานใหญ่ถูกจัดขึ้น
“ อันใดกันขอรับท่านอาจารย์!!! ” ลู่หานเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
“ การประลองอย่างไรเอาละเจ้าแปดขึ้นไปได้แล้ว ” หวังเซียนฉิงไม่รีรอที่จะยื่นมือออกไปจับคอเสื้อของเจ้าแปดแล้วออกแรงเหวี่ยงขึ้นไปบนเวทีขนาดใหญ่
ร่างของลู่หานที่ถูกพละกำลังของชายชราโยนขึ้นไปลอยล่องราวกับไร้น้ำหนัก ก่อนที่เท้าทั้งสองข้างของเขาลงมาสัมผัสกับพื้นหินของลานประลองอย่างนุ่มนวล
“ เอาล่ะขอรับผู้ท้าชิงคนที่ 1 ขึ้นมาแล้ว!!!! ” เสียงของผู้ใดสักคนเอ่ยดังลั่นขึ้นมาพร้อมกับตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของเหล่าชาวเมืองที่กำลังล้อมรอบเวทีขนาดใหญ่แห่งนี้เอาไว้
ลู่หานที่ขึ้นมายืนอยู่ในจุดที่ตนเองไม่คาดคิดทำอันใดไม่ถูกก่อนที่เขาจะกวาดสายตามองรอบกายของตนเองอย่างงุนงง เขานั้นเพิ่งรู้ว่าเบื้องหน้ามันมีการจัดการแข่งขันอันใดสักอย่างขึ้นมาเมื่อครู่นี้เองและตอนนี้ก็กลับขึ้นมายืนอยู่บนเวทีแห่งนี้เสียเองแล้ว
“ ผู้ใดกันน่ะหล่อเหลาเสียจริง ”
“ จริงด้วยดูไม่น่าจะใช่คนของเมืองอี้เจิ้ง ”
เสียงของสตรีน้อยใหญ่ต่างเอ่ยสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องของความหล่อเหลาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของลู่หาน
บุรุษผู้นี้รูปกายสง่างามสวมใส่อาภรณ์ก็ดูไม่ใช่คนธรรมดาแถมยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาพาให้ดวงใจในน้อยๆของเหล่าสตรีสั่นไหวอีก เสียงของสตรีมากมายดังแว่วลอยตามสายลมมาเข้าหูของลู่หานที่ยืนอยู่ด้านเวที
แม้ว่าเหล่าสตรีจะชื่นชอบในรูปร่างที่สง่างามและหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาแต่มันก็เพิ่มความชิงชังให้กับเหล่าบุรุษที่ภายในใจเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความอิจฉา เมื่อมีบุรุษผู้หนึ่งที่ปรากฏกายออกมาแล้วเป็นที่สนใจของเหล่าสตรีก็ไม่แปลกจะเพิ่มพูนความริษยาภายในใจให้กับบุรุษอีกหลายผู้
กระนั้นไม่ว่าจะเป็นคำชมของเหล่าสตรีหรือว่าความริษยาของเหล่าบุรุษ ยามนี้สิ่งเดียวที่ลู่หานอยากรู้มันคือเวทีแห่งนี้คืองานอันใดกัน
ในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อหวังหาคำตอบ ทว่า…ตัวของลู่หานก็ได้ยินอันใดบางอย่างเสียงที่เหมือนกับเสียงของฝีเท้า
ดวงตานั้นหันไปมองเบื้องหน้ามันเป็นเสียงของฝีเท้าอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด ร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่น่าจะมีอายุมากกว่าลู่หานหลายปีแต่ก็น่าจะยังไม่ถึงเลขสามกระโดดขึ้นมาบนเวทีที่เขายืนอยู่ ทั่วทั้งร่างกายสวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ใบหน้าเคร่งขรึมดุดันฉายเจตนาต่อสู้ออกมา
