ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 93 แดนสุขาวดี

อ่านนิยายจีนเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ตอนที่ 93 แดนสุขาวดี อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 93 แดนสุขาวดี

ทว่านี่มิใช่ข้อสรุปที่แน่ชัด หากแต่เป็นข้อสรุปส่วนตัวที่ได้มาจากการรวบรวมประสบการณ์ชีวิตของเขาที่ผ่านการฝึกบำเพ็ญเพียรและดูดซับจากทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน จากนั้นนำเอามาอธิบายในวิธีที่หยวนกังสามารถเข้าใจได้

หยวนกังที่ตากคบเพลิงตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ซางซูชิงที่นอนตะแคงหลับตาอยู่เห็นได้ชัดว่ายังไม่หลับ ดวงตาที่อยู่ภายใต้เปลือกตากลอกกลิ้งไปมา คำพูดของหนิวโหย่วเต้านางฟังแล้วฉงนงงงวย สสารมืดคือสิ่งใด? ตำนานตะวันตก? ตำนานตะวันออก? แล้วมนุษย์หมาป่าคืออะไร? นางใคร่ครวญอย่างสับสนมึนงง เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก คิดไปคิดมาก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

อย่าว่าแต่นางเลย เอาเข้าจริงแล้วหยวนฟางที่นั่งสมาธิอยู่ก็เงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง แต่ฟังแล้วมึนงง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

…….

กระทั่งหยวนกังตากคบเพลิงจนแห้งไปกองหนึ่งแล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “กินอะไรสักหน่อย รีบพักผ่อนซะ อีกเดี๋ยวฉันจะเรียกเจ้าหมีมาตากต่อ”

ในบรรดาคนทั้งสามซึ่งประกอบด้วยเขา หยวนฟางและหยวนกัง เอาเข้าจริงแล้วในการเดินทางครั้งนี้คนที่สูญเสียพละกำลังไปมากที่สุดก็คือหยวนกัง หยวนกังใช้แค่แรงกายล้วนๆ ต่างจากเขากับหยวนฟางที่สามารถใช้ลมปราณทุ่นแรงกายได้ แต่แน่นอนว่าหยวนกังก็เป็นคนที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่พวกเขาเช่นกัน ช่วยไม่ได้ หยวนกังเป็นผู้ฝึกฝนศาสตร์หลอมกาย แต่หากว่ากันในอีกแง่หนึ่งแล้ว พลังกายเป็นสิ่งที่ฟื้นฟูได้ช้าที่สุด ฟื้นฟูได้ไม่เร็วเท่าเขากับหยวนฟาง

หยวนกังไม่พูดมาก หยุดมือทันที พอล้วงอาหารแห้งออกมาได้ก็ยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ หลังจากกินอิ่มหนำแล้วก็หนุนห่อสัมภาระต่างหมอน เอนหลังนอนลงไปโดยไม่ต้องกังวลอะไร เมื่อมีเต้าเหยี่ยเฝ้ายามด้วยตัวเอง แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หยวนกังยังคงนอนหลับได้อย่างสบายใจ อีกทั้งการเดินทางครั้งนี้ก็เหน็ดเหนื่อยจริงๆ ไม่นานนักเขาก็หลับลึก

ภายในโลกใต้ดินที่มืดสลัว ธารน้ำมืดมิดที่ไหลเชี่ยว สะท้อนแสงจากกองไฟที่อยู่บนฝั่ง แสงไฟที่ไหววูบวาบเป็นครั้งคราวทำให้ก้อนหินตะปุ่มตะป่ำที่อยู่ทั้งใกล้และไกลดูน่าประหวั่นพรั่นพรึง

ทุกคนล้วนพักผ่อนอย่างเงียบๆ มีเพียงหนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่อยู่ข้างกองไฟ คอยระแวดระวังรอบข้างเพียงลำพังในโลกใต้ดินที่มืดมิดแห่งนี้ เขาใช้ตาทิพย์สอดส่องไปรอบๆ อย่างต่อเนื่อง ใช้กระบี่ในมือเขี่ยคบเพลิงเปียกชื้นสองสามอันเข้าไปในกองไฟเป็นระยะๆ ทำให้กองไฟลุกโชนต่อไป

