กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ – ตอนที่ 9 ปัญหานอกในรุมเร้า
ตอนที่ 9 ปัญหานอกในรุมเร้า
แปล Tarhai
ในส่วนของตระกูลหลิงนั้นจี้เทียนซิงมีแผนการของเขาเอง จี้ชางคงจึงมิอาจเอ่ยอันใดได้อีก
จากนั้นจี้เทียนซิงก็กล่าวออกมาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม “ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ”
“ข้าเพิ่งไปที่หอวิญญาณโอสถมาเพื่อรอพบปรมาจารย์เสวี่ย แต่ข้ามีเรื่องกับคุณชายสามกู่เฮา มันลวนลามฮวนเอ๋อสมาชิกของตระกูลเรา ข้าจึงลงมือไปด้วยความโกรธ เดิมคิดเพียงสั่งสอนบทเรียนให้มันเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าข้าจะพลั้งมือสังหารมันเข้า…..”
จี้เทียนซิงเล่าเหตุการณ์ที่พลั้งมือสังหารกู่เฮาด้วยฝ่ามือเดียวให้บิดาฟัง
ใบหน้าของจี้ชางคงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายกคิ้วขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงอย่างมีราศรีว่า “กู่เฮางั้นหรือ คุณชายสาม บุตรชายคนที่สามของผู้ว่ารัฐ แม้ว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะไม่ได้เรื่อง แต่บิดาของมันก็ไม่อาจมองข้ามได้ จะอย่างไรมันก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข มันเกี่ยวพันถึงหน้าตาของตระกูลกู่ เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก แต่เอาเถอะมันก็แค่ปัญหาเล็กน้อย”
จี้ชางคงหยุดคิดไปครู่หนึ่งและกล่าวกับบุตรชายอย่างสงบว่า “เทียนซิง เรื่องนี้พ่อจัดการเอง เจ้าเพียงแค่ไม่ต้องออกไปไหนสักพัก ดูแลร่างกายให้ดีก็พอ”
“ตระกูลกู่มีเขตปกครอง แม้ว่าขุมอำนาจพวกมันจะมิธรรมดา แต่พวกมันคงไม่กล้าสู้กับตระกูลจี้ของข้าตรงๆหรอก !”
คำพูดของจี้ชางคงเต็มไปด้วยความหนักแน่นและกดขี่ผู้คน เขาแสดงออกถึงความรักถนอมในตัวบุตรชายอย่างยิ่งด้วยคำพูดไม่กี่คำ เขากล่าวราวกับต้องการประกาศให้ผู้คนรับรู้ว่า บุตรชายเจ้ากระจอกเองที่ตายด้วยฝ่ามือเดียวของบุตรชายข้า !
“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านพ่อแล้ว” จี้เทียนซิงโค้งคำนับ จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องหนังสือของบิดา
เมื่อจี้เทียนซิงเดินออกไปไม่นาน จี้ชางคงที่อยู่ลำพังในห้องอย่างเงียบงันก็แสดงสีหน้าประหลาดพิลึกออกมา มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ว่ากันว่าเจ้าเด็กกู่เฮามีพลังในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 5 ส่วนเทียนซิงตอนนี้มีพลังขั้นที่ 3 … บุตรชายข้าสังหารกู่เฮาได้อย่างไรกัน… ?”
“หึหึ สมแล้วที่เป็นบุตรชายข้า ขนาดระดับพลังเพียงแค่ปรับแต่งกายาก็ยังสังหารผู้ที่มีพลังสูงกว่าได้ ข้ามั่นใจว่าสักวันเขาต้องกลับมาผงาดอีกครั้งไม่ช้าก็เร็ว!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้อารมณ์ขุ่นมัวของจี้ชางคงก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก เมฆหมอกแห่งความกลัดกลุ้มที่สะสมอยู่ในหัวใจของเขาช่วงสองสามวันที่ผ่านมาก็ลดลงไปมากเช่นกัน
……
จี้เทียนซิงกลับไปที่ห้องและได้เห็นฮวนเอ๋อกำลังนั่งอยู่อย่างเหม่อลอย ใบหน้าที่สดใสน่ารักของนางก็ยังคงเห็นรอยน้ำตา
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยและทักทายฮวนเอ๋อเบาว่า
“เด็กโง่ เจ้าคิดอะไรอยู่ ? กู่เฮานั่นก็เป็นเพียงหนึ่งในคุณชายน้อยตระกูลกู่ ฆ่ามันแล้วก็แล้วกัน ใยสกุลจี้ของเราจะต้องกลัวพวกมันด้วย ?”
“ยิ่งไปกว่านั้นกู่เฮาก็เป็นคนโหดเหี้ยมไร้ความปรานีอาศัยพึ่งพาแต่บารมีของตระกูล ไม่รู้ว่ามีสตรีดีงามมากน้อยเท่าใดที่ต้องเป็นทุกข์เพราะมันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้บริสุทธิ์กี่คนต้องตายเพราะมัน ? ความตายของมันนับว่าช่วยกำจัดโจรร้ายต่อบ้านเมืองไปคนหนึ่ง !”
เมื่อฟังคำอธิบายของจี้เทียนซิง ฮวนเอ๋อก็รู้สึกมีที่พึ่งพิง
หลังจากชายหนุ่มปลอบโยนอยู่ไม่นาน ฮวนเอ๋อก็สงบลงอย่างรวดเร็วและเช็ดน้ำตา
“ฮวนเอ๋อ เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจะเก็บตัว”
หลังจากฮวนเอ๋อออกจากห้องไป จี้เทียนซิงก็เปิดช่องลับที่มุมห้องและเข้าไปในห้องลับเพื่อฝึกฝน
ภายในห้องลับที่แสงไฟมืดสลัว ชายหนุ่มนั่งในข่ายปราณและเริ่มฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่
ตอนนี้ศัตรูที่แข็งแกร่งของตระกูลจี้กลับเพิ่มตระกูลกู่เข้าไปอีกหนึ่ง และสถานการณ์ก็เริ่มอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ
จี้เทียนซิงต้องการฝึกฝนปราณกระบี่เพื่อทะลวงจุดชีพจรทั้งสิบสองโดยเร็ว จากนั้นก็ควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ในร่างกายและพัฒนาความแข็งแรงโดยเร็วที่สุด (จุดฝังเข็มขอเปลี่ยนเป็นจุดชีพจร)
ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ มีเพียงผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถปกป้องตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อจี้เทียนซิงสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ทั้งสองสายในร่าง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจนเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่ลึกซึ้งและดูตื่นตระหนก
“มารดามันเถอะ ! เมื่อคืนนี้ข้าควบแน่นปราณกระบี่ได้สองเล่มในร่างแล้ว ทำไมตอนนี้เหลือเพียงหนึ่ง ?”
เมื่อคืนชายหนุ่มฝึกฝนอย่างหนักตลอดทั้งคืนเพื่อควบแน่นปราณกระบี่สองเล่มไว้ที่จุดชีพจรฮุ้ยจงที่แขนขวา และอีกจุดหนึ่งอยู่ที่จุดชีพจรหยางชื่อด้านหลัง
ตอนนี้ปราณกระบี่ในจุดชีพจรฮุ้ยจงยังคงอยู่ แต่ปราณกระบี่ในจุดชีพจรหยางชื่อกลับหายไปแล้ว
จี้เทียนซิงทั้งหดหู่และงงงวย
เขาขมวดคิ้วและขบคิดอยู่เป็นเวลานานและจู่ๆก็นึกถึงภาพโลหิตที่ไหลซึมตรงหน้าอกของกู่เฮาหลังการตายของมัน
“ในตอนนั้นข้าซัดฝ่ามือในหน้าอกซ้ายของมันและเกิดบาดแผลขึ้นที่หน้าอกซ้าย ใช่แล้ว หัวใจของมันได้รับความเสียหายนั่นเอง”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ดวงตาของจี้เทียนซิงก็ทอประกายสว่างขึ้นและคาดเดาสาเหตุได้ทันที
“ข้าเข้าใจแล้ว ! สิ่งที่ทำให้กู่เฮาตายก็คือปราณกระบี่ของข้านี่เอง !”
“ไม่แปลกที่มันตกตายลงหลังจากรับฝ่ามือของข้าเข้าไป ! คิดไม่ถึงว่าปราณกระบี่ที่ข้าควบแน่นเอาไว้จะหนาแน่นและทรงพลังเพียงนี้ !”
จี้เทียนซิงตระหนักเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว อารมณ์ของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“มีเพียงความแข็งแกร่งของเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยพลังต้นกำเนิดแท้จริงออกจากร่างกายไปเพิ่มพลังโจมตีได้ ไม่คิดเลยว่าแม้ข้าจะมีพลังเพียงแค่ปรับแต่งกายาขั้นที่สามก็สามารถสังหารผู้คนได้ด้วยปราณกระบี่ในแนวทางเดียวกันกับพลังต้นกำเนิดของเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง ! วิถีดวงใจกระบี่นี่ช่างยอดเยี่ยมนัก มันทรงพลังเกินไปแล้ว !”
“ตอนนี้ข้าเพียงแค่ควบแน่นปราณกระบี่ หากวันข้างหน้าข้าประสบความสำเร็จในการควบแน่นตัวอ่อนกระบี่มันจะทรงพลังแค่ไหนกันนะ ? ข้าว่ามันคงไม่ด้อยไปกว่าเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงเป็นแน่”
จี้เทียนซิงคลุมเครืออยู่กับความรู้สึกที่ว่า ถึงแม้วิถิดวงใจกระบี่ที่เขาฝึกปรือจะดูชั่วร้าย แต่มันก็ยังมีพลังในแนวทางเดียวกับวิชายุทธ์ดั้งเดิม !
หลังจากนั้นไม่นานอารมณ์ของชายหนุ่มก็สงบลง เขาเริ่มมีสมาธิในการฝึกฝนและยังคงควบแน่นปราณกระบี่ต่อไป
ด้วยประสบการณ์ในการควบแน่นปราณกระบี่ ทำให้ตอนนี้เขาฝึกฝนปราณกระบี่และเร่งความเร็วในการควบแน่นได้มากขึ้นเล็กน้อย
เขาฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนติดต่อกันและประสบความสำเร็จในการควบแน่นปราณกระบี่ห้าเล่ม !
ปราณกระบี่ถูกเพิ่มในจุดชีพจรฮุ้ยจงอีกครั้ง ตอนนี้เขามีปราณกระบี่ในจุดชีพจรถึงหกเส้นแล้ว
จำเป็นต้องควบแน่นปราณกระบี่ทั้ง 12 เส้นทางเพื่อควบแน่นเป็นตัวอ่อนกระบี่ บัดนี้เขาทำได้ครึ่งทางแล้ว !
จี้เทียนซิงลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายและต้องการฝึกฝนต่อไป
แต่เขาได้ฝึกฝนมาเป็นเวลาสิบสองชั่วโมงติดต่อกัน ตอนนี้เขาทั้งอ่อนล้าและหิวโหย เขาจำเป็นต้องหยุดการบ่มเพาะ
ณ ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธ์ปรับแต่งกายาขั้นที่3ที่หาได้ทั่วไปตามท้องถนน และยังอยู่ห่างไกลจากเขตแดนพลังของผู้ฝึกยุทธ์
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์ปรับแต่งกายานั้นเดิมต้องบริโภคอาหารเป็นจำนวนมากทุกวันเพื่อเสริมสร้างเลือดเนื้อและเปลี่ยนเป็นพลังลมปราณเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
จี้เทียนซิงเดินออกจากห้องลับและกลับไปที่ห้องของตนก็พบว่าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว มันส่องสว่างในตอนเช้าตรู่
ชายหนุ่มขอให้ฮวนเอ๋อนำอาหารจำนวนมากจากห้องอาหารเพื่อทำอาหารเช้าให้เขา
ฮวนเอ๋อทำอาหารที่ดูน่าอร่อยมาถึงเก้าชนิดทำให้บนโต๊ะของเขาเต็มไปด้วยอาหาร
จี้เทียนซิงชำเลืองที่โต๊ะอาหารและอดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้ม
“เนื้อเผ็ดร้อน, เนื้อแพะจิตวิญญาณ, เนื้อเสือดำ, และไก่วิญญาณโอสถล้วนแต่เป็นส่วนผสมสัตว์อสูรในการทำอาหารชั้นสูง”
“อาหารมื้อนี้คงมีมูลค่ามิใช่น้อย ท่านพ่อดีกับข้าอย่างมาก”
ฮวนเอ๋อพยักหน้าด้วยความวิตกกังวล นางกล่าว “ใช่ค่ะคุณชายใหญ่ เพื่อท่านแล้ว นายท่านไม่ได้ลดเงินเดือนของท่าน แต่กลับเพิ่มให้เป็นสองเท่าอีกด้วย”
“ผู้อาวุโสคนอื่นๆของตระกูลไม่พอใจอย่างมากกับการกระทำของคุณชาย เมื่อคืนก่อน เพื่อประโยชน์ของตระกูลกู่ พวกเขารวมหัวกันทะเลาะกับนายท่านยกใหญ่ในห้องโถง”
จี้เทียนซิงแสยะยิ้มและกล่าวในขณะที่กำลังกินอยู่ว่า “เหอเหอ ท่านลุงทั้งสองของข้าถูกท่านพ่อทุบตีเป็นประจำ แถมลูกๆของพวกเขาก็ยังถูกกดดันจากข้า”
“ตอนนี้ข้าโชคร้ายพลังถดถอย พวกเขาถึงได้ดูผ่อนคลาย”
ฮวนเอ๋อเลียริมฝีปากของนางและกล่าวต่อไปว่า “คุณชายใหญ่คะ เมื่อวานคนของตระกูลกู่มาที่ตระกูลเราและส่งเสียงเอะอะโวยวายข่มขู่ว่าจะให้ท่านต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่นายท่านก็แก้ไขสถานการณ์ไปได้ชั่วคราว”
“วันนี้ตระกูลกู่กลับมาอีกครั้ง และพาตระกูลชนชั้นสูงมาด้วยอีกสองตระกูลเพื่อช่วยเหลือพวกมันให้ร่วมมือกันกดดันนายท่าน วันนี้นายท่านได้ต่อรองกับพวกมันไปแล้ว”
“ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลเราไม่เพียงไม่ช่วยพูดให้นายท่าน แต่พวกเขายังทำท่าทีมีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่นลับหลัง ด้วยการเจรจาให้ส่งตัวคุณชายไปชดใช้ให้ตระกูลกู่ …”
จี้เทียนซิงยังคงกินอาหารโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าเขาคาดเดาได้ถึงปฏิกิริยาของลุงทั้งสามคนได้เป็นอย่างดี เขาไม่แปลกใจหรือมีความโกรธ
คอมเม้นต์