นี่ข้าเป็นเพียงตัวประกอบงั้นรึ – ตอนที่ 14 ผู้ชนะ
ตอนที่ 14
ผู้ชนะ
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วแขนทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมารับหมัดที่พุ่งใส่ตนเองอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ใบหน้าของลู่หานเริ่มแสดงความวิตกออกมาเมื่อเขาได้รองรับหมัดของอีกฝ่ายดู ความรุนแรงเพียงนี้ถ้าเขาโดนซัดเข้าจุดตายได้ไปปรโลกในครั้งเดียวอย่างแน่นอน
ทว่า…เวลาคิดของลู่หานนั้นก็น้อยนิดยิ่งนักเขายังไม่ทันจะคิดหาวิธีการรับมือออก ต่างของบุรุษผู้นั้นก็พุ่งทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วอีกครั้งหวังว่าจะปิดฉากการต่อสู้
“ เปลี่ยนทิศทาง… ” เสียงของผู้เป็นอาจารย์ดังแว่วเข้ามาภายในหูเพื่อชี้แนะ
เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้นทำให้ลู่หานสามารถคิดอะไรบางอย่างออกขึ้นมาได้ มือของเขายกขึ้นมาแล้วปัดป้องหมัดของอีกฝ่าย แต่ว่าการรับมือครั้งนี้มันแตกต่างจากการยกแขนหรือว่าฝ่ามือขึ้นมาป้องกันโดยทั่วไป แต่ลู่หานนั้นทำการใช้ฝ่ามือของเขาเปลี่ยนทิศทางหมัดของอีกฝ่ายให้ผ่านพ้นตนเองไป
ใบหน้าเคร่งขรึมที่แฝงไปด้วยความดุดันของบุรุษผู้นั้นตื่นตระหนกเมื่อหมัดของมันโดนเปลี่ยนทิศทาง
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านมหาปราชญ์แห่งยุคเมื่อครู่ราวกับจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ต่อลงในความคิด ในเมื่อไม่สามารถรับหมัดตรงๆได้ก็เพียงแค่เปลี่ยนทิศทางไม่ให้โดนร่างกายของตนเองก็เท่านั้นมันก็จบ
ด้วยสายตาและสัญชาตญาณของร่างกายที่ได้มาจากการต่อสู้กับสัตว์อสูรมากมายภายในป่าราตรีมรณะมันทำให้ลู่หานพอจะมองเห็นบัตรของบุรุษผู้นี้อยู่บ้าง
เมื่อสามารถปัดป้องหมัดของอีกฝ่ายได้ลู่หานก็ถือโอกาสใช้ฝ่ามือของตนเองซัดกลับไป ผัวะ!!! ฝ่ามือของลู่หานซัดเข้าไปบริเวณหน้าอกของบุรุษตรงหน้า
ตรงนั้นมันก็สามารถสร้างความเจ็บปวดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วฝ่ามือของลู่หานโดนช่องว่างของพลังที่แตกต่างกันลดทอนจนความรุนแรงของฝ่ามือมันเหลือเพียงแค่ไม่กี่ส่วน
ลู่หานได้มาหนึ่งฝ่ามือก็พากายของตนเองกระโดดถอยหลังออกมาจากจุดนั้นทันทีเพื่อตั้งหลักรอรับหมัดถัดไป เขามีระดับพลังบ่มเพาะน้อยกว่าบุรุษตรงหน้าจะให้เข้าสู้ระยะประชิดเป็นเวลานานก็เกรงว่าจะเสียเปรียบ
บุรุษที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวผู้นั้นหลังจากที่โดนฝ่ามือของลู่หานไปก็ราวกับว่ามันไม่รู้สึกรู้สาอันใดเลยสักนิดมันพุ่งทะยานตามร่างของลู่หานมาอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้มันได้ลองเพิ่มความเร็วในการออกหมัดของมันแต่ทว่าลู่หานก็ยังสามารถปัดป้องทันได้อีกครั้ง แม้ว่าตอนนี้จะสามารถหยุดบัตรของอีกฝ่ายได้แต่ก็ไม่สามารถล้มอีกฝ่ายได้เพราะเช่นนั้นใบหน้าของลู่หานยังเต็มไปด้วยความวิตก
ชั่วพริบตานั้นลู่หานได้ลองออกฝ่ามือที่ 2 ไปปะทะเข้าที่ร่างของอีกฝ่าย ผัวะ!!!
