มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 32 พลาดพลั้ง จากนั้นหลงใหล
หลายคนต่างรู้สึกว่าตนเองได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ป่าหลังได้รับบาดเจ็บ แต่กลับมิรู้ว่าเสียงนี้มาจากไหน
ไม่ว่าจะในป่าบนยอดเขา หรือหน้าผาด้านหลังเมฆก็ล้วนแต่เงียบสงัด
คล้ายว่าเสียงนี้มันดังขึ้นมาในหัวของพวกเขา
เจี่ยนหรูอวิ๋นเองก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนนี้เช่นกัน
เขารู้ว่าเสียงนี้มาจากที่ใด แม้นหลิ่วสือซุ่ยจะมิได้อ้าปากก็ตาม
ถึงจะอยู่ห่างออกไปสามร้อยจ้าง แต่เขาก็สามารถมองเห็นความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าหลิ่วสือซุ่ยและความเด็ดเดี่ยวที่อยู่ในดวงตานั้นได้
สายตาที่เด็ดเดี่ยวแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟเล็กๆ อย่างรวดเร็ว มันทั้งแดงฉานและดูแปลกประหลาดอย่างมาก
ร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยแผ่กระจายกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนอย่างรุนแรงออกมา
ในเวลานี้ เขาเหมือนแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดโบราณตัวหนึ่ง
อากาศที่อยู่รอบกายหลิ่วสือซุ่ยหมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บริเวณรอบๆ ร้อนระอุ คล้ายมีเปลวเพลิงที่ไร้รูปลักษณ์กำลังพวยพุ่งออกมา
เสียงซู่ๆ ดังขึ้น เมฆหมอกที่ลอยเข้ามาพร้อมกับกระบี่บินเหล่านั้นก็ถูกแผดเผาจนสลายหายไปจนหมดสิ้น โดยไม่มีโอกาสได้สัมผัสถูกตัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
กระบี่บินของเจี่ยนหรูอวิ๋นรับรู้ได้ถึงอันตราย มันเตรียมจะบินหนีออก แต่กลับถูกพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นตรึงเอาไว้ ตัวกระบี่สั่นสะเทือนไม่หยุด ส่งเสียงหวีดร้องอย่างรุนแรง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่กลับหนีไปไหนไม่ได้ มันหยุดค้างอยู่กลางอากาศตรงหน้าเสาหิน คล้ายผีเสื้อกลางคืนที่ติดอยู่บนใยแมงมุม
“เพลิงปีศาจ!” มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจ
อาจารย์แห่งยอดเขาซั่งเต๋อที่คอยดูแลระเบียบภายในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะขี่กระบี่ออกไปเปิดข่ายพลังที่อยู่รอบๆ ป่าหินทุกเมื่อ
เสียงตู้มดังสนั่นขึ้นมา เสาหินที่อยู่ใต้เท้าหลิ่วสือซุ่ยไม่สามารถแบกรับการฉีกกระชากของเจตกระบี่และอุณหภูมิที่สูงเช่นนี้ได้อีก เศษหินและฝุ่นควันจำนวนนับไม่ถ้วนฟุ้งกระจาย
เศษหินและฝุ่นควันเหล่านั้นม้วนตัวพุ่งออกไปข้างหน้า กระแทกเข้าใส่เมฆหมอกที่ลอยมาพร้อมกระบี่ของเจี่ยนหรูอวิ๋นจนแตกกระจาย คล้ายกับยอดเขาจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงไปในมหาสมุทร
เจี่ยนหรูอวิ๋นกลืนโลหิตสดๆ ที่ไหลทะลักขึ้นมาถึงลำคอ เขาปลดปล่อยปราณกระบี่ออกมาจนหมด ฝืนเรียกกระบี่ที่ถูกเปลวไฟไร้รูปร่างตรึงเอาไว้กลับมา
ลำแสงกระบี่วูบไหว เขาขึ้นไปยืนบนกระบี่ ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาถึงตรงหน้าหลิ่วสือซุ่ย เตรียมจะขี่กระบี่บินต่อสู้อีกครั้ง!
ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ เขาและหลิ่วสือซุ่ยสบตากันโดยมีเปลวเพลิงไร้ลักษณ์คั่นกลางเอาไว้อยู่
เขามองเห็นดวงตาของหลิ่วสือซุ่ยอย่างชัดเจน
ดวงตาที่เคยใสสะอาดและไร้ซึ่งสิ่งเจือปนคู่นั้น ในเวลานี้เหลือเพียงความสว่างไสว นั่นเป็นเพราะในส่วนลึกของดวงตานั้นมีเปลวเพลิงจริงๆ กำลังลุกไหม้อยู่
เปลวไฟที่ยากจะเลี้ยงให้เชื่อง ดูคล้ายเล็กจ้อย แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
เจี่ยนหรูอวิ๋นเคยเห็นดวงตาแบบเดียวกันนี้มาก่อน
ในคืนนั้นที่แม่น้ำจั๋วเมื่อสองปีก่อน เขาพาหลิ่วสือซุ่ยฝ่าอันตรายดำลงไปใต้แม่น้ำเพื่อไล่สังหารกุ่ยมู่หลิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตัวนั้น
กุ่ยมู่หลิงมองเขาก่อนตาย
เขาจำได้ดี มันเป็นดวงตาเช่นนี้ เป็นเปลวไฟแบบนี้
เจี่ยนหรูอวิ๋นสีหน้าตกใจเล็กน้อย ดวงตาเผยให้เห็นความรู้สึกเสียใจ เขาตะโกนออกมาเสียงดัง เตรียมจะขี่กระบี่บินหนี
ไม่ทันแล้ว
เหมือนในคืนวันนั้น
ทันใดนั้นเอง เขาพลันหยุดความเคลื่อนไหว
สายตาเขาแปรเปลี่ยนห่อเหี่ยวสิ้นหวัง คล้ายมิรู้ว่าเหตุใดตนเองจึงมาอยู่ที่นี่
กระบี่บินส่งเสียงดังชัดเจน เขาได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา
กระบี่บินเข้าปะทะกัน ปะทะกันก็แค่เพียงพริบตา
ลำแสงกระบี่ที่สว่างไสวแทงทะลุหน้าอกของเขา
โลหิตสดๆ สาดกระจาย
เจี่ยนหรูอวิ๋นร่วงจากกระบี่ตกลงไปยังพื้นด้านล่าง
หลิ่วสือซุ่ยสีหน้าเฉยเมย มิได้คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายมีทางรอดเลย
แสงกระบี่อันสว่างไสววกกลับอย่างฉับพลัน ฟันตรงไปที่ลำคอของเจี่ยนหรูอวิ๋น
เวลานี้เจี่ยนหรูอวิ๋นไร้ซึ่งความสามารถในการตอบโต้ ดูแล้วจุดจบคงมิแคล้วต้องศีรษะหลุดออกจากบ่า
รอบด้านของป่าหินมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา!
ในเวลานี้เอง ลำแสงกระบี่ที่กระจ่างใสดุจสายรุ้งสายหนึ่ง พุ่งทะลวงข่ายพลังป้องกันของป่าหินเข้าไปหาเจี่ยนหรูอวิ๋น
เสียงฟึบๆ หลายเสียงดังขึ้นมาอย่างชัดเจน!
ลำแสงกระบี่ที่ใสกระจ่างสายนั้นพันรอบกระบี่หลิ่วสือซุ่ยเอาไว้แล้วพาขึ้นไปกลางอากาศที่อยู่ห่างจากป่าหินออกไป จากนั้นบิดจนแตกเป็นเสี่ยงๆ!
ผู้ที่บังคับกระบี่ผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทางวิถีกระบี่ที่แข็งแกร่ง!
เหล่าศิษย์ชิงซานคิดในใจว่าน่าจะเป็นอาจารย์อาขั้นคเนจรสักท่านยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
กระบี่บินถูกทำลาย หลิ่วสือซุ่ยกระอักเลือดสดๆ ออกมา!
ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่ยอมเลิกรา!
เขากระโดดลงมาจากเสาหินที่โงนเงนจวนจะล้ม ตรงดิ่งลงไปหาเจี่ยนหรูอวิ๋นเหมือนดั่งก้อนหิน มิต่างอะไรกับปีศาจคุ้มคลั่ง
คนผู้หนึ่งกระโดดออกมาจากหน้าผา ทะยานเข้ามาหาหลิ่วสือซุ่ย ฝ่ามือกระแทกลงไปที่หน้าอกเขา
ผัวะๆๆ!
เสียงจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นติดต่อกัน ในระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยถูกโจมตีเข้าไปหลายสิบครั้ง
คนผู้นั้นลงมือได้อย่างเฉียบขาด ดูคล้ายง่ายดาย แต่หลิ่วสือซุ่ยกลับมิอาจหลบหลีกได้
เขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด บนท้องฟ้ามีฝนเลือดตกโปรยปรายลงมา
ในที่สุด เขาก็ตกลงสู่พื้นอย่างน่าเวทนา ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
คนผู้นั้นลอยลงมายืนอยู่ข้างกายเขา แขนเสื้อสะบัดเบาๆ ทำให้เกิดกระแสอากาศขึ้นหลายสาย ค่อยๆ รับตัวเจี่ยนหรูอวิ๋นที่เพิ่งจะร่วงตกตามลงมาทีหลัง
ศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยรีบเข้ามาให้การรักษาเจี่ยนหรูอวิ๋น
เมฆหมอกกระจายตัวออก ฝุ่นควันตกลงมา ลำแสงกระบี่ที่ใสกระจ่างบินกลับลงมาจากบนฟ้า ก่อนจะหยุดอยู่นิ่งๆ ตรงหน้าคนผู้นั้น
กระบี่บินเล่มนี้เป็นสีน้ำเงิน คล้ายดั่งมหาสมุทร
ภายใต้การสาดแสงอันสว่างเจิดจ้าของลำแสงกระบี่ เสื้อผ้าของคนผู้นั้นเหมือนจะเป็นสีน้ำเงินเช่นกัน
สีหน้าคนผู้นั้นยังคงเรียบเฉยเหมือนดั่งที่ผ่านมา เพียงแต่ในดวงตาแฝงความรู้สึกเสียดายเอาไว้
จนกระทั่งในเวลานี้ เหล่าลูกศิษย์ถึงจะมองเห็นอย่างชัดเจน ที่แท้ผู้ที่ลงมือมิใช่อาจารย์เซียนท่านไหน หากแต่เป็นกั้วหนานซาน!
กั้วหนานซานเป็นศิษย์ของเจ้าสำนัก ทั้งยังเป็นศิษย์อันดับที่หนึ่งของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ค่อนข้างเป็นที่รักและชื่นชมของศิษย์ร่วมสำนัก แต่สภาวะการบำเพ็ญเพียรของเขามิได้ลึกล้ำจนน่าตกตะลึงแต่อย่างใด อย่างน้อยก็มิได้มีชื่อเสียงเหมือนอย่างจัวหรูซุ่ย
ใครจะไปคิดบ้างว่า เขาจะเป็นยอดฝีมือที่บรรลุขั้นคเนจรแล้ว!
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยใช้หางตาคอยลอบสังเกตจิ๋งจิ่วอยู่ตลอดเวลา
สีหน้าของจิ๋งจิ่วมิได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คล้ายว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่าหินนั้นไม่สามารถทำให้เขาเกิดความรู้สึกสนใจใดๆ ได้
นางรู้ว่านี่มิใช่ความจริง
เพราะนางมั่นใจว่าเมื่อครู๋นี้ ตอนที่กั้วหนานซานลงมือออกกระบี่โจมตีหลิ่วสือซุ่ยอย่างต่อเนื่องจนกระอักเลือดตกลงมาบนพื้น…จิ๋งจิ่วขยับแล้ว
คนทั่วไปไม่มีทางมองออกว่าจิ๋งจิ่วขยับ
หากมิเป็นเพราะนางคอยสังเกตดูเขาอย่างละเอียดอยู่ตลอดเวลา ก็คงยากที่จะเห็นได้เช่นกัน
ในเวลานั้น สีหน้าจิ๋งจิ่วมิแปรเปลี่ยน แต่นิ้วชี้มือขวากลับขยับเล็กน้อย
……
……
“เจ้ากินตานปีศาจของกุ่ยมู่หลิงเข้าไปจริงๆ ด้วย”
กั้วหนานซานมองดูหลิ่วสือซุ่ย พลางกล่าวอย่างเสียดายและผิดหวังว่า “ยิ่งไปกว่านั้นยังเรียนวิชามารของสำนักเสวี่ยหมัว[1]”
ขณะที่เขากล่าวประโยคนี้ สายตาโกรธแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนพลันมองไปทางหลิ่วสือซุ่ย
เรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยแอบกินตานปีศาจ แม้นจะไม่มีหลักฐาน แต่ก็ถูกทุกคนในชิงซานรับรู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่เรื่องสำนักเสวี่ยหมัว?
เมื่อนานมาแล้ว แผ่นดินเฉาเทียนมีพรรคมารที่ชื่อสำนักเสวี่ยหมัว วิชาที่ฝึกฝนนั้นชั่วร้ายยิ่งนัก สังหารผู้คนไปมากมาย
หลังถูกสำนักฝ่ายธรรมมะโจมตี สำนักเสวี่ยหมัวก็แอบไปร่วมมืออย่างลับๆ กับดินแดนหมิง เรียกได้ว่าไม่มีความชั่วใดไม่ทำ
ภายหลัง ในที่สุดสำนักเสวี่ยหมัวก็ถูกยอดฝีมือของสำนักชิงซาน สำนักจงโจว สำนักอู๋เอินเหมิน สำนักต้าเจ๋อร่วมมือกันทำลายจนสิ้นซาก
เวลานั้นสำนักเฟิงเตากับสำนักกระบี่ซีไห่ยังมิปรากฏตัวขึ้นมา
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีข่าวลือมาโดยตลอดว่าสำนักเสวี่ยหมัวได้ทิ้งคัมภีร์ลับวิชามารเอาไว้จำนวนมาก คิดไม่ถึงเลยว่าข่าวลือจะกลายเป็นจริง
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหลิ่วสือซุ่ยอยู่ที่ชิงซานตลอด แล้วเขาไปเอาวิชาของพรรคมารแบบนี้มาจากไหน?
หรือเขาจะแอบไปร่วมมือกับพวกมารที่อยู่ด้านนอกสำนักจริงๆ?
…………………………………………………………………………..
[1]เสวี่ยหมัว แปลว่า ปีศาจเลือด
คอมเม้นต์