มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 59 มีหรือที่จะไม่ชื่นชอบ
เสียงกระดิ่งไพเราะเสนาะหู เทียบกับเสียงพิณในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในวันนี้แล้วมิได้ต่างกันเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความยอดเยี่ยมอยู่อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือทำให้จิตใจของคนฟังรู้สึกสงบ ในบรรยากาศที่รายรอบป่าเหมย คล้ายดั่งมีระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นกระเพื่อมขึ้นมาเป็นชั้นๆ ทำให้ผิวน้ำบนทะเลสาบสงบนิ่ง ขณะเดียวกับที่จิตใจรู้สึกสงบ กลิ่นอายของข่ายพลังที่ยังหลงเหลือเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป จนไม่เหลือร่องรอย
เห็นได้ชัดว่าข่ายพลังเหล่านี้ได้ถูกยอดฝีมือของสำนักเสวียนหลิงทำลายลง ดูเหมือนในเวลานี้ยอดฝีมือผู้นั้นจะฝ่าเข้าไปแล้ว
สำนักเสวียนหลิงและสำนักชิงซานเป็นมิตรที่ดีต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เจ้าล่าเยวี่ยกังวลใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือของจิ๋งจิ๋วจิ่วเอาไว้ จากนั้นขี่กระบี่ขึ้นไป
ลำแสงกระบี่สีแดงส่องสว่างป่าเหมย บินตามเสียงกระดิ่งเข้าไป ลมเย็นสดชื่นพัดโชยขึ้นมา ก่อนจะสงบลงไปในพริบตา
ในส่วนลึกของสวนเหมยเก่ามีทะเลสาบเล็กๆ ที่ดูไม่สะดุดตาอยู่แห่งหนึ่ง ริมทะเลสาบมีต้นหญ้างอกเงยและต้นเหมยที่ไม่ได้งดงามสักเท่าไหร่ ในป่าเหมยคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเช่นกัน
ทางที่เชื่อมต่อจากด้านนอกของป่าเหมยเข้าไปยังกระท่อมหลังเล็กมีคนมาขวางทางเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน
“กล้าดียังไงมาขวางทางไม่ให้พวกข้าเข้าไป?”
หญิงสาวผู้หนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา ร่างกายที่ดูคล้ายอ่อนแอแผ่พลังที่แข็งแกร่งอย่างมากออกมา
หญิงสาวผู้นี้ก็คือทูตที่มาร่วมงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ของชิงซานในคราวนั้น
ข้างกายนางมีดรุณีนางหนึ่งยืนอยู่ บนใบหน้าเล็กๆของดรุณีนางนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิด นางย่อมต้องเป็นสาวน้อยที่เคยรับปากว่าจะส่งกระดิ่งให้จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยผู้นั้น
คนที่ยืนขวางอยู่บนทางหินคือขันทีแก่ผู้หนึ่ง เขาอาจจะไม่ใช่คนที่วางข่ายพลังอันนั้นเอาไว้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็คิดอยากจะขวางคนของสำนักเสวียนหลิงทั้งสองคนนี้เอาไว้เช่นกัน
ขันทีแก่หรี่ตาลง พลางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “มีผู้สูงศักดิ์กำลังชมดอกไม้อยู่ในป่า โปรดรอประเดี๋ยว”
หญิงผู้นั้นยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “อย่าคิดว่ายกผู้สูงศักดิ์ในวังมาอ้างแล้วจะขู่พวกข้าได้นะ สวนเหมยเก่าเปลี่ยนเป็นพื้นที่หวงห้ามของราชวงศ์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
สาวน้อยไหนเลยจะอดทนต่อไปได้ จึงกล่าวออกมาว่า “ป้าชุย มิต้องไปเสียเวลากล่าววาจาไร้สาระกับพวกเขา พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
ขันที่แก่เงยหน้าขึ้นมา ในดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า เขากล่าวตะคอกว่า “ใครกล้า?”
เมื่อคำสองพยางค์นี้ดังขึ้นมา บรรยากาศภายในป่าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสับสนยุ่งเหยิง เงาคนสิบกว่าร่างปรากฏตะคุ่มๆ ขึ้นมา เมื่อดูจากไอพลังแล้วน่าจะเป็นองครักษ์ยอดฝีมือของในวัง
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายเตรียมจะปะทะกัน พลันมีสายลมเย็นสบายสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา ผิวน้ำเกิดระลอกคลื่นขึ้นอีกครา พัดพาลำแสงกระบี่สีแดงที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาให้กลายเป็นใบเมเปิลจำนวนนับไม่ถ้วน
ลำแสงกระบี่พลันหดกลับ ริมทะเลสาบมีร่างคนสองคนปรากฏขึ้นมา
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ใครกล้า?”
เป็นคำสองพยางค์เช่นเดียวกัน เสียงตะคอกของขันทีแก่เต็มไปด้วยพลัง แต่น้ำเสียงของนางกลับธรรมดา เรียบง่าย มิได้มีพลังอำนาจอะไร
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่ว่าจะเป็นตัวขันทีแก่หรือเหล่าองครักษ์ที่อยู่ในป่าต่างรู้สึกว่าคำสองพยางค์ที่นางพูดออกมานี้ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่รับมือได้ยากอย่างแท้จริง
พูดอีกอย่างคือ ไม่มีใครกล้าตอบคำถามนี้
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ เจ้าล่าเยวี่ยถึงจะนึกขึ้นมาได้ จึงปล่อยมือจิ๋งจิ่ว
สายตาของขันทีแก่มองไปยังใบหน้าของนางและจิ๋วจิ๋ว ก่อนจะครุ่นคิดถึงลำแสงกระบี่สีแดงสายนั้นอีกครั้ง จึงคาดเดาได้ถึงสถานะของอีกฝ่าย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่ง พร้อมรีบยกมือขึ้นมาเพื่อบอกให้องครักษ์ที่อยู่ในป่าอย่าได้ลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า
ดรุณีนางนั้นมองเห็นเจ้าล่าเยวี่ย บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มยินดี สาวน้อยกระโดดมาตรงหน้านาง พลางกุมมือของนางเอาไว้ ก่อนกล่าวถามว่า “พวกท่านมิใช่ว่าต้องอยู่ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยหรอกหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าแวะมาดู”
“พวกท่านก็รู้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
สาวน้อยกล่าวอย่างรู้สึกผิด “เพื่อข้อมูลนี้แล้ว สำนักข้าต้องจ่ายค่าตอบแทนไปจำนวนไม่น้อย ทั้งยังรับปากว่าจะไม่แพร่งพรายข้อมูลนี้ออกไป ข้าจึงมิสะดวกที่จะไปแจ้งท่าน”
เจ้าล่าเยวี่ยยิ้มเล็กน้อย พลางยื่นมือไปลูบศีรษะของนางเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร
หลังลูบศีรษะเสร็จแล้ว นางถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา เหตุใดตนเองจึงเคยชินกับท่าทางการเคลื่อนไหวที่ใกล้ชิดเช่นนี้ นางจึงหันมองไปทางจิ๋งจิ่วทันที
ขันทีแก่เองก็มองจิ๋งจิ่ว
เมื่อใบหน้าที่ถูกยกยอไปต่างๆ นาๆ เสียจนดูเกินจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาถึงได้รู้ว่าคำยกยอต่างๆเหล่านั้นมิได้เกินจริงเลย
พูดให้ถูกก็คือยามเขาได้เห็นใบหน้าของจิ๋วจิ๋ว เขาถึงได้รู้ว่าความสุดยอดที่แท้จริงนั้นมันไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
แม้นตัวเขาจะเป็นขันที อีกทั้งยังแก่ชราแล้ว แต่ก็ต้องใช้แรงใจอยู่ไม่น้อยกว่าจะดึงสติกลับมาได้ เขาโค้งตัวดล่าวว่า “ขอทั้งสองท่านโปรดรอเดี๋ยวก่อน ประเดี๋ยวข้าน้อยจะไปแจ้ง…”
เมื่อแน่ใจถึงสถานะของเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว ท่าทีของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเคารพชื่นชมมากขึ้น ทั้งเตรียมจะให้องครักษ์เข้าไปแจ้งผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ในป่า ทว่าเขายังไม่ทันได้กล่าวคำว่าผู้สูงศักดิ์นั้นออกมา
เพราะจิ๋งจิ่วไม่อยากจะรอแล้ว
สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว เวลาคือสิ่งที่ไร้ค่าที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดเช่นเดียวกัน
เรื่องที่ควรค่าจะเสียเวลามานั่งรอคอยนั้นมีอยู่มากมาย อาทิเช่นหิมะแรก อาทิเช่นต้นไม้แห่งเต๋างอกเงย อาทิเช่นการวางทราย อาทิเช่นสือซุ่ยกลับมา แต่ย่อมมิได้รวมไปถึงการรอคนไปแจ้งข่าวอย่างแน่นอน
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็เป็นคนเช่นนี้เหมือนกัน
พวกเขาเดินตามทางหินเข้าไปในป่า
ขันทีแก่ลังเล แต่สุดท้ายก็มิกล้ารั้งตัวเอาไว้ จึงได้แต่ต้องเบี่ยงตัวเปิดทางให้
สาวน้อยของสำนักเสวียนหลิงจูงมือเจ้าล่าเยวี่ย พลางเดินตามเข้าไปในป่า ในขณะที่เดินผ่านขันทีแก่ผู้นั้น นางส่งเสียงเหอะออกมาอย่างสะใจ
ทางหินทอดยาวเข้าไปในส่วนลึกของป่าเหมย เห็นๆ อยู่ว่าต้นไม้มิได้หนาทึบ แต่เพียงไม่นานก็มองไม่เห็นทิวทัศน์ด้านหลังเสียแล้ว
ในส่วนลึกของป่ามีกำแพงไม้ไผ่ ทางหินทะลุกำแพงไผ่ไป ตรงเข้าไปด้านในกระท่อม
อีกฝั่งของกำแพงไผ่เงียบสงัด ดูเหมือนขันทีแก่และเหล่าองครักษ์จะมิได้รับอนุญาตให้เข้ามา
หญิงนางนั้นกล่าวอย่างอับอายเล็กน้อยว่า “ยังคงเป็นสำนักชิงซานที่ได้รับความเคารพมากกว่า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ศิษย์พี่ชุยกล่าวหนักไปแล้ว เพียงแค่วิธีจัดการเรื่องราวของสองสำนักไม่เหมือนกันเท่านั้น”
หญิงสาวเข้าใจความหมายของนาง ในใจครุ่นคิดเป็นจริงดั่งว่า เพียงแต่มิรู้จะรับคำอย่างไร
แต่สาวน้อยกลับไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ นางกล่าวตรงๆ ว่า “ถูกต้อง ท่านแม่เองก็บ่นอยู่ตลอดเวลา บอกว่าคำพูดติดปากของพวกท่านมันน่ากลัวเกินไป เอะอะก็ถามคนว่าอยากตายไหม กระทำการใดล้วนรุนแรง เอะอะก็ฆ่าคน ดูแล้วน่าโมโหจริงๆ สั่งกำชับแล้วกำชับอีกว่าอย่าไปเลียนแบบพวกท่าน”
หญิงสาวยิ้มเจื่อนมิกล่าวกระไร หันมองไปทางเจ้าล่าเยวี่ยเตรียมอธิบาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเจ้าล่าเยวี่ยฟังคำพูดเหล่านี้แล้วจะครุ่นคิดอย่างจริงจัง พลางกล่าวว่า “มีเหตุผล”
สาวน้อยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “พี่สาว หรือท่านคิดจะเปลี่ยน?”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดเล็กน้อย จากนั้นส่ายศีรษะพลางกล่าว “แม้นจะมีเหตุผล แต่เปลี่ยนไม่ได้”
สาวน้อยลืมตาโต กล่าวถามอย่างสงสัยว่า “เพราะเหตุใด?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เพราะบนโลกมีคนที่สมควรตายและคนที่อยากตายอยู่เยอะเกินไป”
สาวน้อยสังเกตเห็นดวงตาของนางสีดำขาวตัดกันอย่างชัดเจน ดูมีชีวิตชีวา จึงรู้สึกอิจฉา หรือพูดอีกอย่างคือปรารถนาจะมีเช่นนั้นบ้าง
……
……
ด้านหน้ากระท่อมมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง ดอกไม้บนต้นเบ่งบานแล้ว กลีบดอกไม้หลุดร่วงลงมาด้านล่างต้นไม้เป็นจุดๆ ดูงดงามยิ่งนัก
แต่ก็ยังมิงามเท่าโฉมสะคราญที่อยู่ใต้ต้นไม้ผู้นั้น
สาวงามคนนั้นหันมามอง ใบหน้างดงามอย่างมาก เทียบกับจิ๋งจิ่วแล้วด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือสีหน้าของนางดูใสซื่อ ให้ความรู้สึกไร้เดียงสา
โฉมงามเช่นนี้มักจะเป็นที่ชื่นชอบของบุรุษมากที่สุด
ดังนั้นสาวน้อยของสำนักเสวียนหลิงจึงไม่ชอบนาง เจ้าล่าเยวี่ยเองก็ไม่ชอบนาง
หญิงสาวของสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นสืบเท้าก้าวขึ้นไปข้างหน้า คารวะพลางกล่าวว่า “คารวะพระสนม”
สาวน้อยกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยเสียงเบาๆ “นางก็คือพระสนมที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดผู้นั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยได้ฟังพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางใต้ต้นไม้อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนี้เอง สาวงามคนกันก็หันมองมาทางเจ้าล่าเยวี่ย
สายตาสองคู่ประสานกันท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่โรยร่วงลงมา
อากาศตรงด้านหน้ากระท่อมคล้ายจับตัวกันอย่างไรอย่างนั้น
…………………………………………………………..
คอมเม้นต์