กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ – ตอนที่ 35 นางก็มา ?
ตอนที่ 35 นางก็มา ?
*จิ้งจอกขอเรียกทับศัพท์จีนไปเลยนะครับ 小冰狐 เสี่ยวปิงหู (จิ้งจอกน้ำแข็งตัวน้อย)
***************************
เมื่อได้ยินคำพูดพร่ำเพ้อพรรณนาของเสี่ยวปิงหู จี้เทียนซิงก็รู้สึกปวดหัวและไร้หนทาง
เขาเตะมันคราหนึ่งและถามด้วยใบหน้ามืดครึ้มว่า “เจ้าเป็นสัตว์อสูรก็ควรอยู่กับสัตว์อสูร ทำไมพวกมันถึงคิดจะล้างแค้นเจ้า ?”
เสี่ยวปิงหูแค่นเสียงอย่างเย็นชาและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เฮอะ ! จะให้ข้าทำตัวแบบเศรษฐกิจพอเพียงและอาศัยอยู่กับพวกสัตว์อสูรชั้นต่ำเช่นนั้นน่ะหรือ ? ตลก ! ข้าเป็นถึงจ้าวแห่งเทือกเขาเย่นะโว้ย !”
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังก็ได้ ก่อนหน้านี้ข้าถูกสะกดอยู่ภายในถ้ำน้ำแข็งทมิฬและออกไปไม่ได้ ยามหิวข้าก็จับสัตว์อสูรมากิน ยามข้ารู้สึกเบื่อๆข้าก็จับพวกมันมาเล่นด้วย ในเทือกเขาเย่อันกว้างใหญ่แห่งนี้ ไม่รู้ว่ามีสัตว์อสูรที่ทรงพลังกี่ตัวที่ถูกข้าจับมาทรมาน…….”
“ดังนั้น ถ้าสัตว์อสูรร้ายเหล่านั้นเห็นว่าข้ามีสภาพเช่นนี้แล้ว รับรองพวกมันคงยกโขยงกันมาแก้แค้นข้าเป็นแน่…. ”
เมื่อได้ยินคำพูดของมัน ใบหน้าของจี้เทียนซิงก็เปลี่ยนไปและเปลี่ยนไป…… ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
ใบหน้าของชายหนุ่มยิ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและความรังเกียจ เขาสบถออกมาว่า “บัดซบชัดๆ เช่นนั้นข้ายิ่งไม่อยากพาเจ้าไปด้วยเลย หากเจ้าอยู่กับข้าไม่รู้ว่าจะมีสัตว์อสูรมากเท่าใดมุ่งเป้าเข้ามา !”
เสี่ยวปิงหูส่ายหัวรัวยิกและกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ไม่ๆๆ ยังไม่ซวยขนาดนั้นหรอกน่า ที่จริงแล้วสัตว์อสูรพวกนั้นก็มิใช่จะพบตัวข้าได้ง่ายๆ ข้าเป็นจ้าวเหนือหัวแห่งขุนเขานี้ ตลอดทั้งแนวเทือกเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ไม่มีที่ไหนที่ข้าไม่รู้จัก แม้กระทั่งสมบัติล้ำค่าและโอสถสมุนไพรชั้นเลิศอยู่ตรงซอกมุมไหนข้าก็รู้ดี”
“เจ้าฉายเดี่ยวบนเทือกเขาเย่ เห็นได้ชัดว่ามาแสวงหาโชคมองหาขุมทรัพย์แห่งฟ้าดิน หากเจ้าได้รับคำแนะนำของข้า รับรองได้ว่าเจ้าจะพบสมุนไพรและดอกไม้วิญญาณนับไม่ถ้วน !”
จี้เทียนซิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเริ่มชั่งน้ำหนักในใจ
เขารู้ได้ชัดเจน ถึงแม้เสี่ยวปิงหูจะชอบพล่ามโอ้อวดเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีบางส่วนที่น่าเชื่อถือ เพราะอย่างไรมันก็เป็นถึงสัตว์อสูรชั้นสูง
เป็นเพียงว่าชายหนุ่มรู้สึกคลางแคลงใจต่อที่มาของมัน และยังไม่อาจไว้ใจมันได้เต็มร้อย ดังนั้นเขาต้องคิดอย่างรอบคอบ
“เสี่ยวปิงหู เจ้ารู้จักดอกไม้ดาราแดงหรือไม่ ?”
เสี่ยวปิงหูเห็นอีกฝ่ายเริ่มลังเลและรู้ว่าตนเองมีความหวังแล้ว มันจึงพยักหน้าหงึกๆและตอบอย่างรวดเร็วว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ เมื่อสัก … 60 ปีก่อนเห็นจะได้ ข้าเขมือบยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มาตามหาดอกไม้ชนิดนี้ไปหลายคนเลยทีเดียว ฮ่าๆ”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและกล่าวด้วยใบหน้าดำมืดว่า “ข้าไม่ได้ถามเรื่องเจ้ากินคนหรือไม่ อย่าพล่ามเยอะ บอกมาว่าดอกไม้ดาราแดงอยู่ที่ไหน !”
“เรื่องนี้ … เอิ่ม” เสี่ยวปิงหูหรี่ตาลงและแสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มันกล่าวต่อไปว่า
“ตอนนี้ข้าไม่อยากบอกเจ้า เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะสัญญาว่าจะพาข้าไปด้วยข้าถึงจะยอมนำทางเจ้าไปหาดอกไม้ดาราแดง”
จี้เทียนซิงหงุดหงิดเล็กน้อยและแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะทุบตีเจ้าจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ตัวนี้สักรอบหนึ่ง
เขาหยิบเอาเข็มทิศสื่อวิญญาณดาราออกมาจากแขนเสื้อและกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “เจ้าคิดว่าไม่มีเจ้านำทางแล้วข้าจะหาดอกไม้ไม่พบหรือไง ? โทษทีนะ ข้ามีเข็มทิศสื่อวิญญาณดารา มันช่วยข้านำทางได้ ไม่จำเป็นต้องง้อเจ้า !”
เสี่ยวปิงหูจ้องไปที่เข็มทิศในมือของจี้เทียนซิงอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ่าๆ ด้วยเข็มทิศพังๆอันนี้น่ะหรือที่จะพาเจ้าไปพบมัน ? เจ้ามันไร้เดียงสานัก !”
“เมื่อเจ้าใช้เข็มทิศนั่นนำทางไปหาดอกไม้ดาราแดงเจ้าคงมีความสุขไม่น้อยที่สุดท้ายพบว่ามันเป็นของปลอม ส่วนร่างกายที่แท้จริงของมันคงบินหนีไปไกลแล้ว !”
“บะ บินหนีไป ?” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและดูเหมือนจะไม่เชื่อคำพูดของเสี่ยวปิงหู
ดอกไม้ดาราแดงเป็นเพียงสมุนไพรมิใช่หรือ ? มันไม่ใช่นกที่มีสมอง มันจะบินหนีได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตามเสี่ยวปิงหูไม่ได้อธิบายความหมายของเรื่องนี้ และจี้เทียนซิงก็ไม่ได้ถามต่อ
เขาเก็บเข็มทิศสื่อวิญญาณดาราไปและถามต่อไปว่า “เจ้าพูดว่าติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็งทมิฬมาร่วม 100 ปีและไม่สามารถออกไปได้ เกิดอะไรขึ้น?”
“แล้ว เจ้าเป็นสัตว์อสูรอะไรกันแน่ ? ทำไมถึงติดอยู่ในถ้ำทั้งที่ทรงพลังปานนี้ ? เจ้าต้องตอบข้าด้วยความซื่อสัตย์ มิฉะนั้นเข้าจะไม่มีวันพาเจ้าไป”
เสี่ยวปิงหูมีท่าทีลังเล ดวงตาของมันแสดงออกว่ากำลังรำลึกความทรงจำ มันกล่าวว่า “บอกตามตรงนะ ที่จริง….. ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าเป็นสัตว์อสูรอะไร บางทีข้าอาจจะไม่ใช่สัตว์อสูรเลยก็ได้”
“เมื่อตอนที่ข้ายังแบเบาะ ข้าถูกพาตัวมาโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์บัดซบผู้หนึ่ง ไอ้บัดซบนั่นโคตรทรงพลัง ถ้ำน้ำแข็งทมิฬก็เป็นมันนั่นแหละที่สร้างขึ้น มันวางข่ายอาคมที่แข็งกร้าวและโยนข้าไว้ที่นั่น มันบอกให้ข้าบ่มเพาะในถ้ำแห่งนี้และอีก 100 ปีถึงจะมาปลดปล่อยข้า”
“ตลอดระยะเวลา 100 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าข้าจะบ่มเพาะมากแค่ไหนหรือมีระดับพลังสูงล้ำเพียงใด ข้าก็ไม่สามารถออกไปจากถ้ำนี้ได้เลย ข่ายอาคมที่ถูกวางไว้มันแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าข้าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจทำลายมันลงได้”
“ตอนนี้กำหนดเวลา 100 ปีใกล้เข้ามาแล้ว คาดว่าไอ้บัดซบนั่นน่าจะกลับมาหาข้าในอีก 2 ปีข้างหน้านี้แหละ”
“แต่ข้าเกลียดมัน ! ไอ้ลูกนอกสมรสตัวนั้น มันทำให้ข้าต้องเหี่ยวเฉาอยู่ในที่มืดมิดร่วม 100 ปี ถึงเวลานั้นข้าไม่มีวันติดตามรับใช้มันหรอก !”
จี้เทียนซิงมองเสี่ยวปิงหูและเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าจริงจัง นอกจากนี้ยังแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังอันเย็นชา
ชายหนุ่มคิดกับตัวเองว่า “จากที่ข้าอ่านตำรามา…. ราชาสัตว์อสูรในตำนานเป็นสัตว์ประหลาดอายุยืนที่บ่มเพาะมานับร้อยๆปี เสี่ยวปิงหูก็มีชีวิตมาเกือบร้อยปี ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดาๆเสียแล้ว”
“ถึงแม้ว่าตอนนี้จะติดตามข้า แต่หลังจากพลังของมันกลับคืนมา มันต้องฆ่าข้าเป็นแน่ ดังนั้น หลังจากได้ดอกไม้ดาราแดงแล้วข้าจะหาทางสลัดมันให้หลุด ข้าไม่มีทางยอมพกระเบิดเวลาติดตัวไปด้วยหรอก”
หลังจากตัดสินใจแล้ว จี้เทียนซิงก็ออกจากถ้ำพร้อมกับเสี่ยวปิงหู
ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะสูญเสียพลังทั้งหมดไป อีกทั้งยังตัวเล็กและอ่อนแอ แต่เมื่อข่ายอาคมที่วางรอบถ้ำได้สลายไปมันจึงเป็นอิสระอีกครั้ง สีหน้าของมันเบิกบานและเต็มไปด้วยความยินดี
จี้เทียนซิงกุมกระบี่มังกรโลหิตและสะพายย่ามเก็บสัมภาระที่เสี่ยวปิงหูซุกอยู่ในนั้น
ระหว่างเดินทางมันเพียงแค่โผลัหัวเล็กๆออกมาและมองไปมองมารอบๆเท่านั้น บางครั้งก็ชวนคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป จี้เทียนซิงก็เดินผ่านรอยแตกขนาดใหญ่ปีนขึ้นมาจากกองหินและในที่สุดก็กลับไปถึงที่กลางหุบเขา
เขาหันลงไปมองเชิงเขาด้านล่างและเห็นว่าภูเขาแยกออกจากกันและพังทลายลงราวกับว่ามันถูกตัดขาด
ในตอนแรกนั้นภูเขาทั้งลูกถูกปกคลุมไปด้วยป่าสีเขียวเข้ม แต่ในขณะนี้กลับเหี้ยนเตียนไปหมดจนสามารถมองเห็นชั้นหินของภูเขาได้อย่างชัดเจน
“ช่างเป็นพลังทำลายล้างที่พินาศปฐพีโดยแท้… อย่างกับไม่ใช่ฝีมือมนุษย์…”
จี้เทียนซิงรู้สึกสะทกสะท้อนและตกใจมาก เขารู้สึกว่าสุสานเทพกระบี่ในร่างกายของตนเองนั้นลึกลับแข็งแกร่งและมีอำนาจท้าทายสวรรค์อย่างน่าเหลือเชื่อ
ในเวลานี้เอง กระเรียนวิญญาณสีขาวดั่งหิมะกำลังโบกสะบัดปีกคู่ใหญ่ของมันเบาจากบนท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของเทือกเขา
จี้เทียนซิงเหม่อมองขึ้นไป ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าและกระซิบแผ่วเบาว่า “นางก็มาที่นี่ ? หรือว่านางก็ต้องการดอกไม้ดาราแดง ?”
แม้ว่าเขาจะจดจำกระเรียนวิญญาณตัวนี้ได้ แต่เขากลับมองไม่เห็นสาวงามชุดขาวที่เป็นเจ้าของ
แต่ทว่า เมื่อกระเรียนวิญญาณปรากฏ เขามั่นใจว่าหยุนเหยาต้องมาเทือกเขาเย่อย่างแน่นอน
เสี่ยวปิงหูมองตามไปยังทิศทางเดียวกับชายหนุ่ม มันเงยหน้าขึ้นมองกระเรียนวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณและกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “โอ้ แม่นางน้อยบนหลังกระเรียนตัวนั้นช่างงดงามล่มเมืองยิ่งนัก”
“หน้าอกใหญ่ ผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา ถ้าเจ้าสามารถหิ้วนางกลับบ้านไปเป็นเมียได้รับรองว่าบุรุษทั่วหล้าย่อมพากันอิจฉาเจ้าแน่ !”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีและใช้ฝักกระบี่เขกหัวของมันพร้อมทั้งกล่าวว่า “จิ้งจอกบัดซบ ไหนว่าถูกขังในถ้ำเป็นร้อยปี เจ้าไปร่ำเรียนการพูดจาสัปดนเช่นนี้มาจากที่ไหน ?”
“ขืนนางได้ยิน นางคงถลกหนังจับเจ้าไปย่างกินเป็นแน่ !”
“ว่าแต่…สายตาเจ้าดีขนาดนั้นเชียวหรือ ? เจ้าเห็นสตรีบนหลังกระเรียนวิญญาณด้วย ?”
เสี่ยวปิงหูเชิดศีรษะเล็กๆของมันขึ้นและกล่าวอย่างภาคภูมิว่า “แน่นอน”
“เดี๋ยวจะหาว่าคุย อย่าว่าแต่กลางวันเลย ต่อให้เป็นกลางคืนก็เถอะ ห่างอยู่ในรัศมี 10 ไมล์ ข้าเห็นแม้กระทั่งมด !”
“แต่เรื่องเล็กจ้อยพรรณนี้มิสมควรเอื้อนเอ่ยให้ขายหน้า หากข้าสามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้ เจ้าย่อมคาดไม่ถึงแน่ว่าข้าทรงพลังขนาดไหน ! รับรองว่าน่ากลัวสุดๆ !”
คอมเม้นต์