ลู่หานที่ยืนอยู่ได้แต่มองบุรุษเบื้องหน้าพลางประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาในตอนนี้ ไม่ผิดแน่ทั้งสถานการณ์รอบกายและทั้งแววตาของอีกฝ่ายที่บ่งบอกถึงเจตนาต่อสู้ออกมาอย่างชัดเจนนี่มันทำให้ลู่หานล่วงรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องสู้กับชายเบื้องหน้า
ใบหน้าอันหล่อเหลาเป็นทุนเดิมของลู่หานหันมองไปทางผู้เป็นอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มชาวเมืองที่กำลังล้อมรอบเวทีแห่งนี้อยู่
หวังเซียนฉิงเมื่อเห็นศิษย์ของตนเองมองมาเขาก็ทำเพียงการยกนิ้วโป้งขึ้นมาส่งให้กับลู่หานแล้วฉีกยิ้มราวกับจะบอกว่าพยายามเข้า
ลู่หานที่เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับกัดฟันแน่นแล้วหันไปมองกับบุรุษตรงหน้า
‘ ตาแก่นั่นกวนโอ๊ยจริงๆ ’ ลู่หานเอ่ยกับตนเองภายในใจ เขาได้แต่อ่านวีรกรรมการกวนโอ๊ยของมหาจอมปราชญ์มาแต่เพียงในนิยายเท่านั้นไม่คิดเลยว่าเมื่อมาพบเจอกับตนเองจะเป็นขนาดนี้
ลู่หานหันมาสนใจกับบุรุษตรงหน้าของตน เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นน่าจะเป็นผู้ที่เขาต้องสู้ด้วยแต่เมื่อลองประเมินดูจากสายตาแล้วอีกฝ่ายน่าจะมีเพียงแค่ทักษะบ่มเพาะรากฐานระดับกำเนิดพลังสีเขียว ทักษะบ่มเพาะของอีกฝ่ายอยู่ในระดับต่ำกว่าเขาที่อยู่ในระดับสีครามแต่ว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกัน
มัดกล้ามเนื้อ ร่างกายของบุรุษตรงหน้าของลู่หานมันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อและร่างกายก็ยังสูงใหญ่กว่าลู่หานพอควร
“ เอาละมีผู้ท้าชิงถึง 2 คนแล้วเรามาเริ่มการประลองเพื่อหาผู้ครอบครองคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะ‘สองดาราเคียงฟ้า’กันเถอะขอรับ ” เสียงของผู้ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรของงานนี้ได้กล่าวดังขึ้นอีกครั้ง
“ ทักษะบ่มเพาะสองดาราเคียงฟ้างั้นรึ ” ลู่หานพึมพำกับตนเองพลางขมวดคิ้วทั้งสองข้างเข้าหากันอย่างฉงน
สิ่งที่มันทำให้ใบหน้าของลู่หานเป็นเช่นนั้นมันเพราะว่าเขานั้นไม่เคยได้ยินชื่อของทักษะบ่มเพาะภายในนิยายเรื่องนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
เขาเป็นนักอ่านแฟนตัวยงของนิยายเรื่องนี้มาตั้งแต่เริ่มเรื่องใหม่ๆ และก็ยังอ่านวนซ้ำแล้วก็ไม่รู้ตั้งกี่รอบก็ไม่พบเห็นจะปรากฏชื่อของตำราทักษะบ่มเพาะนี้เลยสักครั้ง
“ เริ่มได้!!! ” ในขณะที่ลู่หานกำลังตรองดูหลายๆอย่างอยู่นั้นเองผู้ที่เป็นทั้งกรรมการและพิธกรก็เอ่ยเริ่มการประลองขึ้นอย่างกะทันหัน
บุรุษเบื้องหน้าของลู่หานพุ่งกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ลู่หานตระหนกอยู่ไม่น้อยที่อยู่ๆบุรุษที่มีใบหน้าเคร่งขรึมผู้นั้นก็พุ่งกระโจนเข้ามาอย่างไม่รีรอ
บุรุษผู้นั้นที่เข้ามาประชิดร่างกายของลู่หานแล้วได้ออกหมัดหนึ่งหมัดมุ่งตรงเข้ามาใส่หน้าของเขาอย่างรวดเร็ว
ทว่า…ลู่หานก็สามารถเอนกายหลบได้อย่างฉิวเฉียดเขานั้นมองเห็นมัน หมัดของชายผู้นี้ที่พุ่งตรงเข้ามา ลู่หานเห็นมันราวกับว่ามันนั้นเป็นภาพที่หยุดนิ่ง
แม้แต่ตัวของลู่หานเองยังประหลาดใจที่ตนเองสามารถหลบหมัดของอีกฝ่ายได้ กระนั้นความคิดหนึ่งก็ฉุดขึ้นมาว่าบางทีการที่สัญชาตญาณในการต่อสู้ของเขาเพิ่มมากขึ้นเพราะว่าได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรมากมายภายในป่าราตรีมรณะ
เมื่อเทียบถึงความรวดเร็วของการโจมตีของสัตว์อสูรพวกนั้นมันรวดเร็วกว่าหมัดของผู้ฝึกตนที่มีเพียงทักษะบ่มเพาะรากฐานระดับกำเนิดพลังสีเขียวมากนัก
ความมั่นใจของลู่หานเริ่มเพิ่มมากขึ้น จากการที่สามารถหลบหมัดของอีกฝ่ายได้เขาก็ใช้จังหวะนั้นพลิกกายแล้วใช้ฝ่ามือซัดเข้าไปที่หน้าอกของชายผู้นั้น ผัวะ!!!
แม้ว่าร่างกายของลู่หานนั้นมีสมรรถภาพที่ด้อยกว่าบุรุษผู้นั้นที่ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม แต่เขาเองก็มีพื้นฐานทักษะบ่มเพาะรากฐานที่เหนือกว่า
หมัดของลู่หานถูกส่งเสริมด้วยพลังบ่มเพาะภายในร่างกายแล้วมุ่งตรงเข้าหาหน้าอกของชายผู้นั้นสร้างความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายจนทำให้มันต้องถอยหลังไปถึงสองก้าว
สองมือของชายร่างกายกำยำเบื้องหน้ายกขึ้นมาสัมผัสบริเวณที่โดนฝ่ามือของลู่หานไปพร้อมกับแสดงใบหน้าอันเจ็บปวด
เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของตนเองสามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกายของอีกฝ่ายได้ความมั่นใจครึ่งๆกลางๆของลู่หานตอนนี้มันก็หายไปเหลือแต่เพียงความมั่นใจเต็มร้อยที่พร้อมจะเข้าไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
ลู่หานได้โอกาสรุกหน้าต่อเขาใช้ฝ่ามือของตนเองซัดเข้าไปที่ร่างของบุรุษผู้นั้นอีกประมาณสิบฝ่ามือกว่าร่างของบุรุษผู้นั้นจะล้มหมดสภาพลงไป
เสียงโหร้องของเหล่าชาวเมืองอี้เจิ้งที่กำลังเฝ้าดูอยู่ดังขึ้นมาตามร่างของชายผู้นั้นที่ล้มหมดสภาพลงต่อหน้าของลู่หาน
การต่อสู้ที่เพิ่งผ่านพ้นมามันสร้างความมั่นใจให้กับลู่หานเป็นอย่างมากเขาไม่โดนหมัดของอีกฝ่ายเลยสักหมัดและยังสามารถสวนฝ่ามือกลับไปได้อีก
“ คู่ต่อสู้คนที่สองมาแล้วขอรับ!!!! ” เสียงของชายผู้ให้สัญญาณดังขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้ลู่หานที่กำลังตระหนกกับพลังการต่อสู้ของตนเองอยู่เงยหน้าขึ้นมามองเบื้องหน้า
เบื้องหน้าของเขามีชายร่างกายอ้วนท้วนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมาบนเวทีแทนที่ชายก่อนหน้านี้ที่หมดสภาพไป ลู่หานล่วงรู้ได้ทันทีว่าชายผู้นี้คือคู่ประมือคนใหม่
การต่อสู้มันจบลงโดยไม่นานนักลู่หานใช้ทักษะการต่อสู้งูๆปลาๆของตนเองเอาชนะชายร่างกายอ้วนท้วนผู้นี้ลงได้โดยไม่บาดเจ็บเช่นเดิม
ลู่หานไม่ทันได้พักหายใจคู่ต่อสู้คนที่ 3 ก็กระโดดขึ้นมาทันที แน่นอนว่าผลการต่อสู้มันก็ปรากฏออกมาในเวลาไม่นานลู่หานเป็นฝ่ายชนะ
คนที่ 4 คนที่ 5 หรือว่าคนที่ 6 ลู่หานเองก็สามารถไขว่คว้าชัยชนะมาได้อย่างไม่ยากเย็นนะ จนกระทั่งมาถึงผู้ท้าชิงคนสุดท้าย
ร่างของชายผู้หนึ่งที่มีวัยประมาณเลข 3 ร่างกายกำยำใบหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความดุดันมีสีผิวเหี้มเกรียมราวกับโดนแสงแดดเผามาเป็นเวลานาน และอาภรณ์ที่ชายผู้นั้นสวมใส่ก็เป็นอาภรณ์สีขาวที่เปิดให้เห็นบริเวณหน้าอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
คู่ต่อสู้ทั้ง 6 คนก่อนหน้านี้ตัวของลู่หานสามารถสัมผัสได้ว่าพวกมันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธที่มีระดับพลังไม่แตกต่างกับเขาเลยสักนิด แต่ตอนนี้อยู่ตรงหน้าของเขามันแตกต่างออกไปทั่วทั้งร่างกายและสร้างพลังบ่มเพาะทักษะรากฐานระดับกำเนิดพลังสีทอง
ชายผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเขาผิดจากคู่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ทั้ง 6 คนที่ล้วนแล้วแต่อ่อนแอกว่าเขาทั้งสิ้น ลู่หานตั้งสมาธิกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าช่องว่างระหว่างกำเนิดพลังสีครามและกำเนิดพลังสีทองมันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้ทั้งเขาและบุรุษผู้นี้ยังอยู่ในระดับที่มีเพียงแค่ทักษะบ่มเพาะรากฐานที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดพลังยังไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงทักษะที่ 2 และที่ 3 หรือมากกว่านั้น
ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูงที่สามารถบ่มเพาะทักษะได้มากกว่าหนึ่งแล้วจะไม่สามารถประเมินความแข็งได้จากเพียงแค่การมองทักษะบ่มเพาะรากฐานเพียงอย่างเดียวเช่นตอนนี้
แม้ว่าเสียงเชียร์ของเหล่าชาวเมืองจะดังกึกก้องมากมายเพียงใดกระนั้นบนเวทีก็ราวกับมันเงียบสงัด บุรุษทั้งสองที่มีวัยต่างกันนับสิบปีจ้องอีกฝ่ายอย่างตาไม่กระพริบ
ฟิ้ว!!! บุรุษที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวเบื้องหน้าของลู่หานได้พุ่งทะยานเข้ามาหาร่างของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับออกหมัดมุ่งตรงชัดใส่อย่างไม่ยั้งมือ
ลู่หานมองเห็นการเคลื่อนไหวและหมัดของอีกฝ่ายแต่ว่าร่างกายของเขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะเคลื่อนกายหลบความรวดเร็วระดับนั้น สองแขนยกขึ้นมาป้องกันหมัดแทนที่จะหลบ ตึง!!!
