มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 13 สือซุ่ยมาเป็นอันดับแรก
“คนเหล่านั้นพวกข้าเป็นคนสังหารเอง”
เจ้าล่าเยวี่ยปลดหมวกลี่่เม่าลง พลางกล่าวกับเยาซงซาน
จิ๋งจิ่วเองก็ปลดหมวกลง
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่มิได้เห็นมาเป็นเวลานาน แต่ยังคงงดงามไร้ที่ติอยู่ ในที่สุดหลินอิงเหลียงก็มั่นใจแล้วว่าอีกฝ่าย…คืออาจารย์อาของตนเองจริงๆ
ในฐานะที่เจ้าล่าเยวี่ยเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ ท่าทีที่เยาซงซานมีต่อนางย่อมต้องเคารพระมัดระวัง บนใบหน้าอดมีรอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “อาจารย์อาออกมาท่องเที่ยว พบเจอความอยุติธรรมโดยบังเอิญ ลงมือสังหารย่อมเป็นเรื่องสมควร เพียงแต่…สังหารเยอะไปหน่อยนะขอรับ”
“คนที่สมควรตายมีมากขนาดนี้ ข้าก็ได้แต่ต้องสังหารเยอะหน่อย”
เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองจิ๋งจิ่ว เมื่อครั้งที่อยู่เมืองซางโจว เขาเคยกล่าวไว้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะกำจัดความชั่วให้หมดไป คนชั่วฆ่ายังไงก็ไม่มีทางหมดสิ้น
เยาซงซานครุ่นคิด ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “คำพูดของอาจารย์อามีเหตุผล ฆ่าได้ดีขอรับ”
มิใช่การประจบสอพลอ แล้วก็มิใช่การเยาะเย้ยเสียดสี เขาคิดเช่นนี้จริงๆ
เจ้าล่าเยวี่ยพลันรู้สึกว่ายอดเขาเหลี่ยงว่างนั้นมิเลว อย่างน้อยก็ในด้านนี้
“เจ้าชื่ออะไร?”
“เยาซงซาน มาจากยอดเขาซั่งเต๋อ ศิษย์อันดับที่สิบเอ็ดของยอดเขาเหลี่ยงว่างขอรับ”
“ชิงซานเป็นอย่างไรบ้าง?”
ออกมาท่องโลกสองปี มิได้ติดต่อกับทางสำนัก นางกับจิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าสถานการณ์ในชิงซานตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
เยาซงซานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชิงซานในช่วงสองปีนี้ออกมาพอสังเขป แต่ความจริงแล้วก็มิได้มีอะไรให้เล่ามากมายนัก
เหล่ายอดฝีมือรุ่นที่สองส่วนใหญ่เก็บตัวบำเพ็ญเพียร เหล่าลูกศิษย์เองก็ขยันฝึกกระบี่ของตน มิได้ต่างอะไรกับอดีตเมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว ช่วงเวลาสองปีนั้นสั้นเกินไป ยากจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นได้
“ช่วงนี้หลิวสือซุ่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจ้าล่าเยวี่ยทราบว่านี่เป็นเรื่องที่จิ๋งจิ่วใคร่รู้ แม้นในช่วงสองปีนี้เขาจะไม่เคยเอ่ยถึงหลิวสือซุ่ยเลยแม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
เยาซงซานแลดูลังเล หลินอิงเหลียงเองก็คล้ายอยู่ไม่สุข
เจ้าล่าเยวี่ยมั่นใจ หลิวสือซุ่ยจะต้องเกิดเรื่องอย่างแน่นอน จึงกล่าวว่า “พูด”
……
……
จากคำบอกเล่าของเยาซงซาน เจ้าล่าเยวี่ยถึงได้ทราบว่าในช่วงเวลาสองปีมานี้ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับหลิวสือซุ่ย
เมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาถูกหามจากแม่น้ำจั๋วกลับมายังชิงซาน เขาก็สลบไสลมิได้สติ มีไข้ตัวร้อนผ่าว หลังตื่นขึ้นมา ก็ถูกขังไว้ในคุกกระบี่ของยอดเขาซั่งเต๋อ
ยอดเขาซั่งเต๋อสงสัยว่าเขากลืนกินตานปีศาจของกุ่ยมู่หลิงลงไป
หลังผ่านการไต่สวนอย่างเด็ดขาด หลิวสือซุ่ยก็ถูกปล่อยตัวออกมาเนื่องเพราะไม่มีหลักฐาน
แต่เขาก็มิสามารถกลับไปบำเพ็ญเพียรตามปกติได้
เพราะทุกคนในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานต่างเชื่อจริงๆ ว่าเขาแอบกินตานปีศาจเข้าไป
รวมถึงผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งผู้เป็นอาจารย์ของเขาด้วย
ไป๋หรูจิ้งผิดหวังในตัวเขาอย่างถึงที่สุด มาตรว่ามิได้ขับเขาลงจากยอดเขา แต่หลังจากนั้นก็หาได้ชี้แนะเขาเรื่องการบำเพ็ญเพียรอีก
อาจเพราะด้วยมิอยากได้ยินคำครหาเหล่านั้น มิอยากเห็นสายตาแปลกๆ เหล่านั้น หลิวสือซุ่ยจึงยิ่งเงียบขรึมมิพูดจา ทั้งวันอยู่แต่ในถ้ำของตัวเอง น้อยครั้งนักที่จะปรากฏตัวออกมา
ว่ากันว่าในคืนหนึ่งมีคนเคยเห็นเขาขึ้นไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง แต่เขาก็ลงมาจากเขาอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่ายอดเขาเหลี่ยงว่างที่เคยฝากความหวังเอาไว้กับเขาอย่างมากก็มิได้มีทีท่าว่าจะรับเขาเอาไว้
……
……
“หากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาอาจจะถูกผู้คนลืมเลือนไปเช่นนี้ แต่เมื่อหนึ่งปีก่อน….”
เยาซงซานชะงักไปครู่ ก่อนกล่าวต่อว่า “จู่ๆ ยอดเขาซั่งเต๋อก็เริ่มสืบสวนเรื่องการตายของอาจารย์อาจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูใหม่อีกครั้ง ได้ยินว่าหลิวสือซุ่ยก็มีส่วนต้องสงสัยเช่นกัน แม้นไม่มีทางที่เขาจะลงมือสังหารด้วยตัวเองก็ตาม เรื่องรายละเอียดข้าเองก็มิทราบเหมือนกัน แต่อาจารย์อาต้วนมาทำการสอบปากคำด้วยตัวเอง เพียงแต่มิรู้เพราะเหตุใดจึงมิได้จับเขาขังคุกกระบี่”
เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองจิ๋งจิ่ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงยังสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้
นางกล่าวกับเยาซงซานว่า “เจ้าเองก็คิดว่าเขาแอบกินตานปีศาจเข้าไป?”
“ใช่ขอรับ”
เยาซงซานคิดถึงข่าวลือในตอนแรกเหล่านั้น ก่อนจะเหลือบมอบจิ๋งจิ่วเช่นกัน จากนั้นกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าเหล่าอาจารย์ไม่มีทางดูผิด สำหรับศิษย์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างเขาแล้ว ความเย้ายวนของธรรมวิถีคือสิ่งที่ยากจะทานทนได้ ไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวที่คิดเช่นนี้ แต่ศิษย์ร่วมสำนักในยอดเขาทั้งเก้าล้วนแต่คิดเช่นนี้”
หลินอิงเหลียงทนไม่ได้จึงกล่าวขึ้นมาว่า “แต่ยังมีคนไม่เชื่อว่าหลิวสือซุ่ยทำผิด เพื่อเรื่องนี้แล้ว กู้ชิงได้กลับไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง และทะเลาะกับศิษย์พี่กู้หาน”
กู้ชิงถูกขับออกมาจากยอดเขาเหลี่ยงว่าง แต่เขายินดีกลับไป อีกทั้งยังทะเลาะกับพี่ชายของตน นั่นย่อมเป็นเพราะเขาคิดว่ายอดเขาเหลี่ยงว่างไร้ความเมตตาเกินไป
“กู้ชิงเอ๋ย…เขายังสบายดีไหม?”
ในที่สุดจิ๋งจิ่วก็เอ่ยขึ้นมา
“ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ ทั้งวันเขาอยู่บนยอดเขาเสินม่อ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่”
หลินอิงเหลียงมองดูจิ๋งจิ่วพูดจา ในใจครุ่นคิดกู้ชิงในตอนนี้คล้ายกับเจ้าเมื่อตอนที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยนก่อนหน้านี้อย่างมาก
เยาซงซานไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก เขามองเจ้าล่าเยวี่ยพลางถามว่า “ครั้งนี้อาจารย์อาก็มาร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ด้วยหรือขอรับ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “พวกเรามาเจอคนๆ หนึ่ง”
ไห่โจวเป็นเขตแดนอิทธิพลของสำนักกระบี่ซีไห่ คนที่มีชื่อเสียงที่สุดย่อมต้องเป็นเทพกระบี่ซีไห่
เขาคือยอดคนผู้ที่บรรลุสภาวะขั้นทะลวงสวรรค์และมีชื่อเสียงทัดเทียมกับเจ้าสำนักชิงซาน
เยาซงซานคิดว่า ด้วยสถานะของเจ้าล่าเยวี่ยในตอนนี้ คนที่นางเดินทางมาพบเป็นการเฉพาะ คงมีแต่คนผู้นี้เท่านั้น
เขาส่ายศีรษะพลางกล่าว “ผู้ที่จัดงานเลี้ยงซื่อไห่มิใช่เทพกระบี่ หากแต่เป็นซีหวังซุน”
เมื่อสี่ปีก่อน เมืองไห่โจวจู่ๆ ก็มีบุคคลลึกลับปรากฏขึ้นมา สภาวะสูงล้ำมิอาจคาดเดาได้ ขนานนามตัวเองว่าซีหวังซุน มีอำนาจอย่างมากในสำนักกระบี่ซีไห่
ว่ากันว่าเขาเป็นลูกลับๆ ของเทพกระบี่ แล้วก็มีคนบอกว่าเขาเป็นศิษย์ก้นกุฏิของเทพกระบี่ แล้วยังมีอีกข่าวลือหนึ่งบอกว่าคนผู้นี้คือศิษย์น้องของเทพกระบี่
ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือแบบไหน เทพกระบี่ก็มิเคยยอมรับมาก่อน แต่เขาก็มิเคยปฏิเสธเช่นกัน
หลังจากที่ซีหวังซุนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เมืองไห่โจวจึงเริ่มจัดงานเลี้ยงซื่อไห่ขึ้น
คนมีปัญญาต่างมองออกว่าซีไห่กำลังแสดงออกถึงการไม่ยอมรับราชสำนัก ทั้งยังคิดผลักดันงานเลี้ยงขนาดใหญ่ขึ้นมาแข่งกับงานชุมนุมเหมยฮุ่ยของเมืองเจาเกอด้วย
เนื่องเพราะเพิ่งจะเริ่มได้ไม่นาน งานเลี้ยงซื่อไห่ย่อมมิอาจเทียบกับงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้ เพื่อที่จะดึงดูดผู้บำเพ็ญพรตให้มาเข้าร่วมแล้ว ทุกครั้งสำนักกระบี่ซีไห่จะเตรียมวัตถุล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งเอาไว้สี่ชิ้นเพื่อมอบให้กับผู้ชนะสี่คน แม้นจะทำเช่นนี้แล้ว แต่ผู้อาวุโสยอดฝีมือและเหล่าอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงที่ยินดีมาเข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ก็ยังมีน้อยมาก
อัจฉริยะอย่างถงเหยียน[1]นั้นไม่มีทางปรากฏตัวแน่นอน จัวหรูซุ่ยต่อให้ไม่ได้เก็บตัวอยู่บนยอดเขาเทียนกวง ก็น่าจะไม่มาร่วมงานนี้
ครั้งนี้สำนักชิงซานเพียงส่งศิษย์รุ่นที่สามอย่างเยาซงซานและหลินอิงเหลียงมาสองคนเท่านั้น ต้าเจ๋อ วัดกั่วเฉิงเองก็เพียงแค่ส่งตัวแทนที่จะอยู่ในละแวกใกล้เคียงมา
แต่ได้ยินว่าครั้งนี้สำนักจงโจวและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยได้ส่งศิษย์ที่ยอดเยี่ยมมาสองคน มิรู้ว่าสำนักซีไห่นั้นต้องให้อะไรตอบแทนไป
หากบอกว่าสำนักชิงซานคือสำนักวิธีกระบี่ฝ่ายธรรมมะอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ได้รับการยอมรับจากทั่วทั้งโลก เช่นนั้นสำนักจงโจวก็คือสำนักพรตอันดับหนึ่งในใจผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมาก และเนื่องเพราะอยู่ใกล้เมืองเจาเกอ คุณภาพของลูกศิษย์จึงยอดเยี่ยม แต่ละรุ่นมีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นจำนวนมาก ชื่อเสียงในช่วงหลายสิบปีมานี้เรียกได้ว่าอยู่เหนือชิงซาน
แต่สิ่งที่เจ้าล่าเยวี่ยสนใจกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคืองานเลี้ยงซื่อไห่แข่งอะไร?
ถ้าแข่งกันเรื่องความสามารถและสภาวะ นางมั่นใจว่าตนเองไม่มีทางแพ้คนในรุ่นเดียวกัน
หากแข่งกันฆ่าคน นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเอาชนะทุกคนในรุ่นเดียวกันได้
หลายวันก่อน นางบังคับกระบี่ข้ามเขาไปสังหารผู้ดูแลวัดเฮยหลง ทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าต่อให้เป็นถงเหยียนที่อายุเท่ากันกับตัวเองเมื่อเจ็ดปีก่อนก็มิใช่คู่ต่อสู้ของตัวเอง
เยาซงซานกล่าวว่า “แข่งศิลปะทั้งสี่[2]”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “เล่าเรื่องซีหวังซุนผู้นี้ต่อซิ”
…………………………………………………………………………..
[1]ถงเหยียน หมายถึง หน้าเด็ก
[2]ศิลปะทั้งสี่ ประกอบด้วย กู่ฉินอันเป็นเครื่องดนตรีพิณโบราณอย่างหนึ่ง, หมากล้อม, พู่กันจีน, วาดภาพ
คอมเม้นต์