กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ – ตอนที่ 47 จางเทียน (กลบฝังสวรรค์)
ตอนที่ 47 จางเทียน (กลบฝังสวรรค์)
ถึงแม้ว่า ‘บ้าน’ ที่จี้เทียนซิงมอบให้เฉียนเยวี่ยจะหรูหราล้ำค่าเกินไป แต่นี่นับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย เพราะมันทำให้เขาสามารถจับตามองมันได้ตลอดเวลา
ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นจิ้งจอกแสนเจ้าเล่ห์ที่ต้องคอยติดตามมันทุกฝีก้าว มิฉะนั้นมันคงหาเรื่องให้เขาไม่จบไม่สิ้น !
หลังจากจัดแจงที่อยู่อาศัยให้เฉียนเยวี่ยแล้ว จี้เทียนซิงก็เก็บถุงมิติไว้ที่เข็มขัดแล้วเข้าไปในห้องลับ
เขานั่งอยู่ในข่ายอาคมและขบคิดอย่างใจเย็นเกี่ยวกับการบ่มเพาะในขั้นตอนต่อไป
“ตัวอ่อนกระบี่ควบแน่นเรียบร้อยแล้ว และความแข็งแกร่งของข้าได้มาถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 2”
“ต่อไปก็ถึงเวลาฝึกฝนและสะสมพลังต้นกำเนิดตามวิธีที่ศิลาจารึกแท่งที่ 2 เขียนไว้”
วิธีการที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาความแข็งแกร่งก็คือการฝึกฝนบ่มเพาะอย่างหนักและเปลี่ยนพลังงานของโลกให้กลายเป็นพลังต้นกำเนิดสะสมในร่างกาย
ยิ่งพลังต้นกำเนิดที่ตันเถียนแข็งแกร่งและทรงพลังมากเท่าไหร่ ผู้ฝึกก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะไม่มีตันเถียนไว้กักเก็บพลังเหมือนจอมยุทธ์คนอื่นๆ แต่เขามีวิธีการบ่มเพาะอีกสายหนึ่งที่ต่างออกไป
ตัวอ่อนกระบี่ก็คือตันเถียนของเขานั่นเอง ซึ่งเขาก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานของฟ้าดินในการขยายและเพิ่มพลังของตัวอ่อนกระบี่ได้เหมือนตันเถียน
คำจารึกในศิลาแท่งที่ 2 ของสุสานเทพกระบี่นั้นก็คือการบ่มเพาะวิถีดวงใจกระบี่ขั้นที่ 2 นั่นเอง
เขาจำเป็นต้องฝึกฝนวิถีทางเฉพาะเจาะจงและสะสมพลังงานที่จำเป็นอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาตัวอ่อน
นอกจากนี้เขายังจดจำจารึกที่เขียนไว้บนศิลาแท่งที่ได้ 3 อีกด้วย มันเป็นทักษะบ่มเพาะของเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง
มันคือวิถีดวงใจกระบี่ขั้นที่ 3 มันกล่าวถึงเส้นเลือดทั้งเก้าและวิธีการทำให้เส้นเลือดดำของตัวอ่อนกระบี่เย็นลง
*จากที่เข้าใจ วิธีบ่มเพาะของพระเอกจะใช้ตัวอ่อนกระบี่แทนตันเถียนซึ่งมันจะเทียบได้กับทารกในครรภ์มนุษย์นับตั้งแต่ปฏิสนธิไปจนถึงโตเต็มวัย ยิ่งโตก็ยิ่งเก่ง ประมาณนั้น*
นี่ค่อนข้างแตกต่างจากการฝึกฝนของจอมยุทธ์ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงโดยทั่วไป
จี้เทียนซิงครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจที่จะเข้าไปในสุสานเทพกระบี่อีกครั้งเพื่อดูว่าข้อความบนศิลานั้นมีการเปลี่ยนแปลงใดๆหรือไม่
เขาปิดตาลงและรวมสติดำดิ่งไปที่ตันเถียน
“วูบ !”
จิตสำนึกของเขาถูกกลืนหายไปทันทีโดยหลุมดำและเข้าไปในสุสานเทพกระบี่อีกครั้ง
มันยังคงเป็นพื้นที่มืดและเย็นเยือก รอบๆเต็มไปด้วยหมอก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
จิตสำนึกของจี้เทียนซิงควบแน่นเป็นกายมนุษย์ที่โปร่งแสง เขามุ่งไปข้างหน้าและมุ่งตรงไปที่อนุสาวรีย์คล้ายกระบี่ยักษ์
ในเวลาไม่นานเขาก็มาถึงด้านบนของอนุสาวรีย์ที่มืดมิด
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าอนุสาวรีย์กระบี่ที่โอ่อ่านี้ดูเหมือนจะแข็งกร้าวมากขึ้น
เห็นได้ชัดว่าแรงกดทับและความแข็งแกร่งของมันเพิ่มขึ้นหลายเท่า เพียงแค่ยืนมองก็รู้สึกเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยลมหายใจของกระบี่อันดุดันราวกับเข็มทิ่มแทง
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอนุสาวรีย์กระบี่โดยไม่รู้ตัวและขมวดคิ้วทันที
ตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัวยังคงเขียนไว้ว่า [สุสานเทพกระบี่] ด้วยสีแดงเลือด
อย่างไรก็ตาม เขาจดจำได้อย่างชัดเจนว่าสองครั้งก่อนหน้าที่เข้ามาในสุสานแห่งนี้ ตัวอักษรทั้ง 4 มันเป็นสีเทาและสีขาว !
ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันเต็มไปด้วยรังสีกระบี่อันเย็นยะเยือกและกลิ่นอายแห่งความตายล้อมรอบ
แม้ว่ามันจะเป็นออร่าที่มองไม่เห็นและค่อนข้างอ่อนแอ แต่มันก็มีอยู่จริง
จี้เทียนซิงรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? เป็นแบบนี้ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าอนุสาวรีย์กระบี่จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย หรือว่ามันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตอนที่มันดูดกลืนพลังทั้งหมดของเฉียนเยวี่ยไปกันนะ ?”
ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าตอนอยู่ในถ้ำน้ำแข็งทมิฬในเทือกเขาเย่ ตอนที่เฉียนเยวี่ยกำลังจะกินเขา จู่ๆสุสานเทพกระบี่ก็ปล่อยหลุมดำออกมาช่วยชีวิตและดูดกลืนพลังทั้งหมดของมันไปแทน
ในเวลานั้นเขาสับสนอยู่ไม่น้อยว่าความสามารถที่เฉียนเยวี่ยบ่มเพาะมานับร้อยปีหายไปไหน
ตอนนี้เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอนุสาวรีย์กระบี่และสัมผัสได้ถึงรังสีกระบี่เบาบางที่มองไม่เห็นรอบๆก็ทำให้เขาพอคาดเดาได้อย่างคลุมเครือ
“ดังนั้นทักษะและพลังบ่มเพาะชั่วชีวิตของเฉียนเยวี่ยก็ถูกกระบี่เล่มนี้กลืนกินเข้าไป ?”
จี้เทียนซิงพึมพำขึ้น แต่นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาที่ยังไม่แน่ว่าจะถูกต้องทั้งหมด
“ช่างมัน สักวันหนึ่งก็จะรู้เอง ข้าลองดูวิธีบ่มเพาะในจารึกแท่งอื่นๆก่อนดีกว่า…”
เขาหันกลับมาและเดินไปที่ศิลาจารึกทั้งเก้าที่อยู่ทางด้านซ้ายของอนุสาวรีย์กระบี่
ศิลาจารึกอันดำมืดทั้งเก้าที่อยู่ทางซ้ายนั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มันยังคงตั้งตะหง่านอยู่ในพื้นดินรกร้างราวกับอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ
อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงพบว่าศิลาจารึกที่ 2 นั้นกลับว่างเปล่าและคำจารึกก็หายไปด้วยเช่นกัน
“เทคนิคการบ่มเพาะของวิถีดวงใจกระบี่ขั้นที่ 2 หายไปแล้ว ดังนั้นความเข้าใจของข้าควรจะถูกต้อง มันจะหายไปก็ต่อเมื่อข้าฝึกสำเร็จขั้นตอนนั้นๆไปแล้ว”
“ต่อไปนี้ข้าจะเดินไปตามเส้นทางสายนี้อย่างขยันขันแข็ง และสะสมพลังต้นกำเนิดเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้มากที่สุด”
เขาเบนสายตาจ้องมองไปที่ศิลาจารึกอันที่ 3
สำหรับศิลาจารึกอันที่ 3 นี้ยังคงมีถ้อยคำแกะสลักเอาไว้อยู่ มันเป็นเคล็ดบ่มเพาะวิถีดวงใจกระบี่ขั้นที่ 3
จี้เทียนซิงศึกษามันอยู่พักหนึ่งและคิดว่าหากเขาเข้าใจไม่ผิด ขั้นตอนนี้ต้องใช้พลังต้นกำเนิดจากเส้นเลือดหลักทั้งเก้าเพื่อบรรเทาไปยังเส้นเลือดกระบี่
หลังจากบ่มเพาะขั้นตอนนี้สำเร็จ เขาน่าจะตัดผ่านไปยังเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงระดับปลายๆไม่ก็เขตแดนเชื่อมต่อพลังปราณ
แน่นอนว่าควรจะเป็นหลังจากนี้อีกนานพอดู
เขาทบทวนความจำเกี่ยวกับศิลาจารึกอันแรกที่เกริ่นนำเกี่ยวกับความสามารถที่จะได้รับจากการฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่ และกระซิบกับตัวเองว่า
“ถึงแม้นข้าจะฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่ถึงขั้นตอนที่ 2 แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะสามารถเข้าถึงเขตแดนในระดับไร้กระบี่เสมือนมีกระบี่….”
ทันใดนั้นเองเองก็มีน้ำเสียงหนักแน่นแต่เรียบง่ายดังขึ้น
“มนุษย์ผู้ต้อยต่ำ….. กระทั่งคิดฝึกปรือวิถีใจกระบี่เชียวหรือ ?”
มันเป็นเสียงหนาของบุรุษเพศ และน้ำเสียงนี้ยังแฝงไปด้วยความประหลาดใจ
จี้เทียนซิงสะดุ้งโหยงและหันไปมากวาดสายตาไปรอบๆอย่างรวดเร็ว
“นั่นใคร ? เสียงผู้ใดกำลังพูดอยู่ ? สำแดงตัวตนออกมาซะ !”
น้ำเสียงแก่ๆจากระยะไกลดังขึ้นอีกครั้ง มันเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและดูแคลนทุกสรรพสิ่ง
“เจ้าหนูเผ่าพันธุ์มนุษย์ ด้วยพรสวรรค์แต่กำเนิดของเจ้า คิดจะฝึกฝนวิถีใจกระบี่เก้าชั้นฟ้า ชั่วชีวิตนี้คงไม่มีหวัง อยากจะบรรลุขีดขั้นใจกระบี่ยิ่งฝันเฟื่องเข้าไปใหญ่ !”
จี้เทียนซิงไม่โกรธต่อคำดูถูกเหยียดหยามจากเจ้าของเสียง ดวงตาของเขาจับจ้องมองไปที่ด้านบนของอนุสาวรีย์กระบี่สีดำ
คราวนี้เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่าเสียงนี้ดังมาจากอนุสาวรีย์กระบี่สีดำนั่นเอง
“เป็นเจ้านั่นเองที่กำลังพูด ! เจ้าเป็นใครกัน ?”
เสียงจากของอนุสาวรีย์กระบี่ดำเงียบไป ดูเหมือนมันกำลังครุ่นถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นเสียงของมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าคือ…จิตกระบี่ ดวงจิตแห่งกระบี่เทวะ ใช่แล้ว ข้าก็คือจิตกระบี่เทวะจางเทียน ! (มันแปลว่ากลบฝังสวรรค์ แต่ผมขอใช้ปิดสวรรค์นะครับ รู้สึกลื่นหูกว่า)”
จี้เทียนซิงดวงตาเบิกกว้าง ทันใดนั้นเองในหัวใจเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและไม่อยากเชื่อ
“จิตกระบี่ ?! จางเทียน ?”
ตระกูลจี้เป็นตระกูลขุนนางผู้หลอมสร้างอาวุธมาหลายสิบปี แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินจากบันทึกใดๆเกี่ยวกับจิตวิญญาณกระบี่มาก่อนเลย นอกจากนี้มันยังสื่อสารได้อีกด้วย !
นี่เป็นเทพนิยายและตำนานชัดๆ !
ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อของจิตกระบี่เล่มนี้ยังมีนามว่า จางเทียน อีกด้วย
…. มิใช่ว่าเป็นชื่อที่แข็งกร้าวท้าทายสวรรค์เกินไปหรือไม่ ?
“สองครั้งก่อนหน้านี้ที่ข้าเข้ามา จิตกระบี่นี้ไม่เคยมีการตอบสนอง แต่ตอนนี้มันสื่อสารได้แล้ว เป็นไปได้สูงว่ามันได้รับพลังงานจากเฉียนเยวี่ยและถ้ำน้ำแข็งทมิฬในการฟื้นฟูจิตวิญญาณ…”
จี้เทียนซิงขบคิดในใจและถามว่า “จิตกระบี่จางเทียน ก่อนหน้าเจ้าหลับใหลมาโดยตลอดเลยใช่หรือไม่ ? แล้ว…. เจ้าเพิ่งดูดกลืนพลังความสามารถของเฉียนเยวี่ยเข้าไปเลยตื่นขึ้น?”
จิตกระบี่จางเทียนประหลาดใจเล็กน้อยพลางกว่า “โฮ่ ? มนุษย์ต้อยต่ำอย่างเจ้ากลับหลักแหลมเพียงนี้”
“เจ้าหนูมนุษย์ ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะคาดเดาเช่นนี้ เหอเหอ เป็นหนุ่มน้อยที่น่าสนใจไม่เลว”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายช่างอวดดีและหยิ่งผยองเป็นอย่างยิ่ง มันฟังดูราวกับว่าไม่แยแสและดูหมิ่นทุกสรรพชีวิตทั่วหล้า
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เพราะเขารู้ว่าจิตวิญญาณแห่งกระบี่ที่มีนามว่าจางเทียนผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา !
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอนุสาวรีย์กระบี่สีดำและถามอีกครั้งว่า “จิตกระบี่จางเทียน ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเหมือนกับว่ามนุษย์ไม่สามารถฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่ได้ เจ้าช่วยบอกข้าเกี่ยวกับที่มาและความลึกลับของวิถีใจกระบี่ได้หรือไม่ ?”
จิตกระบี่จางเทียนเปล่งเสียงที่ดูไม่แยแสขึ้น “พลังของเจ้าจิ้งจอกน้อย 100 ปีตัวนั้นช่างอ่อนแอบัดซบเสียจริง มันทำให้ข้าตื่นขึ้นได้แค่ครู่เดียวเท่านั้น ข้าไม่มีเวลามาสาธยายให้เจ้าฟังหรอกว่าวิถีใจกระบี่คืออะไร”
“จงทำความเข้าใจด้วยหัวใจของเจ้าเอง ขีดขั้นที่สามารถไปได้ถึงนั้นอยู่ที่ ‘การสร้าง’ ของเจ้าเอง ข้าไปนอนต่อล่ะ”
หลังจากนั้นน้ำเสียงฟังดูเก่าแก่ก็เลือนหายไป
จี้เทียนซิงตะโกนเรียกอีกสองสามครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ
เขาทำได้เพียงยอมแพ้และออกจากสุสานเทพกระบี่เท่านั้น
“วูบ !”
พื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกและสุสานเทพกระบี่หายวับไปในทันทีและสติของเขาก็กลับคืนสู่ร่าง
หลังจากสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พร้อมที่จะฝึกฝนวิถีใจกระบี่ชั้นที่ 2 ต่อไป
หลังจากเปิดใช้งานข่ายอาคม พลังงานฟ้าดินจากทุกทิศทางก็ถูกดึงดูดโดยข่ายอาคมและมารวมกันในห้องลับ
ระหว่างนั้นจี้เทียนซิงก็หยิบกล่องใหญ่สี่กล่องที่วางตรงมุมของห้องลับออกมาและนึกถึงองค์หญิงน้อยเค่อเค่อ
ของเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะและมีมูลค่าร่วม 5 ล้าน ไม่ว่าจะเป็นตำรายุทธ์ เคล็ดวิชากระบี่ตลอดจนโอสถและวัสดุอุปกรณ์อื่นๆอีกเป็นจำนวน
เขาหยิบโอสถแก่นกำเนิดออกมา 4 เม็ดจากในกล่องใบหนึ่ง
โอสถเม็ดนี้เป็นโอสถคุณภาพสูงและเหมาะที่สุดสำหรับจอมยุทธ์เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง
หลังจากจี้เทียนซิงกินโอสถทั้ง 4 เม็ดเข้าไป เขาก็เริ่มนั่งลงและบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ขั้นที่ 2
พลังของโอสถแก่นกำเนิดถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็วและวิ่งไหลผ่านไปทั่วร่าง
เขาชักนำพลังเหล่านั้นให้วิ่งผ่านเส้นชีพจรลมปราณทั่วร่างกายและสุดท้ายให้พวกมันไหลไปรวมกันสะสมไว้ที่ตัวอ่อนกระบี่ ณ จุดตันเถียน
ด้วยการบ่มเพาะอย่างมีประสิทธิภาพ มันทำให้ตัวอ่อนกระบี่เริ่มเติบโตขึ้น
คอมเม้นต์