มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 27 การตั้งชื่อมิใช่เรื่องปกติ
ตกเย็น ธารสี่เจี้ยนสะท้อนแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า ดูคล้ายผ้าแพรสีแดงผืนหนึ่ง
บริเวณหน้าผ้าครึกครื้นวุ่นวายยิ่งนัก เหล่าวานรได้เอากระบี่ของเซวียหย่งเกอไปคืนนานแล้ว ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นย่อมมิได้เป็นฝืมือพวกมัน
ศิษย์หลายคนกำลังเก็บข้าวของ ประเดี๋ยวหลังจากนี้จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังยอดเขาทั้งเก้า
ภายในถ้ำหินแห่งหนึ่งที่ถูกตกแต่งเอาไว้ค่อนข้างอบอุ่น ชายหนุ่มแซ่หยวนเก็บสัมภาระเรียบร้อย ครั้นเห็นศิษย์น้องอวี้ซานที่ยังคงดูเหงาหงอยไม่มีความสุขก็อดถอนใจออกมามิได้
“ไปยอดเขาซั่งเต๋อแล้วก็ฟังอาจารย์ อย่างอแงล่ะ”
“ข้ามิได้อยากไปเสียหน่อย”
ศิษย์น้องอวี้ซานกล่าวด้วยสีหน้าน้อยใจ
จากนั้นนางพลันคิดถึงข่าวลือบางเรื่องขึ้นมา ก่อนจะกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “อาจารย์ลุงกฎแห่งกระบี่น่ากลัวจริงๆ ใช่ไหม?”
ชายหนุ่มแซ่หยวนกล่าวปลอบใจ “ศิษย์พี่จิ๋งให้เจ้าไป มีหรือจะปล่อยให้เจ้าไปลำบาก?”
“นั่นมันก็ใช่” ศิษย์น้องอวี้ซานพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “ต้องเรียกว่าอาจารย์อาจิ๋ง…ท่านอย่าลืมสิ”
ชายหนุ่มแซ่หยวนกล่าว “เข้าใจแล้ว”
จากศาลาหนานซงมายังธารสี่เจี้ยน ทั้งสองคนได้รับคำชี้แนะจากจิ๋งจิ่วอยู่หลายครั้ง
สถานะของจิ๋งจิ่วเองก็แปรเปลี่ยนจากศิษย์น้องจิ๋งในตอนแรกกลายเป็นศิษย์พี่จิ๋ง จนกระทั่งกลายเป็นอาจารย์อาจิ๋งในตอนนี้
ศิษย์น้องอวี้ซานไม่สามารถเข้าไปยังยอดเขาเสินม่อได้ ในใจย่อมรู้สึกไม่ค่อยมีความสุข แต่เมื่อคิดถึงว่าสุดท้ายแล้วจิ๋งจิ่วยังคงชี้แนะตน จึงรู้สึกดีใจขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าไปเที่ยวได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มแซ่หยวนรู้ว่านางหมายถึงอะไร จึงมิกล้ารับปากโดยทันที กล่าวว่า “ข้าต้องถามอาจารย์ก่อน”
……
……
ยอดเขาเสินม่อที่อยู่ภายใต้อาทิตย์อัสดงคล้ายกระบี่ที่กำลังลุกไหม้เล่มหนึ่ง
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมผา สายตาทอดมองยอดเขาซั่งเต๋อที่อยู่อีกฟาก มิรู้กำลังคิดอันใด
ก่อนจากชิงซานไป เขาก็มองดูที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมายืนข้างกายเข้า กล่าวถามว่า “เหตุใดมิให้นางไปยอดเขาชิงหรง?”
จิ๋งจิ่วมิได้ตอบ ในใจครุ่นคิดว่าสาเหตุความขัดแย้งระหว่างตนกับยอดเขาชิงหรงนั้นไม่สะดวกที่จะบอกผู้อื่นจริงๆ
เจ้าล่าเยวี่ยถามอีกครั้ง “เหตุใดเจ้าไม่รับชายหนุ่มแซ่หยวนคนนั้นเอาไว้เอง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ามิเคยรับศิษย์มาก่อน แต่ได้ยินว่าต้องตีแรงๆ เป็นประจำ และเป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง ข้าจึงไม่สะดวกจะตีเขา”
ดังนั้นเขาจึงให้เจ้าล่าเยวี่ยออกหน้า เพื่อชายหนุ่มแซ่หยวนจะได้ถูกตีสะดวกๆ?”
ชายหนุ่มแซ่หยวนเพิ่งจะขึ้นมาถึงยอดเขาพลันได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขามองดูจิ๋งจิ่วตาปริบๆ ในใจครุ่นคิดตนเองทำผิดอะไร?