ฝ่ามือที่มีความรุนแรงเท่าเดิมแต่ดูเหมือนว่ามันจะมีบางอย่างแตกต่างออกไป เพราะเมื่อฝ่ามือนั้นซัดเข้าไปที่กลางหน้าอกของบุรุษผู้นั้นทั้งลู่หานและอีกฝ่ายล่วงรู้ว่ามีมือที่สามยื่นมือเข้ามาระหว่างการต่อสู้ของพวกเขา
มันคือเจ้าอินทรีเพลิงฟ้าที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในกายของลู่หาน เมื่อฝ่ามือของลู่หานเข้าไปปะทะเข้ากับร่างของบุรุษผู้นั้นเจ้าอินทรีเพลิงฟ้าภายในกายก็เริ่มใช้ความสามารถในการดูดพลังบ่มเพาะของมันดูดพลังบ่มเพาะภายในร่างกายของอีกฝ่ายผ่านทางฝ่ามือของลู่หานที่ไปสัมผัส
ด้วยพลังของสัตว์อสูรระดับราชันอสูรเพียงแค่มันดูดพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ที่มีเพียงทักษะบ่มเพาะรากฐานระดับกำเนิดพลังสีทองเพียงไม่กี่วิเท่านั้นร่างของชายผู้นั้นก็หมดแรงล้มลงไปกับพื้น
บัดนี้ใบหน้าของลู่หานเต็มไปด้วยความตระหนกเขาไม่คิดว่าเจ้าอินทรีเพลิงฟ้าที่กำลังซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายของเขามันจะยื่นมือเข้ามาช่วย
แต่ดูเหมือนว่ามีผู้นึงที่ล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากการคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้านั่นคือผู้หยั่งรู้ทั้ง 9 ภพมหาจอมปราชญ์ที่ยืนมองการต่อสู้ของตนเองอยู่ใกล้ๆ
ใบหน้าของชายชราที่ปรากฏซึ่งความอบอุ่นได้ฉีกยิ้มแห่งความพึงพอใจออกมาให้กับศิษย์ของตนเอง
“ ได้ผู้ชนะแล้วขอรับ!!!! ” เสียงของผู้ประกาศดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งบ่งบอกถึงชัยชนะของลู่หานที่ได้มาอย่างมึนงง
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแห่งความดีใจผู้ที่ได้รับชัยชนะครั้งนี้ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความสับสนอยู่เลย ชัยชนะที่ไม่คิดว่าจะได้มาง่ายดายเช่นนี้จะไม่ให้เขาสับสนได้เช่นไร
หลังจากที่ผลพ่ายชนะนั้นถูกตัดสินไปเรียบร้อยแล้วผู้ประกาศก็มามอบรางวัลให้กับลู่หาน มันคือคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะสองดาราเคียงฟ้า ที่เป็นตำราทักษะบ่มเพาะที่มีรูปลักษณ์เป็นตำราเล่มหนามีปกสีฟ้าเข้ม
หลังจากที่ได้ตำราทักษะปริศนาที่เขาไม่เคยเห็นผ่านตามาอย่างงุนงง ท่านมหาปราชญ์แห่งยุคผู้เป็นอาจารย์ก็พาลู่หานไปนั่งทานอาหารที่ร้านเลื่องชื่อของเมืองอี้เจิ้ง
อาคาร 3 ชั้นที่ใหญ่โตแห่งนี้เป็นร้านอาหารที่เลื่องชื่อของเมืองอี้เจิ้ง หวังเซียนฉิงศิษย์ของตนเองขึ้นมานั่งกินอาหารกลางวันที่บริเวณชั้นสามของร้านอาหารแห่งนี้ ในขณะที่อาหารถูกนำมาวางไว้เต็มโต๊ะส่งกลิ่นหอมกรุ่นเบื้องหน้าแต่ดวงตาทั้งสองของของลู่หานยังไม่สนใจมันเลยสักนิด ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก้มมองต่ำลงที่คัมภีร์ปกฟ้าภายในมือของตนเอง