สองชั่วยามต่อมา หยวนฟางลืมตาขึ้น จากนั้นลุกขึ้นสะบัดแขนขาเล็กน้อย ใช้สัญญาณมือสื่อว่าตนพักผ่อนเต็มที่แล้ว ให้หนิวโหย่วเต้าพักผ่อนบ้าง เขาจะเฝ้ายามเอง

หนิวโหย่วเต้าส่งสัญญาณให้เขาตากคบเพลิงต่อไป หยวนฟางจึงได้แต่ต้องทำตามคำสั่ง ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็เฝ้าระวังรอบข้างต่อ

เวลาผ่านไปอีกราวๆ สองชั่วยาม ดูเหมือนซางซูชิงจะตื่นขึ้นมาแล้ว ขยับขยุกขยิกอยู่ใต้ชุดที่คลุมร่างอยู่ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมา คล้ายจะมีความขัดแย้งบางอย่างอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็ยังคงลุกขึ้นมาอยู่ดี เดินออกไปยังจุดลับตาด้านข้างอย่างเงียบๆ

หลังพักผ่อนไปครู่หนึ่ง ตุ่มที่พุพองออกมาบนเท้าเหมือนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมในเวลาเดิน ทำให้นางเดินกะเผลกอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าเดินไปไหนส่งเดชพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือน

ซางซูชิงหยุดเดินหันกลับมา กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ท่าทางคล้ายลังเลอยากพูดแต่ก็ไม่พูด

หนิวโหย่วเต้ากระจ่างขึ้นมาทันที เข้าใจอะไรบางอย่าง จึงหันไปเอ่ยกับหยวนฟาง “เจ้าหมี เฝ้าไว้” จากนั้นก็เดินเข้าไปหาซางซูชิง เสาะหาซอกหลืบมุมอับแห่งหนึ่งแล้วชี้ให้นางดู ส่วนตัวเขาก็ยืนหลบอยู่ด้านหลังหินก้อนหนึ่งที่อยู่นอกหลืบ หันหลังคอยเฝ้าระวัง

ซางซูชิงค่อยๆ มุดเข้าไปในหลืบ ยืนนิ่งอยู่ด้านในไม่ขยับเขยื้อน ท่าทางลังเลเป็นอย่างมาก

ร่างกายท่อนบนของหนิวโหย่วเต้าโผล่พ้นหินขึ้นมา เอ่ยทั้งๆ ที่หันหลังให้ว่า “วางใจได้ กระหม่อมไม่แอบมองแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ร่างของซางซูชิงค่อยๆ ย่อมุดลงไปในหลืบ ไม่นานนัก เสียงที่ไม่ค่อยเหมาะสมก็แว่วดังออกมาเล็กน้อย

เมื่อซางซูชิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นางดูเขินอายอย่างเห็นได้ชัด พบว่าตนทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าหนิวโหย่วเต้านับไม่ถ้วนแล้วจริงๆ ภายในใจรู้สึกเช่นไร มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่ทราบดี นางเอ่ยเสียงแผ่ว “เสร็จแล้ว!” จากนั้นเดินลากเท้ากลับไปข้างกองไฟ เขินอายจนดวงหน้าและใบหูแดงก่ำ

เมื่อหนิวโหย่วเต้ากลับมา ก็พบว่าหยวนกังตื่นแล้ว

หยวนกังเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหมี เจ้าคอยเฝ้าไว้ เต้าเหยี่ย ท่านมาพักผ่อนเถอะ”

หนิวโหย่วเต้านั่งสมาธิลงไป หลังจากกินอาหารแห้งเสร็จ ก็หลับตาปรับลมหายใจ

เวลาผ่านไปอีกประมาณสองชั่วยาม หนิวโหย่วเต้าที่ฟื้นกำลังเต็มที่แล้วลุกขึ้นมา ทั้งกลุ่มเริ่มเก็บของออกเดินทาง

