มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 64 เจ้าแบกรับไหวหรือ?
จิ๋งจิ่วมองดูชายชรา
ชายชราผู้นี้ย่อมต้องเป็นเทียนจิ้นเหริน
เขาถูกยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ทำนายดวงชะตาที่เข้าใกล้วิถีแห่งสวรรค์มากที่สุด
ทว่าจิ๋งจิ่วมิได้สนใจอะไรเขาแม้เพียงนิดเดียว ถึงแม้นอีกฝ่ายจะเอ่ยถึงจิ่งหยางขึ้นมาก็ตาม
กระทั่งได้ยินคำพูดประโยคนั้น เขาถึงได้จ้องมองอีกฝ่ายตรงๆ เป็นครั้งแรก
เพราะไม่ว่านี่จะเป็นการคาดเดา หรือเป็นการแต่งเรื่องหลอกลวงจนเป็นนิสัย อีกฝ่ายก็พูดถูก
เขามิได้สนใจอะไรในโลกนี้เลย
นี่ไม่ใช่ความลับ เพียงแต่เขาไม่มีความจำเป็น และไม่มีโอกาสจะไปป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้
หลิ่วสือซุ่ยและเจ้าล่าเยวี่ยน่าจะรับรู้ได้ เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับจิ๋งจิ่วแตกต่างกัน จึงไม่อาจทำการยืนยันได้
เทียนจิ้นเหรินกล่าวถูกต้องในจุดนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่เขาก็มิได้กล่าวอะไรต่อจากคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่ถามไปว่า “ได้ยินว่าทุกคนสามารถถามได้สามคำถาม”
พู่กันที่อยู่ในมือของเทียนจิ้นเหรินหยุดนิ่งอยู่บนกระดาษ กล่าวว่า “ถูกต้อง คำถามอะไรก็ได้”
ขณะที่พูด เขามิได้เงยหน้ามองจิ๋งจิ่ว
นี่มิได้หมายความว่าเขาไร้มารยาทแต่อย่างใด เพราะคนทั่วทั้งแผ่นดินต่างรู้ว่าดวงตาทั้งสองข้างของเขาไม่สามารถมองเห็นได้
จิ๋งจิ่วจ้องมองหน้าผากของเขา คล้ายคิดอยากจะมองเห็นอะไรบางอย่างจากรอยเหี่ยวย่นเหล่านั้น
เทียนจิ้นเหรินเองก็กำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่
ทั่วทั้งเมืองเจาเกอต่างรู้ว่าเขามาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่สวนดอกเหมยเก่าแห่งนี้
คนที่สามารถรู้ร่องรอยของเขา อีกทั้งมาที่นี่ได้อย่างเงียบๆ ล้วนแต่มิใช่คนธรรมดา
อย่างเช่น ลั่วไหวหนาน ชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้น แน่นอนว่าย่อมต้องรวมไปถึงเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วด้วย
ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ทำนายดวงชะตาที่มีชื่อเสียงที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน ทุกคำพูดและทุกการกระทำของเทียนจิ้นเหรินล้วนแต่สามารถส่งผลกระทบต่อคนผู้หนึ่งหรือกระทั่งสำนักสำนักหนึ่งได้
คนที่มีโอกาสขอคำชี้แนะจากเขา ล้วนแต่มีความระมัดระวังอย่างมากในการเลือกคำถามสามคำถาม
คนที่มายังสวนดอกเหมยในวันนี้ คำถามของพวกเขาล้วนแต่เกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์หรือไม่ก็ชะตาของแผ่นดิน แล้วจิ๋งจิ่วล่ะ?
เทียนจิ้นเหรินใคร่รู้ยิ่งนักว่าผู้ที่เป็นยอดฝีมือในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักชิงซานผู้นี้ ชายหนุ่มผู้แอบซ่อนความลับเอาไว้มากมายผู้นี้ วันนี้เขาจะถามคำถามอะไรตนเอง
เช่นนี้แล้ว เขาถึงจะสามารถทราบได้ว่าความลับของจิ๋งจิ่วคืออะไรกันแน่
จิ๋งจิ่วกระทั่งคิดก็มิได้คิด พลันถามคำถามของตัวเองออกไป
“ข้าอยากรู้ว่าพวกเขาถามอะไร”
สายลมบางเบาพัดพากลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้เข้ามาจากทางด้านนอกหน้าต่าง ก่อนจะถูกกลิ่นธูปกลืนกินไปอย่างรวดเร็ว
เหมือนกับเวลาที่ถูกช่วงเวลาดีๆ กลืนกินไป
ความเงียบสงบภายในกระท่อมมาจากการนิ่งเงียบของเทียนจิ้นเหริน
การนิ่งเงียบนี้มิได้เป็นเพราะคำถามนี้ยากที่จะตอบได้ หากแต่เป็นเพราะมันเหนือความคาดหมาย
เทียนจิ้นเหรินจำเป็นต้องคิดให้เข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วในการถามคำถามนี้
คนอย่างลั่วไหวหนาน หากทราบคำถามของเขาก็จะมีโอกาสเข้าใกล้ความลับของเขา นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ไม่มีใครที่จะเอาโอกาสที่สำคัญเช่นนี้ไปใช้สืบความลับของผู้อื่น
จนกระทั่งตอนนี้ เทียนจิ้นเหรินยังคงคิดว่าเมื่อครู่นี้จิ๋งจิ่วแสร้งทำเป็นต้องการเดินจากไป เพื่อที่จะทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น
เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนที่ไม่เสียดายโอกาสในการได้รับคำชี้แนะจากตน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เทียนจิ้นเหรินค่อยๆ วางพู่กันลงบนจานฝนหมึก ก่อนกล่าวประโยคหนึ่งว่า
“ล่วงรู้ความลับของผู้อื่น ย่อมต้องมีความได้เปรียบมากขึ้น แต่บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่สำคัญกว่าการรู้จักตัวเอง และคว้าอนาคตเอาไว้ได้?”
น้ำและน้ำหมึกในจานฝนหมึกที่แยกตัวจากกัน ถูกปลายพู่กันที่จุ่มลงไปกวนเข้าด้วยกันอีกครั้ง มิได้แยกตัวเป็นสีขาวดำอีก
“เรื่องของตัวเองยังต้องถามผู้อื่น เช่นนั้นถือล้มเหลวอย่างมาก”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเคยล้มเหลวมาก่อน ไม่ชอบความรู้สึกนั้น”
เทียนจิ้นเหรินมั่นใจแล้วว่าเขามิได้สนใจโอกาสนี้จริงๆ
เป็นความเงียบสงบอันยาวนานอีกครั้ง
เทียนจิ้นเหรินค่อยๆ กล่าวว่า “คำถามของลั่วไหวหนานเหมือนกับเจ้า แล้วก็แปลกประหลาดอยู่นิดหน่อย”
……
……
หน้าต่างเปิดอยู่ กลิ่นธูปภายในห้องยังคงอบอวล บนกระดาษเพิ่งจะเขียนตัวหนังสือลงไปแถวหนึ่ง น้ำและน้ำหมึกกำลังแยกตัวออกจากกัน
ลั่วไหวหนานยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะ ท่าทางดูเคารพ กล่าวชมไปหลายประโยค ได้รับการตอบกลับมา ก่อนจะกล่าวชมอีกครั้ง ราวกับตนเองไม่เคยใช้หมึกสุกมาก่อน
ส่วนเรื่องที่เทียนจิ้นเหรินมองไม่เห็น แต่เหตุใดจึงสามารถเขียนพู่กันจีนได้งดงามเช่นนี้ เขามิได้ถามมันออกไปเหมือนกับจิ๋งจิ่ว
สิ่งที่เขาถามคือ “ผู้อาวุโสดูคนมามากมายนับไม่ถ้วน ท่านกำลังดูสิ่งใดอยู่กันแน่?”
เทียนจิ้นเหรินกล่าว “สิ่งที่ข้าดูคืออดีตและอนาคต”
ลั่วไหวหนานนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ข้ายังอยากจะถามว่าอากาศของแคว้นเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง”
เทียนจิ้นเหรินหลับตา มิรู้ว่ากำลังคิดคำนวณอยู่ หรือกำลังลังเลว่าสามารถเผยความลับของสวรรค์ได้หรือไม่
“หลายปีมานี้แคว้นเสวี่ยอากาศหนาวเย็นมาก น่าจะหนาวเย็นไปอีกนาน”
“ยาวนานเหมือนช่วงเวลาที่หม้อไฟเป็นที่นิยมอยู่ในหมิงตู?”
“ถูกต้อง อย่างน้อยก็มากกว่าหนึ่งร้อยปี”
ครั้นได้ยินคำตอบนี้ บนใบหน้าของลั่วไหวหนานก็มีรอยยิ้มจริงใจปรากฏขึ้นมา เขากล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก”
ลั่วไหวหนานเองก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องของตน สิ่งที่เขาสนใจคือเผ่าพันธุ์มนุษย์
คำถามแรกนั้นไม่นับ เขาใช้คำถามสองข้อหลังทำให้ตนเองได้รับคำตอบที่ต้องการอย่างชาญฉลาด
อากาศของแคว้นเสวี่ยและหม้อไฟของหมิงตูก็ยังดำเนินไปอีกร้อยปี เช่นนั้นตอนนี้มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ
……
……
คำถามของลั่วไหวหนานไม่ได้เหนือไปจากที่จิ๋งจิ่วคิดเอาไว้
เช่นนั้นเจ้าล่าเยวี่ยล่ะ?
เทียนจิ้นเหรินกล่าว “นางยืนอยู่ตรงหน้าข้า ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้าย…ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา”
จิ๋งจิ่วคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่
เทียนจิ้นเหรินกล่าว “ต่อไป เจ้ายังเหลืออีกสองคำถาม”
“ในเมื่อนางมิได้ถาม เช่นนั้นข้าก็ไม่ถามแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นทั้งท่านและข้าต่างทราบดี ที่ท่านให้ข้าเข้ามา มิใช่เป็นเพราะอยากฟังข้าถามท่าน หากแต่เป็นเพราะท่านอยากถามข้า”
เทียนจิ้นเหรินค่อยๆ ยืนขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่าง มิรู้ว่ามองไปที่ใด แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาที่ดวงตามืดบอดทั้งสองข้างจะมองเห็นอะไร
จิ๋งจิ่วกล่าว “เป็นเจี้ยนซีไหลที่ต้องการถาม หรือว่าฮ่องเต้ หรือเป็นผู้ใดในสำนักชิงซาน?”
เทียนจิ้นเหรินกล่าว “จริงอยู่ที่ข้าได้รับไหว้วานมา แต่ข้าไม่มีทางบอกเจ้าว่าเป็นใคร เพราะเจ้าได้ทิ้งคำถามสองข้อสุดท้ายไปแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เช่นนั้นทำไมท่านถึงคิดว่าข้าจะตอบคำถามท่าน?”
เทียนจิ้นเหรินพลันพูดถึงเรื่องอื่นขึ้นมา “หากความรู้สึกของข้าไม่ผิด เจ้าน่าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงใบหน้า หากแต่เป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง”
เทียนจิ้นเหรินกล่าวอย่างเฉยฉา “เช่นนี้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนแก่อย่างข้า เจ้าจะต่างอะไรกับเด็กทารกที่เปลือยกายล่อนจ้อน?”
คำพูดมิได้กล่าวชัดเจน แต่ความหมายกลับชัดเจนอย่างมาก
ดวงตาเขามองไม่เห็นสรรพสิ่ง แต่ขอเพียงจำเป็นต้องมอง ก็สามารถมองทะลุการเสแสร้งอำพรางทุกอย่าง แม้นจะเป็นความลับของสวรรค์ก็ตาม
เพราะเขาคือเทียนจิ้นเหริน
จิ๋งจิ่วกล่าว “ท่านแน่ใจจริงหรือว่าจะลองดูข้า?”
เทียนจิ้นเหรินกล่าว “ถูกต้อง หรือว่าเจ้าไม่กล้า?”
จิ๋งจิ่วมองเขาพลางกล่าว “ท่านแบกรับไหวหรือ?”
เทียนจิ้นเหรินกล่าว “กระทั่งวิถีแห่งสวรรค์ข้ายังกล้าดูมาแล้ว นับประสาอะไรกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง”
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปทางจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วมิได้หลบ หากแต่มองตอบกลับไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา รอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นลึกขึ้น
ดวงตาของเขามืดบอดไปนานแล้ว เหลือเพียงแค่ลูกตาที่เป็นสีขาว ไม่มีตาดำ ดูคล้ายหยกทรงกลมที่ฝังลงไปพร้อมกับศพในสุสาน
ดวงตาคู่นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก คล้ายดั่งมีเวทมนตร์อะไรบางอย่าง สามารถดูดกลืนแสงสว่างทั้งหมด รวมไปถึงแววตาด้วย
สายตาของจิ๋งจิ่วค่อยๆ เฉยชาขึ้น จากนั้นมิได้เปลี่ยนแปลงอีก
คล้ายกับใบไม้ที่ร่วงตกลงไปในบ่อโคลน ไม่สามารถลอยขึ้นมาตามลมได้อีก มีแต่จะต้องจมลงไป
เวลาภายในกระท่อมเองแปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า จากนั้นจึงหยุดลง
…………………………………………………………
คอมเม้นต์