ตอนนี้ลู่หานกำลังสงสัยเกี่ยวกับคัมภีร์ปกฟ้าภายในมือของตนเองว่ามันคือคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะอันใดกันแน่ เพราะว่าลู่หานนั้นไม่เคยได้ยินชื่อของทักษะบ่มเพาะสองดาราเคียงฟ้าเลยสักครั้ง
เมื่อไม่สามารถล่วงรู้ถึงความเป็นมาของคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะในมือได้ลู่หานก็นึกได้ว่ามีบุคคลผู้หนึ่งที่สามารถบอกเกี่ยวกับคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะในมือของตนเองได้
ดวงตาทั้งสองของลู่หานมองตรงไปที่ร่างผู้เป็นอาจารย์ที่กำลังใช้ตะเกียบตักอาหารบนโต๊ะกินอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อถูกจ้องด้วยดวงตาทั้งสองข้างของศิษย์ หวังเซียนฉิงที่เอาแต่ตักอาหารเข้าปากก็ถึงกับหยุดชะงัก คิ้วทั้งสองข้างบนใบหน้าของชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำประหนึ่งขนของอีกาขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พึ่งพอใจสักเท่าไหร่
“ นี่เจ้าแปด!!! ผู้ใดสอนให้เจ้าเอาแต่จ้องผู้อื่นยามกินข้าวกัน ” หวังเซียนฉิงเอ่ยพลางกับใช้ตะเกียบภายในมือชี้ตรงเข้าหาใบหน้าของลู่หาน
ใบหน้าของลู่หานถอยไปเล็กน้อยเมื่อตะเกียบนั้นยื่นเข้ามา
“ ท่านอาจารย์ข้าเพียงแค่อยากจะรู้ว่าคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะในมือของข้ามันคืออันใดงั้นรึขอรับ ”
ตะเกียบของหวังเซียนฉิงที่ชี้เข้าหาใบหน้าของลู่หานได้ถอยกลับไป แม้ใบหน้าของหวังเซียนฉิงจะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็เอ่ยชี้แนะศิษย์ของตนเองต่อทันที
“ คัมภีร์ในมือของเจ้ามันชื่อว่าคัมภีร์บ่มเพาะ สองดาราเคียงฟ้า มันคือคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะระดับ สวรรค์ ”
“ ระดับสวรรค์!!! ” ลู่หานตระหนกเหตุใดคัมภีร์ที่อยู่ในมือของเขาถึงเป็นคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์
ลู่หานมีคัมภีร์บ่มเพาะระดับไร้ขอบเขต นั่นคือคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะราชันย์หมื่นพิษ จริงอยู่ที่คัมภีร์บ่มเพาะราชันหมื่นพิษจะเป็นคัมภีร์ระดับไร้ขอบเขตที่ล้ำค่ามากที่สุดในเก้าดินแดนแต่คัมภีร์บ่มเพาะระดับสวรรค์เองก็มีค่าไม่ต่างกัน
เขาไม่คิดเลยว่าผู้เป็นอาจารย์ของเขาจะนำพาให้เขามาได้ครอบครองคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์ที่ล้ำค่าเช่นนี้
“ ท่านอาจารย์แล้วทักษะบ่มเพาะนี้สามารถทำอันใดได้งั้นรึขอรับ ” ลู่หานเอ่ยถามออกไป
แม้ว่าจะล่วงรู้แล้วว่าคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะในมือเป็นคัมภีร์ทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์แต่ว่าเขาก็ยังไม่ล่วงรู้ถึงความสามารถของมันอยู่ดี อย่างว่านั้นแหละเขาไม่รู้อันใดเกี่ยวกับทักษะบ่มเพาะนี้เลยสักนิดผู้ที่ตอบเขาได้คงมีแต่ผู้เป็นอาจารย์เท่านั้น