ร่างของลู่หานถูกซะกระเด็นออกไปกระนั้นเขาก็ยังสามารถยืนอยู่ได้ ด้วยแรงเมื่อครู่ของผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังเหนือกว่าเขาถึง 2 ขั้นทำให้แขนทั้งสองข้างของลู่หานบาดเจ็บพอควร
“ ชายผู้นี้… ” ลู่หานเอ่ยพลางมองบุรุษที่แข็งแกร่งกว่าตนเองตรงหน้าด้วยใบหน้าที่มีเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาด้วยความวิตก
จบตอน
ตอนที่ 13
การประลอง
ดวงตาของลู่หานเบิกกว้างด้วยความตระหนก เมื่อเขาพบเจอกับเวทีขนาดใหญ่เบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายรุมล้อมราวกับมันกำลังจะมีงานใหญ่ถูกจัดขึ้น
“ อันใดกันขอรับท่านอาจารย์!!! ” ลู่หานเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
“ การประลองอย่างไรเอาละเจ้าแปดขึ้นไปได้แล้ว ” หวังเซียนฉิงไม่รีรอที่จะยื่นมือออกไปจับคอเสื้อของเจ้าแปดแล้วออกแรงเหวี่ยงขึ้นไปบนเวทีขนาดใหญ่
ร่างของลู่หานที่ถูกพละกำลังของชายชราโยนขึ้นไปลอยล่องราวกับไร้น้ำหนัก ก่อนที่เท้าทั้งสองข้างของเขาลงมาสัมผัสกับพื้นหินของลานประลองอย่างนุ่มนวล
“ เอาล่ะขอรับผู้ท้าชิงคนที่ 1 ขึ้นมาแล้ว!!!! ” เสียงของผู้ใดสักคนเอ่ยดังลั่นขึ้นมาพร้อมกับตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของเหล่าชาวเมืองที่กำลังล้อมรอบเวทีขนาดใหญ่แห่งนี้เอาไว้
ลู่หานที่ขึ้นมายืนอยู่ในจุดที่ตนเองไม่คาดคิดทำอันใดไม่ถูกก่อนที่เขาจะกวาดสายตามองรอบกายของตนเองอย่างงุนงง เขานั้นเพิ่งรู้ว่าเบื้องหน้ามันมีการจัดการแข่งขันอันใดสักอย่างขึ้นมาเมื่อครู่นี้เองและตอนนี้ก็กลับขึ้นมายืนอยู่บนเวทีแห่งนี้เสียเองแล้ว
“ ผู้ใดกันน่ะหล่อเหลาเสียจริง ”
“ จริงด้วยดูไม่น่าจะใช่คนของเมืองอี้เจิ้ง ”
เสียงของสตรีน้อยใหญ่ต่างเอ่ยสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องของความหล่อเหลาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของลู่หาน
บุรุษผู้นี้รูปกายสง่างามสวมใส่อาภรณ์ก็ดูไม่ใช่คนธรรมดาแถมยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาพาให้ดวงใจในน้อยๆของเหล่าสตรีสั่นไหวอีก เสียงของสตรีมากมายดังแว่วลอยตามสายลมมาเข้าหูของลู่หานที่ยืนอยู่ด้านเวที
แม้ว่าเหล่าสตรีจะชื่นชอบในรูปร่างที่สง่างามและหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาแต่มันก็เพิ่มความชิงชังให้กับเหล่าบุรุษที่ภายในใจเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความอิจฉา เมื่อมีบุรุษผู้หนึ่งที่ปรากฏกายออกมาแล้วเป็นที่สนใจของเหล่าสตรีก็ไม่แปลกจะเพิ่มพูนความริษยาภายในใจให้กับบุรุษอีกหลายผู้
กระนั้นไม่ว่าจะเป็นคำชมของเหล่าสตรีหรือว่าความริษยาของเหล่าบุรุษ ยามนี้สิ่งเดียวที่ลู่หานอยากรู้มันคือเวทีแห่งนี้คืองานอันใดกัน
ในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อหวังหาคำตอบ ทว่า…ตัวของลู่หานก็ได้ยินอันใดบางอย่างเสียงที่เหมือนกับเสียงของฝีเท้า
ดวงตานั้นหันไปมองเบื้องหน้ามันเป็นเสียงของฝีเท้าอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด ร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่น่าจะมีอายุมากกว่าลู่หานหลายปีแต่ก็น่าจะยังไม่ถึงเลขสามกระโดดขึ้นมาบนเวทีที่เขายืนอยู่ ทั่วทั้งร่างกายสวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ใบหน้าเคร่งขรึมดุดันฉายเจตนาต่อสู้ออกมา
ลู่หานที่ยืนอยู่ได้แต่มองบุรุษเบื้องหน้าพลางประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาในตอนนี้ ไม่ผิดแน่ทั้งสถานการณ์รอบกายและทั้งแววตาของอีกฝ่ายที่บ่งบอกถึงเจตนาต่อสู้ออกมาอย่างชัดเจนนี่มันทำให้ลู่หานล่วงรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องสู้กับชายเบื้องหน้า
ใบหน้าอันหล่อเหลาเป็นทุนเดิมของลู่หานหันมองไปทางผู้เป็นอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มชาวเมืองที่กำลังล้อมรอบเวทีแห่งนี้อยู่
หวังเซียนฉิงเมื่อเห็นศิษย์ของตนเองมองมาเขาก็ทำเพียงการยกนิ้วโป้งขึ้นมาส่งให้กับลู่หานแล้วฉีกยิ้มราวกับจะบอกว่าพยายามเข้า
ลู่หานที่เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับกัดฟันแน่นแล้วหันไปมองกับบุรุษตรงหน้า
‘ ตาแก่นั่นกวนโอ๊ยจริงๆ ’ ลู่หานเอ่ยกับตนเองภายในใจ เขาได้แต่อ่านวีรกรรมการกวนโอ๊ยของมหาจอมปราชญ์มาแต่เพียงในนิยายเท่านั้นไม่คิดเลยว่าเมื่อมาพบเจอกับตนเองจะเป็นขนาดนี้
ลู่หานหันมาสนใจกับบุรุษตรงหน้าของตน เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นน่าจะเป็นผู้ที่เขาต้องสู้ด้วยแต่เมื่อลองประเมินดูจากสายตาแล้วอีกฝ่ายน่าจะมีเพียงแค่ทักษะบ่มเพาะรากฐานระดับกำเนิดพลังสีเขียว ทักษะบ่มเพาะของอีกฝ่ายอยู่ในระดับต่ำกว่าเขาที่อยู่ในระดับสีครามแต่ว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกัน
มัดกล้ามเนื้อ ร่างกายของบุรุษตรงหน้าของลู่หานมันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อและร่างกายก็ยังสูงใหญ่กว่าลู่หานพอควร
“ เอาละมีผู้ท้าชิงถึง 2 คนแล้วเรามาเริ่มการประลองเพื่อหาผู้ครอบครองคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะ‘สองดาราเคียงฟ้า’กันเถอะขอรับ ” เสียงของผู้ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรของงานนี้ได้กล่าวดังขึ้นอีกครั้ง
“ ทักษะบ่มเพาะสองดาราเคียงฟ้างั้นรึ ” ลู่หานพึมพำกับตนเองพลางขมวดคิ้วทั้งสองข้างเข้าหากันอย่างฉงน
สิ่งที่มันทำให้ใบหน้าของลู่หานเป็นเช่นนั้นมันเพราะว่าเขานั้นไม่เคยได้ยินชื่อของทักษะบ่มเพาะภายในนิยายเรื่องนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
เขาเป็นนักอ่านแฟนตัวยงของนิยายเรื่องนี้มาตั้งแต่เริ่มเรื่องใหม่ๆ และก็ยังอ่านวนซ้ำแล้วก็ไม่รู้ตั้งกี่รอบก็ไม่พบเห็นจะปรากฏชื่อของตำราทักษะบ่มเพาะนี้เลยสักครั้ง
“ เริ่มได้!!! ” ในขณะที่ลู่หานกำลังตรองดูหลายๆอย่างอยู่นั้นเองผู้ที่เป็นทั้งกรรมการและพิธกรก็เอ่ยเริ่มการประลองขึ้นอย่างกะทันหัน
บุรุษเบื้องหน้าของลู่หานพุ่งกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ลู่หานตระหนกอยู่ไม่น้อยที่อยู่ๆบุรุษที่มีใบหน้าเคร่งขรึมผู้นั้นก็พุ่งกระโจนเข้ามาอย่างไม่รีรอ
บุรุษผู้นั้นที่เข้ามาประชิดร่างกายของลู่หานแล้วได้ออกหมัดหนึ่งหมัดมุ่งตรงเข้ามาใส่หน้าของเขาอย่างรวดเร็ว
ทว่า…ลู่หานก็สามารถเอนกายหลบได้อย่างฉิวเฉียดเขานั้นมองเห็นมัน หมัดของชายผู้นี้ที่พุ่งตรงเข้ามา ลู่หานเห็นมันราวกับว่ามันนั้นเป็นภาพที่หยุดนิ่ง
แม้แต่ตัวของลู่หานเองยังประหลาดใจที่ตนเองสามารถหลบหมัดของอีกฝ่ายได้ กระนั้นความคิดหนึ่งก็ฉุดขึ้นมาว่าบางทีการที่สัญชาตญาณในการต่อสู้ของเขาเพิ่มมากขึ้นเพราะว่าได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรมากมายภายในป่าราตรีมรณะ
เมื่อเทียบถึงความรวดเร็วของการโจมตีของสัตว์อสูรพวกนั้นมันรวดเร็วกว่าหมัดของผู้ฝึกตนที่มีเพียงทักษะบ่มเพาะรากฐานระดับกำเนิดพลังสีเขียวมากนัก
ความมั่นใจของลู่หานเริ่มเพิ่มมากขึ้น จากการที่สามารถหลบหมัดของอีกฝ่ายได้เขาก็ใช้จังหวะนั้นพลิกกายแล้วใช้ฝ่ามือซัดเข้าไปที่หน้าอกของชายผู้นั้น ผัวะ!!!
แม้ว่าร่างกายของลู่หานนั้นมีสมรรถภาพที่ด้อยกว่าบุรุษผู้นั้นที่ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม แต่เขาเองก็มีพื้นฐานทักษะบ่มเพาะรากฐานที่เหนือกว่า
หมัดของลู่หานถูกส่งเสริมด้วยพลังบ่มเพาะภายในร่างกายแล้วมุ่งตรงเข้าหาหน้าอกของชายผู้นั้นสร้างความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายจนทำให้มันต้องถอยหลังไปถึงสองก้าว
สองมือของชายร่างกายกำยำเบื้องหน้ายกขึ้นมาสัมผัสบริเวณที่โดนฝ่ามือของลู่หานไปพร้อมกับแสดงใบหน้าอันเจ็บปวด
เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของตนเองสามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกายของอีกฝ่ายได้ความมั่นใจครึ่งๆกลางๆของลู่หานตอนนี้มันก็หายไปเหลือแต่เพียงความมั่นใจเต็มร้อยที่พร้อมจะเข้าไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
ลู่หานได้โอกาสรุกหน้าต่อเขาใช้ฝ่ามือของตนเองซัดเข้าไปที่ร่างของบุรุษผู้นั้นอีกประมาณสิบฝ่ามือกว่าร่างของบุรุษผู้นั้นจะล้มหมดสภาพลงไป
เสียงโหร้องของเหล่าชาวเมืองอี้เจิ้งที่กำลังเฝ้าดูอยู่ดังขึ้นมาตามร่างของชายผู้นั้นที่ล้มหมดสภาพลงต่อหน้าของลู่หาน
การต่อสู้ที่เพิ่งผ่านพ้นมามันสร้างความมั่นใจให้กับลู่หานเป็นอย่างมากเขาไม่โดนหมัดของอีกฝ่ายเลยสักหมัดและยังสามารถสวนฝ่ามือกลับไปได้อีก
“ คู่ต่อสู้คนที่สองมาแล้วขอรับ!!!! ” เสียงของชายผู้ให้สัญญาณดังขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้ลู่หานที่กำลังตระหนกกับพลังการต่อสู้ของตนเองอยู่เงยหน้าขึ้นมามองเบื้องหน้า
เบื้องหน้าของเขามีชายร่างกายอ้วนท้วนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมาบนเวทีแทนที่ชายก่อนหน้านี้ที่หมดสภาพไป ลู่หานล่วงรู้ได้ทันทีว่าชายผู้นี้คือคู่ประมือคนใหม่
การต่อสู้มันจบลงโดยไม่นานนักลู่หานใช้ทักษะการต่อสู้งูๆปลาๆของตนเองเอาชนะชายร่างกายอ้วนท้วนผู้นี้ลงได้โดยไม่บาดเจ็บเช่นเดิม
ลู่หานไม่ทันได้พักหายใจคู่ต่อสู้คนที่ 3 ก็กระโดดขึ้นมาทันที แน่นอนว่าผลการต่อสู้มันก็ปรากฏออกมาในเวลาไม่นานลู่หานเป็นฝ่ายชนะ
คนที่ 4 คนที่ 5 หรือว่าคนที่ 6 ลู่หานเองก็สามารถไขว่คว้าชัยชนะมาได้อย่างไม่ยากเย็นนะ จนกระทั่งมาถึงผู้ท้าชิงคนสุดท้าย
ร่างของชายผู้หนึ่งที่มีวัยประมาณเลข 3 ร่างกายกำยำใบหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความดุดันมีสีผิวเหี้มเกรียมราวกับโดนแสงแดดเผามาเป็นเวลานาน และอาภรณ์ที่ชายผู้นั้นสวมใส่ก็เป็นอาภรณ์สีขาวที่เปิดให้เห็นบริเวณหน้าอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
คู่ต่อสู้ทั้ง 6 คนก่อนหน้านี้ตัวของลู่หานสามารถสัมผัสได้ว่าพวกมันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธที่มีระดับพลังไม่แตกต่างกับเขาเลยสักนิด แต่ตอนนี้อยู่ตรงหน้าของเขามันแตกต่างออกไปทั่วทั้งร่างกายและสร้างพลังบ่มเพาะทักษะรากฐานระดับกำเนิดพลังสีทอง
ชายผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเขาผิดจากคู่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ทั้ง 6 คนที่ล้วนแล้วแต่อ่อนแอกว่าเขาทั้งสิ้น ลู่หานตั้งสมาธิกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าช่องว่างระหว่างกำเนิดพลังสีครามและกำเนิดพลังสีทองมันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้ทั้งเขาและบุรุษผู้นี้ยังอยู่ในระดับที่มีเพียงแค่ทักษะบ่มเพาะรากฐานที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดพลังยังไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงทักษะที่ 2 และที่ 3 หรือมากกว่านั้น
ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูงที่สามารถบ่มเพาะทักษะได้มากกว่าหนึ่งแล้วจะไม่สามารถประเมินความแข็งได้จากเพียงแค่การมองทักษะบ่มเพาะรากฐานเพียงอย่างเดียวเช่นตอนนี้
แม้ว่าเสียงเชียร์ของเหล่าชาวเมืองจะดังกึกก้องมากมายเพียงใดกระนั้นบนเวทีก็ราวกับมันเงียบสงัด บุรุษทั้งสองที่มีวัยต่างกันนับสิบปีจ้องอีกฝ่ายอย่างตาไม่กระพริบ
ฟิ้ว!!! บุรุษที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวเบื้องหน้าของลู่หานได้พุ่งทะยานเข้ามาหาร่างของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับออกหมัดมุ่งตรงชัดใส่อย่างไม่ยั้งมือ
ลู่หานมองเห็นการเคลื่อนไหวและหมัดของอีกฝ่ายแต่ว่าร่างกายของเขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะเคลื่อนกายหลบความรวดเร็วระดับนั้น สองแขนยกขึ้นมาป้องกันหมัดแทนที่จะหลบ ตึง!!!
ร่างของลู่หานถูกซะกระเด็นออกไปกระนั้นเขาก็ยังสามารถยืนอยู่ได้ ด้วยแรงเมื่อครู่ของผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังเหนือกว่าเขาถึง 2 ขั้นทำให้แขนทั้งสองข้างของลู่หานบาดเจ็บพอควร
“ ชายผู้นี้… ” ลู่หานเอ่ยพลางมองบุรุษที่แข็งแกร่งกว่าตนเองตรงหน้าด้วยใบหน้าที่มีเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาด้วยความวิตก
จบตอน
คอมเม้นต์