หยวนฟางมัดคบเพลิงหนึ่งร้อยอันที่ผิงไฟจนแห้งแล้วเข้าด้วยกัน จากนั้นแบกไว้บนหลัง ส่วนหยวนกังแบกไว้ห้าสิบอัน ซางซูชิงเองก็ทราบถึงสถานการณ์ของเท้าทั้งสองข้างของตนดี หากนางเดินไปเองล่ะก็ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะเดินได้หรือไม่ แต่ที่รู้ๆ คือต้องช้าอย่างมากแน่ จึงไม่บ่ายเบี่ยงอันใดอีก ยอมปีนขึ้นหลังหนิวโหย่วเต้าแล้วถือคบเพลิงส่องทางให้อย่างว่าง่าย

ทั้งกลุ่มออกเดินทางอีกครั้ง ครั้งนี้ทุกคนมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม แทบไม่หยุดพักระหว่างทางเลย เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางพบเห็นคลังคบเพลิงที่ว่างเปล่าอีกสิบกว่าแห่ง เห็นได้ชัดว่าถูกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดผู้นั้นทำลายทิ้ง แต่ทว่าก็มีคลังคบเพลิงเพียงสิบกว่าแห่งนี้ที่ถูกทำลาย คลังคบเพลิงที่อยู่ถัดไปจากนั้นกลับมีคบเพลิงจัดวางไว้เป็นอย่างดี ไม่มีร่องรอยถูกทำลายให้เสียหายอีก ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วว่าทำเช่นนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ หรือเป็นเพราะไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในช่วงหลังแล้ว ถึงไม่สามารถหาคลังเก็บคบเพลิงพบได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ใต้ดินเองก็ไม่ได้มืดสนิทไปเสียทั้งหมด บางครั้งก็มีแสงสว่างส่องลอดลงมาจากหลืบรูด้านบน

พวกเขาเดินทางกันเกือบทั้งวันโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งพบหินก้อนหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายพยัคฆ์หมอบตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซางซูชิงที่เกาะไหล่หนิวโหย่วเต้าอยู่พลันเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ใกล้ถึงแล้ว เดินหน้าต่อไปอีกราวๆ หนึ่งลี้ก็จะมีปากถ้ำที่เชื่อมทะลุออกไปได้”

แล้วก็เป็นไปตามที่นางบอก เดินต่อไปอีกประมาณหนึ่งลี้ก็มองเห็นปากถ้ำแห่งหนึ่งที่มีร่องรอยถูกขุดเจาะด้วยฝีมือมนุษย์ มีบันไดทอดยาวขึ้นไปด้านบน เป็นฝีมือมนุษย์ผสมผสานกับการรังสรรค์ของธรรมชาติ

เมื่อเดินขึ้นไปตามบันไดที่วกวนคดเคี้ยวเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร สุดท้ายก็ได้พบกับแสงสว่าง

แม้จะมีคบเพลิงคอยให้แสงสว่างมาตลอดทาง แต่ยามที่แสงสว่างเข้าปกคลุมร่างอย่างกะทันหัน มันก็ค่อนข้างแสบตาอยู่บ้าง

เมื่อรื้อเถาวัลย์ที่ปกคลุมปากถ้ำออก ทั้งสี่ก็พบว่าพวกตนมาโผล่อยู่กลางไหล่เขาแห่งหนึ่ง อยู่ท่ามกลางขุนเขางดงาม ห่างออกไปไม่ไกลมีน้ำตกสายหนึ่งไหลรินทิ้งตัวลงไปด้านล่าง ใต้น้ำตกคือสระน้ำสีเขียวมรกตแห่งหนึ่ง มองเห็นลูกเล็กเด็กแดงหยอกล้อเล่นสนุกกันอยู่ในสระน้ำ มีบ้านเรือนกระจายตัวอยู่ตามภูเขา ดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สงบงดงาม ราวกับแดนสุขาวดีที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ไกลออกไปมีภูเขาไฟลูกหนึ่งที่ดูเหมือนจะดับมอดไปแล้ว อย่างน้อยหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังต่างก็มองออกทันทีว่านั่นคือภูเขาไฟ

ถัดจากกลางไหล่เขาออกไปไม่ไกลมีศาลามุงจากอยู่หลังหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในศาลา หลังชายหนุ่มมองเห็นคนทั้งสี่โผล่ออกมาจากถ้ำบนไหล่เขา เขาก็รีบเคาะระฆังใบหนึ่งที่แขวนอยู่ในศาลามุงจากจนเกิดเสียงดัง “หง่างหง่าง” เสียงระฆังแว่วสะท้อนไปทั่วหุบเขา ชายหนุ่มหยิบดาบง้าวขึ้นมาพลางจ้องมองทั้งสี่คนที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าหวาดระแวง

ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้น เด็กๆ ที่เล่นน้ำอยู่ในสระก็ปีนขึ้นจากสระไปหาที่ซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว ในหมู่บ้านคล้ายจะเกิดความโกลาหลขึ้น มีขบวนคนถืออาวุธวิ่งตรงมาทางด้านนี้

“เต้าเหยี่ย ไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยข้าลงเถิด” ซางซูชิงที่ขี่หลังหนิวโหย่วเต้าอยู่เอ่ยขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าปล่อยนางลง ไม่นานนักกลุ่มชายฉกรรจ์ติดอาวุธก็วิ่งแห่ขึ้นมาบนเขา มีหลายคนที่ถือธนูหน้าไม้มาด้วย

ซางซูชิงหยิบป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งออกมา แสดงต่อหน้าชายฉกรรจ์เคราครึ้มคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มชาวบ้าน พร้อมทั้งตะโกนว่า “ท่านอาหลัว ข้าคือชิงเอ๋อร์ ยังจำได้หรือไม่?”

ตลอดการเดินทางผ่านอุโมงค์ใต้ดินนางไม่ได้สวมผ้าคลุม ชายฉกรรจ์เคราครึ้มคนนั้นมองป้ายคำสั่ง จากนั้นมองใบหน้าครึ่งขาวครึ่งดำอันแสนอัปลักษณ์ของซางซูชิง พลันเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ท่านหญิง!” จากนั้นก็รีบโบกมือไปมาร้องสั่งการ “วางอาวุธ! วางอาวุธลง! เป็นท่านหญิง รีบวางลง!”

เขาปักดาบง้าวในมือลงบนพื้น รีบก้าวนำออกมา พอเข้ามาใกล้ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ประสานมือทำความเคารพ “กระหม่อมหลัวอันคารวะท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง…” เขาส่ายหน้า เริ่มสะอึกสะอื้นจนเอ่ยไม่เป็นคำ น้ำตาหลั่งริน

ซางซูชิงทราบว่าเขาหมายถึงหนิงอ๋องที่ล่วงลับไปแล้ว นางเดินกะเผลกๆ เข้าไป ยื่นสองมือประคองให้ลุกขึ้นมา “ท่านอาหลัว ล้วนเป็นอดีตไปแล้ว”

หลัวอันยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา ทั้งโศกศัลย์ทั้งปรีดา จากนั้นเอ่ยว่า “ผู้เยาว์เหล่านี้มิเคยพบท่านหญิง หากมีจุดใดล่วงเกินไป ขอท่านหญิงโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” จากนั้นก็หันไปตะคอกใส่เหล่าคนหนุ่ม “ยังไม่รีบทำความเคารพท่านหญิงอีก!”

บรรดาคนหนุ่มมองหน้ากันเหลอหลา พบว่าท่านหญิงผู้นี้อัปลักษณ์นัก แต่ก็ยังคงพากันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยอย่างพร้อมเพียง “คารวะท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงรีบก้าวออกไปบอกให้ทุกคนลุกขึ้น หลัวอันสังเกตเห็นเท้าของนาง ถามด้วยความแปลกใจ “ท่านหญิง เกิดอะไรขึ้นกับเท้าของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ?”

เวลานี้ซางซูชิงถึงได้ยอมพูดความจริงออกมา “เส้นทางเดินลำบาก เท้าอาจพุพองไปบ้าง ไม่เป็นอะไรมาก”

หลัวอันพยักหน้า สื่อว่าเข้าใจ เส้นทางลับด้านล่างเขาเคยเดินมาก่อน ขนาดบุรุษทั่วไปยังเดินลำบากเลย นับประสาอะไรกับสตรีอย่างท่านหญิง

ทว่าชายหญิงมิพึงชิดใกล้ บุรุษทั้งกลุ่มไม่สะดวกจะช่วยประคอง เขารีบสั่งการทันที ให้คนไปตามสตรีในหมู่บ้านมาช่วยดูแลสักสองคน