“ สองดาราเคียงฟ้ามันเป็นทักษะบ่มเพาะที่สามารถช่วยเหลือในการบ่มเพาะของเจ้าได้ ”
“ ท่านอาจารย์หมายความว่าเช่นไร ” ลู่หานมองมหาปราชญ์อย่างฉงน
“ มันจะทำให้เจ้าสามารถบ่มเพาะทักษะสองทักษะได้พร้อมเพรียงกัน ”
“ เอ๊ะ… ” ลู่หานหลุดเสียงตกใจออกมาเล็กน้อย เมื่อครู่เขาได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ว่าอาจารย์ของเขากล่าวออกมาว่าทักษะบ่มเพาะสองดาราเคียงฟ้ามันจะทำให้เขาสามารถบ่มเพาะทักษะสอง อย่างพร้อมกันได้
การบ่มเพาะทักษะต่างๆมันมีข้อจำกัดคือว่าสามารถบ่มเพาะทักษะได้ทีละทักษะบ่มเพาะเท่านั้น ไม่มีผู้ฝึกตนผู้ใดสามารถบ่มเพาะทักษะสองอย่างพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกันได้
ถ้าผู้อื่นมาพูดเช่นนี้ลู่หานคงจะไม่ยอมเชื่อแต่ว่าคำพูดนี้มันออกมาจากปากของมหาปราชญ์แห่งยุคทำให้คำพูดที่ดูไม่น่าเชื่อถือนี้มีน้ำหนักขึ้นมาทันตาเห็น
เมื่อลู่หานลองตรองดูแล้วทั้งหมดนี้อาจจะเป็นแผนการที่ท่านอาจารย์ของเขาวางเอาไว้เพื่อฝึกฝนเขาให้แข็งแกร่งขึ้นก็ได้ ตอนนี้เขาได้ทั้งสัตว์อสูรระดับราชันย์อสูรและก็คัมภีร์ทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์มาในเวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่เขานั้นแทบจะไม่คาดคิด
“ เจ้าแปดรีบกินซะเราจะได้เดินทางไปที่หุบเขาไร้ตะวันต่อ ” หวังเซียนฉิงเอ่ยกับศิษย์ของตนเอง
“ ขอรับท่านอาจารย์!!!! ” ลู่หานขานรับพร้อมกับเริ่มตักอาหารที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาทาน เมื่อได้รู้ว่าเขาได้สองสิ่งที่ยากต่อการครอบครองมาอยู่ภายในมือเขาก็เจริญอาหารขึ้นมาทันตาเห็น
เมื่อทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อยผู้เป็นอาจารย์ของเขาไม่ให้เขาหยุดพักรีบพาเขาเดินทางไปต่อทันที
ครั้งนี้ลู่หานถูกพาหิ้วไปตามสายลมอีกครั้งนึง แต่เมื่อได้ลองโดนหิ้วหลายครั้งมากเข้าตอนนี้มันก็ดูเหมือนว่าลู่หานนั้นจะชินชากับความรู้สึกเช่นนี้ไปเสียแล้ว
ร่างกายนั้นถูกหิ้วลอยไปตามสายลมอยู่หลายชั่วยามหลังจากการผ่านพ้นอันตรายมามากมายตอนนี้ลู่หานก็มาถึงสักทีสถานที่ที่เขานั้นตั้งใจจะเดินทางมาเป็นเป้าหมายแรก
หุบเขาไร้ตะวันหน้าผาสูงใหญ่ที่พระอาทิตย์อัสดงกำลังเปล่งประกายทอแสงสีส้มอมแดงสว่างไสวไปทั่วทั้งท้องนภา หนึ่งบุรุษรูปงามหน้าตาหล่อเหลาเป็นทุนเดิมที่สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มอันสง่างามกำลังยืนอยู่ข้างกายของหนึ่งชายชราท่าทางองอาจที่ทั่วทั้งร่างกายสวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกา
หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์กำลังยืนอยู่บนหน้าผาขนาดใหญ่พาใช้ส่องตาจ้องมองลงไปข้างล่างที่มืดมิดไร้แสงตะวัน
“ ที่นี้งั้นรึขอรับหุบเขาไร้ตะวัน ”
จบตอน
คอมเม้นต์