เหล่าวานรที่อยู่ในป่าโหวกเหวกโวยวายไม่หยุด พวกมันส่งกู้ชิงขึ้นมาบนยอดเขา
ชายหนุ่มแซ่หยวนเอาคำพูดของศิษย์น้องอวี้ซานบอกเล่าออกมา
กู้ชิงยิ้มๆ พลางกล่าว “ได้สิ ข้าอยู่มาสามปีแล้วก็ไม่มีใครมาว่าอะไร”
ชายหนุ่มแซ่หยวนสีหน้าสับสน ในใจครุ่นคิดเรื่องแบบนี้พวกเราตัดสินใจได้เองเลยหรือ?
กู้ชิงคิดในใจต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง
“ว่าไปแล้ว เจ้าเรียกหยวนอะไรกันแน่?”
ครั้นได้ยินคำถามนี้ กระทั่งเจ้าล่าเยวี่ยก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
จนถึงวันนี้แล้วทุกคนยังรู้เพียงว่าเขาเป็นชายหนุ่มแซ่หยวนที่มาจากจังหวัดเล่อหลาง แต่กลับไม่รู้ชื่อของเขา
ชายหนุ่มแซ่หยวนกล่าวตามจริง “หยวนฉินหู่”
กู้ชิงรู้สึกชื่อนี้ฟังดูคุ้นเคย จากนั้นพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงกล่าวว่า “อาจารย์ลุงกฎแห่งกระบี่ก็แซ่หยวนเช่นกัน”
ชายหนุ่มแซ่หยวนงุนงงไปเล็กน้อย กล่าวว่า “นั่นสิ บังเอิญจัง”
กู้ชิงกล่าวว่า “ชื่อนี้กับชื่อของอาจารย์ลุงกฎแห่งกระบี่เองก็ค่อนข้างคล้ายกัน…เพียงแต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมาก”
คนหนึ่งฉีจิง[1] อีกคนหนึ่งฉินหู่[2] ย่อมต้องไม่เหมือนกัน
ชายหนุ่มแซ่หยวนครุ่นคิด ก่อนจะมองไปทางเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว “ศิษย์ขอให้อาจารย์ช่วยตั้งชื่อให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ?”
ลูกศิษย์ได้รับชื่อที่อาจารย์ตั้งให้ เรื่องแบบนี้ล้วนแต่พบเห็นได้บ่อยๆ ในสำนักชิงซานและสำนักอื่น
กู้ชิงกล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นเรียกหยวนพั่วไห่[3]ดีไหม?”
หากใช้พั่วไห่เป็นชื่อ จริงอยู่ที่ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่มันค่อนข้างจะ…
เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองเขา กล่าวว่า “สู้เรียกหยวนทงเทียน[4]ไม่ดีกว่าหรือ?”
กู้ชิงรู้สึกว่าวันนี้ตนเองมีความสุขอย่างมาก คำพูดคำจาเองก็ค่อนข้างมาก เขาตบบ่าชายหนุ่มแซ่หยวนเพื่อบอกให้เขาเดินตามตัวเองเข้าไปในหอเล็กที่อยู่ด้านนอกถ้ำ
ที่พักของพวกเขานับจากนี้ก็คือที่นี่ กระท่อมไม้ที่อยู่ด้านล่างหน้าผาย่อมต้องทิ้งเอาไว้ให้พวกลิง
“ไม่อย่างนั้นเจ้าตั้งชื่อให้เขาหน่อยสิ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวกับจิ๋งจิ่ว
ก่อนจะกลับมาชิงซาน จิ๋งจิ่วกับนางได้ไปยังหมู่บ้านในภูเขาแห่งนั้นมา
นางรู้ว่าในหนึ่งปีนั้นเกิดเรื่องบางเรื่องขึ้น แล้วก็รู้ว่าชื่อหลิ่วสือซุ่ยเป็นชื่อที่เขาตั้งให้
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ
……
……
งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนถูกลืมเลือนไปอย่างรวดเร็ว เนื่องเพราะในปีนี้ชิงซานจะมีงานใหญ่ที่แท้จริง
งานชุมนุมซื่อเจี้ยน[5]ของชิงซานคืองานที่เอาไว้คัดเลือกคนที่ยอดเยี่ยมจากบรรดาศิษย์หนุ่มสาวเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีหน้า แต่ความจริงแล้วมันคือการประลองกันระหว่างยอดเขาต่างๆ
สำหรับการแข่งขันเช่นนี้ ชิงซานให้การสนับสนุนมาโดยตลอด แม้นจะพ่ายแพ้ในงานชุมนุมซื่อเจี้ยน แต่ขอเพียงแสดงความสามารถได้ยอดเยี่ยม ก็จะมีโอกาสได้เข้าสู่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง — สามารถเลือกเรียนเพลงกระบี่ของเก้ายอดเขาได้ตามใจชอบ สำหรับศิษย์หนุ่มสาวแล้วย่อมต้องเป็นโอกาสที่ยากจะหาได้ พวกเขาย่อมต้องทยอยกันมาลงชื่อ
ชายหนุ่มแซ่หยวนมองดูลำแสงกระบี่ที่บินลงไปยังยอดเขาเทียนกวงที่อยู่ไกลออกไป บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าอิจฉา
เขาเพิ่งจะกลายเป็นศิษย์ของยอดเขาเสินม่อ ย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมซื่อเจี้ยน อย่างน้อยก็ต้องรออีกหลายปี
กู้ชิงมองเขาพลางกล่าว “เจ้าอยากไปหรือ?”
ชายหนุ่มแซ่หยวนกล่าว “งานชุมนุมเหมยฮุ่ยไม่กล้าคิดไป แต่ถ้าได้เข้าไปเรียนเพลงกระบี่เหล่านั้นบนยอดเขาเหลี่ยงว่าง นั่นย่อมต้องเป็นเรื่องดี”
กู้ชิงกล่าวว่า “หรือเจ้าลืมเรื่องข้ากับยอดเขาเหลี่ยงว่างไปแล้ว?”
ชายหนุ่มแซ่หยวนได้สติขึ้นมา เขาได้เห็นการต่อสู้ระหว่างจิ๋งจิ่วและกู้ชิงในธารสี่เจี้ยนเมื่อตอนนั้นกับตาตัวเอง ดังนั้นจึงรีบกล่าวว่า “อย่างนั้นข้าไม่ไปแล้ว”
กู้ชิงกล่าวว่า “เชื่อข้า ยอดเขาเสินม่อเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว สิ่งที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างมี ที่นี่ก็มีเช่นกัน”
ชายหนุ่มแซ่หยวนมิค่อยเข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้ ในใจครุ่นคิดศิษย์พี่หญิงชายบนยอดเขาเหลี่ยงว่างสามารถเลือกเรียนเคล็ดกระบี่ของยอดเขาใดก็ได้ตามอำเภอใจ หรือยอดเขาเสินม่อก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน?
ของสิ่งหนึ่งลอยออกมาจากในถ้ำ ก่อนจะค่อยๆ ลอยลงมาตรงหน้าชายหนุ่มแซ่หยวน เขายื่นมือออกไปรับไว้ทันที ก่อนจะพบว่ามันเป็นหนังสือบางๆ เล่มหนึ่ง
กู้ชิงมองเขายิ้มๆ พลางกล่าวว่า “ยินดีด้วย”
ชายหนุ่มแซ่หยวนงุนงง เขาพลิกเปิดหนังสือเล่มนั้น ก่อนจะตกใจขึ้นมา
ในหน้าแรกของหนังสือเล่มนั้นเขียนเอาไว้ว่า
“ตั้งตระหง่านบนน้ำค้างแข็ง เจ็ดดอกเหมยไร้พ่าย”
กู้ชิงและชายหนุ่มแซ่หยวนล้วนแต่เป็นคนที่มีภูมิหลังมิธรรมดา พวกเขาย่อมต้องรู้ว่านี่มันหมายถึงอะไร
เคล็ดกระบี่แห่งยอดเขาซีไหล — เคล็ดกระบี่เจ็ดดอกเหมย
ชายหนุ่มแซ่หยวนตะลึงลาน ในหัวครุ่นคิดถึงคำบอกเล่าที่ว่าเพลงกระบี่นี้คล้ายจะสามารถใช้หยุดยั้งเพลงกระบี่หิมะไหลของยอดเขาซั่งเต๋อได้ สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย
กู้ชิงรู้ว่าเขาคิดมากไปแล้ว จึงกล่าวว่า “อาจารย์กระทำเช่นนี้ มิได้มีเจตนาอะไรแอบแฝง”
ชายหนุ่มแซ่หยวนกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เช่นนั้นเหตุใดต้อง…ต้อง…ต้องถ่ายทอดเพลงกระบี่ชุดนี้ให้ข้าด้วย?”
“ใครจะรู้ล่ะ? บางทีอาจจะแค่ไม่อยากให้เจ้าถูกศิษย์น้องอวี้ซานรังแกจนสิ้นสภาพเวลาที่ต้องเจอกันหลังจากนี้กระมัง?”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุย จู่ๆ พลันมีแสงสีแดงส่องสว่างขึ้นบนยอดเขา ทำเอาแสงอาทิตย์อัสดงบนท้องฟ้าดูอ่อนแรงลงไป
ลมกระโชกขึ้นมา ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกไปจากยอดเขา ก่อนจะบินไปยังอีกฟากหนึ่งอย่างรวดเร็ว
งานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซานใกล้จะเริ่มแล้ว
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยล้วนแต่ไปยังยอดเขาเทียนกวง
เมื่อมองดูแสงสีแดงโลหิตที่กระบี่มิคำนึงทิ้งเอาไว้บนท้องนภา ในใจกู้ชิงพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
เขาแอบภาวนา หวังว่าวันนี้จะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น
……………………………………………………
[1]ฉีจิง แปลว่า ขี่วาฬ
[2] ฉินหู่ แปลว่า จับเสือ
[3]พั่วไห่ แปลว่า แหวกทะเล
[4]ทงเทียน แปลว่า ทะลวงสวรรค์
[5]ซื่อเจี้ยน แปลว่า ทดสอบกระบี่
คอมเม้นต์