ซางซูชิงเดินไม่สะดวก หลัวอันจึงไม่รีบร้อนจะลงจากเขา อยู่เป็นเพื่อนพลางสอบถามสารทุกข์สุกดิบ “ไม่ได้พบกันราวเจ็ดแปดปี ท่านหญิงโตขึ้นมาก กระหม่อมจำแทบไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “รอยปานบนหน้าข้าน่าจะสังเกตเห็นได้ง่ายนะ”

นี่คือปมด้อยของท่านหญิง หลัวอันรีบโบกมือปฏิเสธ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านหลังเงยหน้ามองดวงตะวันบนฟ้า จากนั้นหันกลับไปมองทางปากถ้ำที่ออกมา เดินเข้าไปถามหลัวอัน “ระยะนี้ในหมู่บ้านเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นบ้างหรือไม่?”

หลัวอันเพิ่งสังเกตเห็นพวกหนิวโหย่วเต้าทั้งสามที่อยู่ด้านหลัง จึงเอ่ยถามซางซูชิง “ท่านหญิง สามท่านนี้คือ?”

“หนิวโหย่วเต้า หยวนกัง เจ้าอาวาสหยวนฟาง ล้วนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น” หลังจากแนะนำทั้งสามคนเสร็จ ก็แนะนำหนิวโหย่วเต้าเป็นการเฉพาะอีกครั้ง “ท่านนี้คือฝ่าซือติดตามของจวิ้นอ๋อง” จากนั้นก็สลับมาแนะนำหลัวอันต่อคนทั้งสาม ท่านอาหลัวอันเป็นแม่ทัพในสังกัดของเสด็จพ่อข้า เป็นหนึ่งในแม่ทัพบัญชาการดั้งเดิมของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญ”

“ฝ่าซือติดตามหรือ?” หลัวอันขมวดคิ้ว เพ่งพินิศหนิวโหย่วเต้าจากหัวจรดเท้าเล็กน้อย อดรู้สึกไม่ได้ว่าดูอายุน้อยไปหน่อย

ซางซูชิงเอ่ยชี้แจง “เต้าเหยี่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านตงกัว!”

พอได้ยินว่าเป็นศิษย์ของท่านตงกัว หลัวอันก็ให้ความเคารพขึ้นมาทันที ไม่กล้าดูแคลนอีก เขาทราบดีว่าตงกัวเฮ่าหรานเป็นสหายรักของหนิงอ๋อง รีบประสานมือเอ่ยทักทาย “คารวะฝ่าซือ”

หนิวโหย่วเต้าประสานมือทักทายกลับ เอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง “แม่ทัพหลัว ระยะนี้ในหมู่บ้านเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นบ้างหรือไม่?”

“เรื่องแปลกๆ หรือ?” หลัวอันงุนงง “เรื่องแปลกๆ อย่างไรหรือ? ทุกอย่างปกติดี ไม่มีเรื่องแปลกอันใด มีเด็กๆ สองสามคนในหมู่บ้านตีกันนับหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ในหมู่บ้านมีฝ่าซือหรือไม่?”

หลัวอันส่ายหน้า “ไม่มี ที่นี่เงียบสงบยิ่ง คนนอกยากจะหาพบได้”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “คนในหมู่บ้านไม่ได้ใช้เส้นทางลับมานานแค่ไหนแล้ว?”

หลัวอันมีสีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย “หลังท่านอ๋องประสบเหตุ พวกเราก็ได้รับข้อความจากท่านอาจารย์หลาน หลังกำลังพลส่วนหนึ่งถอนกำลังออกมาจากคฤหาสน์บนภูเขาแล้วก็ตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอกไปเลย คนในหมู่บ้านหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถเข้าไปในเส้นทางลับได้ ปากทางเข้ามีคนคอยเฝ้าเอาไว้ตลอด ไม่มีใครใช้เส้นทางลับมาห้าปีแล้ว ฝ่าซือถามเช่นนี้ หรือจะเกิดเรื่องใดขึ้น?”

“ไม่มีอะไร ถามเผื่อเอาไว้เฉยๆ เพื่อความปลอดภัยน่ะ” หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ ไม่รบกวนอีก หันไปส่งสายตาให้หยวนกัง

…………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด