ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 88 ปีศาจชัดๆ

อ่านนิยายจีนเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ตอนที่ 88 ปีศาจชัดๆ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 88 ปีศาจชัดๆ

ทางทิศใต้ของตัวอำเภอมีลานเปิดโล่งแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่สำหรับค้าขายของป่า ชาวบ้านนอกตัวอำเภอจะนำของป่ามากมายมาขายที่นี่

ตกบ่ายแล้ว ที่นี่ไม่มีผู้คนมากนัก มีเพียงชาวบ้านส่วนน้อยที่โอบอุ้มความหวังว่าขายของได้บ้าง ชายชุดเทาผู้หนึ่งยกมือไพล่หลัง ค่อยๆ เดินเอื่อยไปในลานแห่งนี้ บางครั้งก็ย่อตัวนั่งลงไปตรวจสอบคุณภาพสีสันของของป่าที่ชาวบ้านนำมาวางขายกับพื้น ไม่ก็สอบถามราคาดูเล็กน้อย

หลังจากเดินวนครบรอบหนึ่ง ชายชุดเทาเดินไปยังโรงน้ำชาที่อยู่ในละแวกนี้ หลังจากนั่งลงในโรงน้ำชาก็ร้องสั่งพนักงานว่า “น้ำชาหนึ่งกา!”

“ได้ขอรับ นายท่านโปรดคอยสักครู่” พนักงานขานรับ

ด้านนอกประตูมีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดขวางอยู่ตรงปากทางเข้าพอดี ดึงดูดความสนใจของชายชุดเทาเอาไว้ ทว่าไม่เห็นมีคนลงจากรถม้า ขณะที่สังเกตการณ์อยู่ จู่ๆ พลันพบว่ามีอะไรบางอย่างจ่ออยู่ตรงเอวของตน เขาก้มลงมอง พบว่ามีมีดสั้นเล่มหนึ่งจ่อตนอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นทันที พบว่าซ้ายขวามีคนสองคนยืนประกบตนเองอยู่

“….” ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง ก็ถูกมีดสั้นแทงเล็กน้อยเป็นการตักเตือน

ทั้งสองคนไม่พูดไม่จา โยนเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะ หิ้วแขนเขาคนละข้าง พาตัวเขาออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดันตัวเขาขึ้นไปบนรถม้า

ทันทีที่เขาเข้าไปในรถม้าก็ถูกคนปิดปาก กดตัวให้นอนคว่ำบนรถม้า มัดไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นรถม้าก็หักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อพนักงานของโรงน้ำชายกน้ำชงที่เพิ่งชงเสร็จออกมา กลับพบว่าลูกค้าหายไปแล้ว เขาวางกาน้ำชาลง กวาดเหรียญทองแดงบนโต๊ะใส่มือ วิ่งออกไปยังประตูทางเข้า หันมองซ้ายมองขวา แต่ยังคงไม่เห็นใคร จึงเกาศีรษะแล้วเดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

……

ด้านนอกคฤหาสน์ กลุ่มบัณฑิตเลื่องชื่อแห่งอำเภอชางหลูกล่าวอำลา หลานรั่วถิงออกมาส่งทุกคนด้วยตัวเอง ส่งจนถึงบริเวณตีนเขา

“ท่านหลานส่งแค่นี้เถิด!” คนทั้งกลุ่มเกลี้ยกล่อมอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งหลานรั่วถิงหยุดฝีเท้า ทุกคนถึงจะหันหลังเดินลงเขาไป

ระหว่างเดินทางลงเขา ฝีเท้าทุกคนเบาหวิวว่องไว งานเลี้ยงวันนี้นับว่าดำเนินไปอย่างราบรื่น บนใบหน้าของหลายๆ คนฉายแววชื่นมื่นสุขสันต์

ท่านหญิงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่วิจารณ์ผลงานกับทุกคนเท่านั้น แต่ยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับทุกคนด้วย มาตรว่าท่านหญิงจะสวมหมวกม่านแพรบดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้ แต่เรือนร่างอันอรชร กริยามารยาทอันงามสง่า อีกทั้งน้ำเสียงอันอ่อนหวานไพเราะล้วนทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม ซ้ำยังมีความรู้อันลึกซึ้งที่แสดงออกมาในระหว่างการสนทนาพูดคุยด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเผยให้เห็นว่านางได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี สมกับที่กำเนิดในราชวงศ์ มิใช่บุคคลที่อำเภอเล็กๆ แห่งนี้จะอบรมบ่มเพาะขึ้นมาได้ ทำให้พวกเขารู้สึกนับถือชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

มีข่าวลือว่าท่านหญิงรูปโฉมอัปลักษณ์ แต่จากที่ได้ยลยินในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือบุคลิก อีกทั้งน้ำเสียงนั้น บุคคลเช่นนี้จะเป็นคนอัปลักษณ์ไปได้อย่างไร? มีบุรุษที่แอบเพ้อฝันอยู่ในใจ หากว่าได้เคียงคู่ชิดใกล้ เช่นนั้นคงจะเป็นเรื่องที่ดีงามเป็นอย่างมาก เสียดายที่ศักดิ์และฐานะของนางมิใช่สิ่งที่ตนจะอาจเอื้อมถึง จึงทำได้เพียงแอบเพ้อฝันอยู่ในใจเท่านั้น

หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็เปลี่ยนเป็นหลานรั่วถิงออกมารับหน้าทุกคนแทน สอบถามและขอคำชี้แนะเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและมุมมองเกี่ยวกับอำเภอชางหลู

สรุปแล้วในการพบปะพูดคุยครั้งนี้ บรรยากาศดียิ่ง ก่อนจากลาหลานรั่วถิงยังได้มอบเงินให้คนละหนึ่งร้อยเหรียญเงิน บอกว่าเป็นขวัญน้ำใจจากท่านหญิง ขอให้ทุกคนอย่าได้รังเกียจ

หลินซั่งปอที่ก่อนหน้านี้รู้สึกวิตกกังวล ยามนี้กลับอารมณ์ดี พบว่าตนคิดมากไปเอง ในสมองยังคงนึกถึงช่วงเวลาที่ได้ร่วมดื่มด่ำกับท่านหญิง จากนั้นก็นึกถึงภรรยาตน จึงนำมาเปรียบเทียบกับท่านหญิงเล็กน้อย บุคลิกเช่นนั้นมิอาจนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย ในใจแอบรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง

คนส่วนใหญ่ล้วนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มีเพียงคนอย่างซูเต๋อคังเท่านั้นที่มองว่าการกระทำของซางเฉาจงคือการซื้อใจคนอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก เขามีสีหน้าคร่ำเคร่ง ไม่พูดไม่จา กังวลถึงอนาคตข้างหน้า

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดจึงไม่เห็นลู่เซิ่งจง ทางซางซูชิงได้ตอบว่าเขากลับไปก่อนแล้ว ทุกคนก็ไม่คิดอะไรมาก ความจริงแล้วมีบางคนที่คิดว่าลู่เซิ่งจงไม่คู่ควรกับงานเลี้ยงเช่นนี้ เป็นแค่เจ้าของร้าน ‘หมึกวิเวก’ ที่เป็นร้านเครื่องเขียนที่ดีที่สุดในตัวอำเภอ แต่กลับกล้าเสนอหน้าสมอ้างว่าเป็นบัณฑิตมีปัญญา ไม่รู้สึกอายตัวเองบ้างหรือ

อย่างน้อยคนกลุ่มนี้ต่างก็คิดว่าตนเป็นบัณฑิตทรงความรู้ของอำเภอชางหลูแห่งนี้

หลังจากลงเขา แต่ละคนแยกย้ายกันไป กว่าทุกคนจะกลับถึงตัวอำเภอก็ใกล้พลบค่ำแล้ว

ควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยม้วนเต็มตรอกคับแคบ บัณฑิตหนุ่มเปิดประตู เดินเข้าไปในบ้านพลางตะโกนว่า “พรุ่งนี้เอาแม่ไก่ตัวนั้นไปตุ๋นซะ!” นับเป็นการประกาศให้รู้ว่าตนกลับมาแล้ว

หญิงสาวมุดออกมาจากห้องครัวร้องด่าทันที “ท่านหญิงเลี้ยงเจ้าไม่อิ่มหรืออย่างไร?”

บัณฑิตหนุ่มเดินเข้าไปในโถงรับแขกอย่างเย่อหยิ่ง ล้วงถุงเงินออกมาต่อหน้าภรรยาที่เดินตามเข้ามา เทเหรียญเงินกองหนึ่งลงบนโต๊ะเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง

หญิงสาวปิดปากอุทาน “เจ้ากล้าขโมยของด้วยหรือ?” อย่างน้อยนางก็มั่นใจว่าไม่มีใครยอมให้บ้านนางยืมเงินมากขนาดนี้ในคราวเดียวแน่

“ขโมยหรือ? เจ้าก็คิดออกมาได้เนอะ!” บัณฑิตหนุ่มกลอกตา จากนั้นเอ่ยอย่างภาคภูมิใจทันทีว่า “เป็นขวัญถุงที่ท่านหญิงมอบให้ ตอนนี้ยังคิดว่าบัณฑิตหาเงินไม่ได้อยู่หรือไม่?” น้ำเสียงเหมือนได้ปลดปล่อยความรู้สึกอัดอั้น

“ท่านหญิงให้หรือ?” หญิงสาวตาลุกวาว หันกลับไปปิดประตูหน้าบ้านทันที คล้ายว่ากลัวคนมาเห็นเข้า จากนั้นรีบกลับมานับเงินที่โต๊ะ ตื่นเต้นจนมือสั่นเล็กน้อย ในบ้านไม่เคยมีเงินมากขนาดนี้มาก่อน

“ไม่ต้องนับแล้ว ร้อยเหรียญถ้วน พอให้ครอบครัวเราใช้ได้ทั้งปี! วันพรุ่งนี้จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เจ้าสองชุด จำไว้ด้วยว่าพรุ่งนี้ต้องเชือดแม่ไก่ตัวนั้น…”

…….

เหล่าบัณฑิตเลื่องชื่อของอำเภอชางหลูกลับถึงตัวอำเภอได้ไม่นาน รถม้าคันหนึ่งก็ตามกลับเข้ามาในอำเภอ จอดตรงหน้าประตูร้าน ‘หมึกวิเวก’

สารถีเชิญลู่เซิ่งจงลงจากรถม้าอย่างพินอบพิเทา จากนั้นบังคับม้าจากไป

เพื่อนบ้านรอบข้างเห็นเหตุการณ์ก็รีบออกมาจากร้าน ล้อมวงสอบถามเกี่ยวกับคำเชิญจากท่านหญิง

“พูดไม่ได้ พูดไม่ได้!” ลู่เซิ่งจงปิดปากแน่นสนิท ประสานมือขอร้องให้ทุกคนช่วยปล่อยเขาไป

พอเห็นว่าพูดไม่ได้ ทุกคนก็ได้แต่ยอมแพ้ พากันแยกย้ายไป แต่สายตาที่มองมาทางลู่เซิ่งจงยังคงทอแววอิจฉาอยู่บ้าง

ลู่เซิ่งจงเหลียวมองรอบข้าง ลังเลเล็กน้อย พลังถูกสะกดไว้ สุดท้ายเขายังคงไม่กล้าหนี เดินไปตรงประตูหน้าร้าน ถอดบานประตูออก

ทันทีที่เข้าไปด้านใน เขาก็รีบเดินไปทางโถงด้านหลัง แต่เมื่อแหวกม่านเดินเข้าไปในโถงด้านหลัง เขาก็ตกตะลึงไปทันที มองเห็นไป๋เหยาที่นั่งอยู่ด้านในกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น ไม่ทราบเช่นกันว่าเข้ามาจากทางไหน

ลู่เซิ่งจงมองไปทางหน้าต่าง เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

เมื่อรัตติกาลมาเยือน ลู่เซิงจงจุดโคมหน้าประตูเพียงดวงเดียวอีกครั้ง

หนึ่งชั่วยามผ่านไป ร่างคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงมุมถนน เป็นหลิวจื่ออวี๋ที่แปลงโฉมปลอมตัวมา พอมาถึงประตูร้านหมึกวิเวกก็เหลียวมองรอบข้างเล็กน้อย เดินตรงเข้าไปในร้าน

ผ่านไปสักพัก มีเสียงต่อสู้แว่วมาจากด้านใน

ปึง! ร่างคนผู้หนึ่งกระแทกประตูกระเด็นออกไป หล่นลงบนถนนพร้อมกระอักเลือดออกมา เป็นหลิวจื่ออวี๋

เสียงอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ดึงดูดให้คนกลุ่มหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ในมุมมืดของถนนปรากฏตัวขึ้นทันที มุ่งหน้ามาทางนี้ ผลปรากฏว่าพุ่งออกมาได้ครึ่งทางก็มีคนโผล่มาขัดขวางเพื่อสังหาร

ไป๋เหยาทะยานออกมาจากร้านหมึกวิเวก เหยียบหลิวจื่ออวี๋ที่คลุกคลานหมายจะลุกขึ้นให้นอนหมอบลงไปบนพื้น เขาเงื้อกระบี่ขึ้นมา ประกายแสงเย็นยะเยือกส่องวาบ สะบั้นศีรษะของหลิวจื่ออวี๋

ยามนี้เพื่อนร่วมสำนักที่โผล่มาช่วยหลิวจื่ออวี๋ย่อมทราบดีว่าหลงกลเข้าแล้ว เมื่อเห็นหลิวจื่ออวี๋สิ้นชีพ จึงทราบว่าไม่มีความจำเป็นต้องช่วยเหลืออีก จากนั้นมองเห็นไป๋เหยาปรากฏกาย รู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย จึงมีคนตะโกนขึ้นมาว่า “ไป!”

ภายในความมืดมีเสียงร้องโหยหวนดังลอยมา มีคนอีกสองคนทะยานหลบหนีไปในม่านราตรี ด้านหลังมีเงาร่างไล่ตามสังหาร

ผู้คนในร้านค้ารอบข้างถูกเสียงต่อสู้ทำให้ตกใจ พวกเขามองออกไปด้านนอกผ่านทางร่องหน้าต่างและร่องประตู ต่างรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก

เจ้าหน้าที่ที่ทำการลาดตระเวนอยู่ในเมืองรีบเดินทางมาทันที รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามา องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งของซางเฉาจงมุดออกมาจากในรถม้า แสดงป้ายคำสั่งต่อเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน รับหน้าที่สั่งการโดยตรง

หยวนกังก็มุดออกมาจากรถม้าเช่นกัน เข้าไปลากตัวลู่เซิ่งจงออกมาจากในร้านหมึกวิเวก พาขึ้นรถม้าจากไปอย่างรวดเร็ว

พวกไป๋เหยาเคลื่อนกายทะยานไปในอากาศ หายลับไปในความมืด

ด้านบนกำแพงเมืองมีคนจุดกองเพลิงขึ้นมา กองฟืนที่ถูกราดน้ำมันลงไปพลันพ่นเปลวไฟสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

ภายในคฤหาสน์บนเขา หนิวโหย่วเต้าที่ยืนพิงราวกั้นอยู่บนหอสูงทอดตามองออกไป ก่อนจะมองเห็นสัญญาณที่ส่งมาจากบนกำแพงเมืองที่อยู่ไกลออกไป จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าหมี ปล่อยเลย!”

หยวนฟางที่อยู่ด้านหลังจับปีกทองตัวหนึ่งออกมาจากกรงทันที เดินไปหยุดหน้าราวกั้นแล้วโยนปีกทองออกไปท้องฟ้ายามค่ำคืน ปีกทองกระพือปีกอย่างรวดเร็ว หายลับไปใต้แสงจันทร์

หลังหลานรั่วถิงและสองพี่น้องสกุลซางที่มองดูอยู่ด้านข้างได้เห็นเช่นนั้น ซางเฉาจงก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “จับมือสังหารได้แล้วหรือ?”

“จับมือสังหารได้หรือไม่ไม่สำคัญ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต่างหากถึงจะเป็นตัวปัญหาที่แท้จริง แต่ในตอนนี้ยังไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้พ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา เอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้ม “หากท่านอ๋องยึดจังหวัดชิงซานได้ เมื่อถึงเวลานั้นกระหม่อมจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งให้แก่ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”

ของขวัญชิ้นใหญ่หรือ? ทั้งสามมองหน้ากัน หลานรั่วถิงเอ่ยถามด้วยความสนใจ “ไม่ทราบว่าเป็นของขวัญแบบใดหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มแต่ไม่ตอบ หลานรั่วถิงพูดไม่ออก ทราบแล้วว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์ หากคนผู้นี้ไม่อยากบอก ถึงถามไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

หนิวโหย่วเต้าคล้ายจะโยนเรื่องนี้ออกไปจากสมอง เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถ้าหากสะดวกล่ะก็ พรุ่งนี้กระหม่อมสามารถเดินทางไปเก็บตัวที่เขตลับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงพยักหน้ารับ “ได้! เดี๋ยวข้าจะไปจัดการให้เต้าเหยี่ย” ในใจยังคงครุ่นคิดอยู่ว่าของขวัญที่อีกฝ่ายพูดเป็นของขวัญอะไร ภายในใจรู้สึกสงสัยใครรู้

หนิวโหย่วเต้าประสานมือกล่าวอำลา หันหลังพาหยวนฟางลงจากหอสูง

อีกสามคนที่อยู่บนหอสูงยืนเท้าราวกั้น มองคนทั้งสองเดินกลับไปยังเรือนพำนักของตน จู่ๆ หลานรั่วถิงพลันเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เต้าเหยี่ยผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย!”

ซางเฉาจงเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์หมายถึงเรื่องใด?”

หลานรั่วถิงย้อนถาม “ท่านอ๋องยังมองไม่ออกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ปีศาจหมีตัวนั้นถูกเขาสยบจนเชื่อฟังคล้อยตามแล้ว เหล่าสมณะวัดหนานซานยังคงเว้นระยะห่างจากพวกเรา แต่กลับสนิทสนมเชื่อฟังเขา…อายุเพียงเท่านี้กลับมีฝีมือขนาดนี้ นี่มันปีศาจชัดๆ!”

…….

ลานเรือนเงียบสงัดใต้แสงจันทร์ หยวนกังกลับมาแล้ว พาลู่เซิ่งจงที่ยังคงมีสีหน้าโศกเศร้ากลับมาด้วย

“จัดการเสร็จแล้ว” สี่คำสั้นๆ ออกมาจากปากหยวนกัง ถือเป็นคำอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองที่สมบูรณ์ที่สุด

หนิวโหย่วกังเอ่ยสั่งหยวนฟาง “เจ้าหมี พาตัวไป สั่งให้คนคอยจับตามองไว้ดีๆ อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้เด็ดขาด ห้ามใครหน้าไหนพูดคุยกับเขาด้วย ถ้าหากจำเป็นก็อนุญาตให้ลงไม้ลงมือได้!”

“เต้าเหยี่ย วางใจได้เลยขอรับ” หยวนฟางรับประกัน หันไปคว้าคอเสื้อลู่เซิ่งจง ก่อนจะลากตัวออกไป

…….

กลางดึก ณ เรือนหลังหนึ่งภายในมณฑลหนานโจว ปีกทองตัวหนึ่งโผบินมาจากฟากฟ้า ร่อนลงบนรังนกใต้ชายคา ส่งเสียงดัง “กรูๆ”

อันเสี่ยวหม่านเดินออกมาอย่างรวดเร็ว จับตัวมันขึ้นมา ดึงจดหมายลับออกมาจากกระบอกตรงขามัน

จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องเปิดอ่านจดหมายลับ เป็นจดหมายจากลู่เซิ่งจงผู้เป็นศิษย์พี่ แจ้งว่าตัวเขาไม่ระวังจึงเผยพิรุธออกไป เพื่อเอาชีวิตรอด จึงทำได้เพียงเผยข้อมูลของพวกหลิวจื่ออวี๋ศิษย์สำนักเซียนสถิต ยามนี้หลิวจื่ออวี๋ถูกปลิดชีพแล้ว แต่ดันมีคนของสำนักเซียนสถิตบางคนที่ทราบเรื่องนี้และหนีรอดไปได้ คาดว่าอีกไม่นานหลิวลู่คงจะทราบข่าวนี้ ให้เขารีบติดต่อสำนักเพื่อหลบเลี่ยงภัย

อันเสี่ยวหม่านที่อ่านจดหมายลับจบตกใจจนหน้าถอดสี หลิวลู่เป็นผู้ใดน่ะหรือ? อย่าเห็นว่าหลิวลู่เป็นเพียงพ่อบ้านคนหนึ่งของตระกูลซ่งแล้วจะดูแคลนเขาได้! หลิวลู่มีบุตรชายเพียงคนเดียว คนของสำนักเบญจคีรีเป็นเหตุทำให้เขาตาย ตอนนี้หลิวลู่ยังไม่อาจทำอะไรพวกซางเฉาจงได้ แต่เพียงแค่สำนักเบญจคีรีสำนักเดียว มีหรือที่เขาจะจัดการไม่ได้? เขาจะต้องระบายความแค้นกับสำนักเบญจคีรีแน่นอน ต่อให้หลิวลู่ไม่พูดอะไร สำนักเซียนสถิตก็ต้องมอบคำอธิบายให้หลิวลู่อยู่ดี สำนักเบญจคีรีตกอยู่ในอันตรายแล้ว!

………………………………………………..

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด