กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ – ตอนที่ 73 เปิดม่านการประลอง
ตอนที่ 73 เปิดม่านการประลอง
หลังจากนั้นไม่นานองค์ชายน้อยจี้หลิงก็มาถึงเวทีสูง
จอมยุทธ์กว่า 40 คนที่ผ่านรอบทดสอบต่างก็มารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ และชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดสีฟ้าก็เดินขี้นมาตามหลัง
ทั้งคู่มีลักษณะที่ไม่สามัญธรรมดา ดูจากชุดที่สวมใส่ซึ่งเป็นสีฟ้านั้นหมายถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนิกายหนุนสวรรค์พวกเขาเป็นทั้งเจ้าภาพในการคัดเลือกครั้งนี้อีกด้วย
จากนั้นชายหนุ่มร่างสูงและดูแข็งแรงก็กล่าวขึ้น
“ ข้าคือฮั่นเฉียวเซิง หนึ่งในผู้ดูแลของนิกายหนุนสวรรค์และเป็นผู้ดูแลใหญ่ของคัดเลือกนี้”
“จากนี้เป็นการแนะนํารายละเอียดและกติกาทั้งหมด ครั้งนี้มีจอมยุทธ์ทั้งหมด 40 คนจากทั่วทั้งรัฐที่จะต้องมาประลองกัน ผู้ชนะ 10 คนสุดท้ายเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติผ่านเข้าประตูนิกายของเรา ”
หลังจากพูดจบแล้วเขาก็ชี้ไปที่ชายร่างผอมที่อยู่ข้างๆพลางกล่าวว่า “ท่านนี้คือหยางไค่หลินอีกหนึ่งผู้ดูแลประตูนิกายท่านจะอธิบายกฎเกณฑ์ทั้งหมดให้พวกเจ้าได้รู้”
หยางไค่หลินมีใบหน้าผอมบางและผิวคล้ํา แต่ดวงตาของเขาเปล่งประกายแวววาว
เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในครั้งนี้มีจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ 40 คนที่ผ่านเข้ารอบ พวกเจ้าทุกคนจะต้องจับสลากเพื่อมาประลองยุทธ์กัน ผู้ชนะจะได้เลื่อนอันดับ ผู้แพ้ถูกคัดออก ! โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นและมีเวลาจํากัด หากครึ่งชั่วโมงผ่านไปยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ คัดออกทั้งคู่ !”
“ในการประลองไม่มีข้อจํากัดใดๆทั้งสิ้น จะสังหารหรือทําให้พิการนับว่าอนุญาตทั้งหมด แต่ต้องไม่ใช่การช่วยเหลือจากคนนอก …”
เสียงของหยางไค่หลินนั้นไม่ดังมาก แต่ก็ชัดเจนและดังก้องไปทั่วทุกมุกของจัตุรัส
หลังจากอธิบายกฎ ผู้ดูแลหยางก็จรดนิ้วชี้ไปที่เจดีย์สูงบนขอบจัตุรัสและกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “วันนี้มีศิษย์อัจฉริยะทั้งสามของนิกายมาร่วมเป็นผู้ตัดสินอย่างยุติธรรมด้วย”
เมื่อเสียงของผู้ดูแลหยางจบลง สายตาของคนนับหมื่นก็หันไปทางเจดีย์สูงสิบชั้น พวกเขาได้เห็นว่ามีคนสามคนยืนอยู่บนยอดเจดีย์
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นดรุณีในอาภรณ์สีขาว ใบหน้างดงามราวกับนางฟ้า นางคือหยุนเหยา ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ถัดจากหยุนเหยาก็คือไปหรู่เชินและห่าวเพิ่ง
คนทั้งสามยืนตะหง่านอย่างองอาจอยู่ที่ด้านบนสุดของเจดีย์ด้วยชายเสื้อที่โบกสะบัดท่ามกลางสายลม บรรยากาศรอบตัวพวกเขาดูสูงส่งราวกับเทพเซียน
ในช่วงเวลานั้นผู้คนนับหมื่นคนในจัตุรัสและจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ต่างก็ตื่นเต้นยินดีที่ได้เห็นศิษย์ทั้งสามของนิกาย พวกเขาแสดงสีหน้าชื่นชมและเคารพอย่างสุดซึ่ง
จากนั้นไม่นานฮั่นเฉียวเซิงก็หยิบหยกเปล่งแสงสีฟ้าออกมาจากแขนเสื้อ ป้ายหยกแต่ละอันสลักชื่อของจอมยุทธ์ทั้ง 40 คนเอาไว้ เขาแบ่งมันออกเป็น 20 คู่
เขาเอื้อมมือไปหยิบหยกคู่หนึ่งออกมาแล้วตะโกนว่า “การประลองคู่แรกเป่ยอันอวพบกับจี้เค่อ !”
เมื่อได้ยินประกาศ องค์หญิงน้อยเค่อเค่อก็กระซิบกระซาบกับจี้เทียนซิงข้างๆ “นี่ข้าต้องประลองเป็นคู่แรกหรือนี่ ?”
จี้เทียนซิงตบไหล่นางและเผยรอยยิ้มให้กําลังใจพลางกล่าวว่า “เค่อเค่อ ไม่ต้องกังวล ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องชนะแน่นอน
“อื้ม ! ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด” องค์หญิงน้อยกําหมัดชูขึ้น
ในเวลานี้ฮันเฉียวเซิงก็หยิบหยกขึ้นมาอีกครั้งและประกาศว่า “คู่ที่สอง เว่ยหลิงเพิ่งพบกับซุนอเซียน”
เขาหยิบหยกต่อไปเรื่อยๆและประกาศต่อเนื่อง
“คู่ที่ 3 ฟ่านเจียนเป็นกับเหอซานหมิง !”
“คู่ที่ 4 เจียงไป๋อ กับซุนอูหมิง !”
“คู่ที่ 5…”
เมื่อฮั่นเฉียวเชิงเสร็จสิ้นการจับคู่ทั้ง 20 คู่ เขาก็ประกาศเริ่มการประลองอย่างเป็นทางการ
ผู้ดูแลชุดฟ้าทั้งสองคนล่าถอยลงไปจากเวทีสูงและยืนที่ขอบเวทีเพื่อดูการต่อสู้
จากนั้นไม่นาน รุ่นเยาว์ใบหน้าหล่อเหลาก็เดินขึ้นมาบนเวที่พร้อมกับกระบี่เล่มหนึ่ง
เขาคือเป่ยอันอวี่ อัจฉริยะรุ่นเยาว์ในหยานโจวอายุ 17 ปีและมีพลังในเขตแดนต้นกําเนิดแท้จริงขั้นที่ 4
เขายืนกอดอกอย่างสงบอยู่บนสังเวียนแต่ดวงตาของเขาตกไปที่ร่างอันอ่อนช้อยขององค์หญิงน้อยจี้เค่อ
องค์หญิงน้อยโบกมือให้กับจี้เทียนชิงและกุมกระบี่เดินขึ้นไปบนลานประลอง
ถึงแม้ว่านางจะมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่ความสามารถในเชิงยุทธ์โดยธรรมชาติก็มิใช่ชั่ว นางมีพลังในเขตแดนต้นกําเนิดแท้จริงขั้นที่สี่เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นในระหว่างที่นางสนทนากับจี้เทียนชิง นางกล่าวว่าตัวเองได้มาถึงจุดสูงสุดของขั้นที่สี่แล้วและสามารถตัดผ่านไปยังขั้นที่ห้าเมื่อใดก็ได้
นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกของการคัดเลือกครั้งสําคัญ ทั้งเป้ยอันอบี้และจี้เค่อต่างก็ระวังระวังเป็นอย่างมาก
ทั้งคู่ยืนประจันหน้ากันนานถึงสิบนาทีโดยไม่มีผู้ใดคิดลงมือก่อน ทําให้ผู้ชมนับไม่ถ้วนใต้เวทีอดไม่ได้ที่จะร่ําร้องกระตุ้นเตือนให้ทั้งสองเริ่มสู้กันเสียที
จากนั้นเปุ๋ยอันอวก็คารวะองค์หญิงน้อยและกล่าวด้วยเสียงต่ําว่า “องค์หญิง ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว !”
ปัง!
เมื่อเสียงลดลงเขาก็กระแทกกระบี่ออกไปเบื้องหน้าด้วยเสียงดัง มันมาถึงตรงหน้าจี้เค่อด้วยความรวดเร็วดั่งสายฟ้า
จี้เค่อระวังไว้อยู่ก่อนแล้ว นางชักกระบี่ออกมาอย่างไร้ความลังเลและกวัดแกว่งเป็นลําแสงกระบี่สะดุดตาออกมา
“เคร้ง เคร้ง เคร้ง !”
ร่างของทั้งสองปะทะกันและพุ่งผ่านกันไปทันที
ความแข็งแกร่งของจี้เค่อนั้นเหนือกว่าจนทําให้เสื้อคลุมของเปยอันอวี่ถูกตัดขาดไปบางส่วน
ผู้ชมระเบิดเสียงฮือฮาออกมาทันทีและส่ง เสียงเชียร์อันดังสนั่น
สีหน้าของเป๋ยอันอวี่หนักอึ้งและดวงตาแสดงสีสันแปลกๆออกมา
เขาไม่กล้าออมมือด้วยความกริ่นเกรงอีกแล้วเมื่อได้เห็นพลังฝีมือของจี้เค่อ เขาปะทุพลังทั้งหมดออกมาทันที หมายจะเอาชนะจี้เค่อให้จงได้
“ปัง ปัง ปัง !”
ทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง เงาร่างสองสายเปล่งประกายบนเวทีด้วยแสงสะท้อนจากอาทิตย์ที่ทําให้เกิดลําแสงกระบี่ที่สะดุดตาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งกระบี่ทั้งสองก็พัวพันกันอย่างท่วมท้นและเกิดลมพัดอันรุนแรง
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าและเป็นการยากที่จะเอาชนะกันได้ในเวลาอันสั้นซึ่งกระตุ้นเลือดลมให้ผู้ชมนับไม่ถ้วนพุ่งพล่านและโห่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
อย่างไรก็ตามมีผู้ที่ไม่ได้สนใจการประลองนี้อยู่หลายคน หนึ่งในนั้นก็คือองค์ชายน้อยจี้หลิงสายตาของเขาจับจ้องไปที่จี้เทียนซิงและดวงตาเผยรอยยิ้มอย่างเย็นเยือก
“เหอะ ข้าจะให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอีกต่อไปอีกหน่อย หลังจากนี้ไม่นานราชาผู้นี้จะล้มเจ้าต่อหน้าทุกคนและส่งเจ้าไปสู่สุขคติด้วยกระบี่ในมือ !”
“ยามที่เจ้าต้องพ่ายแพ้ด้วยพลังยุทธ์ของตัวเอง ข้าอยากเห็นสีหน้าเจ้าตอนนั้นนักว่าเจ้าจะทําหน้าอย่างไร”
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
จี้เค่อและเบี้ยอันอต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนผ่านไปมากกว่า 50 กระบวนท่าและในที่สุดก็มีผู้ชนะ
จี้เค่อได้รับแผลกระบี่ 3 แผลจนโลหิตสีแดงไหลออกมาจาก บาดแผลและชโลมกระโปรงขนห่านสีเหลืองของนางจนเปื้อน
โชคดีที่นางไม่ได้ถูกทําร้ายจุดสําคัญ มิฉะนั้นอาจจะส่งผลต่อการประลองรอบต่อไป
แต่ทว่า อาการบาดเจ็บของเป่ยอันอวนั้นสาหัสกว่ามาก เขาถูกคมกระบี่ของจี้เค่อมากกว่า 20 แผลจนทั่วร่างถูกย้อมไป ด้วยสีแดง
ภายใต้อาการบาดเจ็บสาหัส เขาไม่อาจทนได้อีกต่อไปเขาถูกโจมตีจากจี้เค่อจนกระบี่หลุดมือและทําได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเปยอันอวี่ประกาศยอมแพ้กล่าวเวที ฮั่นเฉียวเซิงก็ประกาศผลออกมาเสียงดังว่า “การประลองคู่แรก เป้ยอันอบี้ยอมแพ้ จี้เค่อเข้ารอบ !”
ฝูงชนในจัตุรัสส่งเสียงเชียร์ออกมาดังสนั่น เปยอันอวรู้สึกอับอายที่พ่ายแพ้ให้กับสตรีอายุน้อยกว่า เขากําหมัดและขบกรามแน่นเดินลงจากเวที
จี้เค่อยืนอยู่บนเวทีอย่างภาคภูมิใจ นางเผยรอยยิ้มและเพลิดเพลินไปกับเสียงเชียร์และคําชื่นชมจากทุกคนรอบข้าง
หลังจากนั้นไม่นานจี้เค่อก็ลงจากเวทีและเดินกลับไปหาจี้เทียนซิง
“ยินดีด้วยเค่อเค่อ มานี่ข้าจะช่วยทําแผลให้”
จี้เทียนซิงกล่าวแสดงความยินดีกับองค์หญิงน้อยและช่วยนางพันแผลพร้อมทั้งให้กินโอสถฟื้นฟูพลังต้นกําเนิด
คอมเม้นต์