มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 69 จุดไฟดูหมากล้อมและดูคน
การเคลื่อนไหวอันนี้ของจิ๋งจิ่วทำให้เขากลายเป็นที่สังเกตอีกครั้ง
ทุกคนเริ่มคาดเดาขึ้นมาอีกครั้งถึงสถานะของเขา
ยืนอยู่ข้างกระดาน สามารถมองเห็นสถานการณ์บนกระดานได้อย่างชัดเจน มองเห็นกระทั่งรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ามหาบัณฑิตกัวและมองเห็นว่าคิ้วที่บางเบาของชายหนุ่มผู้นั้นเลิกขึ้นมาอย่างไร ยอดฝีมือทางวิถีหมากที่คอยชมการประลองเหล่านั้นได้แต่ต้องยืนอยู่ในที่ที่ห่างออกไป จึงย่อมต้องรู้สึกอิจฉาตำแหน่งของเขา เกิดความรู้สึกอยากจะเข้าไปแทนที่ ต่อให้แค่ไปคอยช่วยรินชาอยู่ด้านข้างก็ถือว่าดีมากแล้ว ใครจะไปคิดบ้างว่าเขาจะนั่งลงไปแบบนี้ ทำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
เดี๋ยวๆ แล้วเขาไปเอาเก้าอี้ตัวนั้นมาจากไหน?
การเดินหมากได้ผ่านช่วงต้นกระดานมาแล้ว กำลังเข้าสู่ช่วงกลางกระดาน ในที่สุดสถานการณ์บนกระดานก็ดูชัดเจนขึ้นมาบ้าง
มหาบัณฑิตกัวครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะวางหมากลงไป ความรู้สึกดีเป็นอย่างมาก ในที่สุดอารมณ์ก็ผ่อนคลายลงบ้าง จากนั้นเขาสังเกตเห็นจิ๋งจิ่ว
เขามองดูเก้าอี้ไม้ไผ่ของจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวถามอย่างยิ้มๆ ว่า “เอาชาซักถ้วยไหม?”
จิ๋งจิ่วถาม “ชาอะไร?”
มหาบัณฑิตกัวกล่าว “ชาเหมาเจียนที่ส่งมาจากซิ่นหยาง”
จิ๋งจิ่วไม่รู้เรื่องชา แล้วก็ไม่ค่อยได้ดื่มชา แต่เขารู้จักชื่อนี้ จึงกล่าวว่า “อย่างนั้นก็เอามาถ้วยนึง”
ผู้ดูแลแห่งทำเนียบบัณฑิตคอยยืนรออยู่ด้านข้าง ผ่านไปไม่นานก็ยกชามาสามถ้วย
จิ๋งจิ่วเปิดฝาถ้วยชา กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ลอยออกมาพร้อมไอร้อน
ในเวลานี้เอง ชายหนุ่มผู้นั้นทำการตอบโต้ออกมา เขาวางหมากตัวหนึ่งไปบนมุมขวาของกระดาน
มือที่ถือถ้วยชาของมหาบัณฑิตกัวพลันชะงักเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่งอย่างมาก มิได้ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้า
……
……
ต็อก…ต็อก…นี่มิใช่เสียงเดินของเวลา หากแต่เป็นเสียงตัวหมากที่วางลงไปบนกระดาน
แสงอาทิตย์ยังคงเคลื่อนคล้อย ท้องฟ้ายามเย็นค่อยๆ สลัว ทัศนวิสัยเริ่มไม่ชัดเจน มีคนเตรียมโคมไฟเอาไว้แล้ว บนถนนพลันสว่างคล้ายเวลากลางวัน
การประลองดำเนินมาถึงช่วงกลางกระดาน ตัวหมากที่อยู่บนกระดานมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์บนกระดานมีความซับซ้อนอย่างมาก แต่สำหรับยอดฝีมือทางวิถีหมากล้อมที่คอยชมการประลองเหล่านั้น นี่กลับทำให้พวกเขามองเห็นได้ชัดขึ้น
พวกเขาพากันขยับไปยืนอยู่ฝั่งเดียวกับมหาบัณฑิตกัว ครุ่นคิดว่าจะแก้สถานการณ์บนกระดานที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร
บางคนขมวดคิ้วขึ้นมา บางคนกัดนิ้วมือของตัวเอง บางคนหยิบพัดขึ้นมาพัดไม่หยุด ทั้งๆ ที่อยู่ในค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเล็กน้อยก็ตาม บ่างคนส่ายศีรษะอย่างเศร้าสร้อย
แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือสีหน้าของพวกเขาดูเคร่งเครียดอย่างมาก คล้ายกับมหาบัณฑิตกัวที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในขณะนี้
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน มองดูสีหน้าท่าทางของคนที่อยู่รายรอบแผงหมากล้อม รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ จากนั้นสายตาก็เลื่อนมองไปที่ตัวจิ๋งจิ่วอีกครั้ง
มีเพียงนางที่สังเกตเห็นว่ามือขวาของจิ๋งจิ่วที่อยู่ด้านล่างของเก้าอี้ไม้ไผ่กำลังขยับเล็กน้อย
นี่ทำให้นางคิดถึงหลายๆ วันที่อยู่ในชิงซาน
ในวันเวลาเหล่านั้น จิ๋งจิ่วจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่แบบนี้ หว่างนิ้วคีบเม็ดทรายเอาไว้ พรางครุ่นคิดว่าควรจะวางเอาไว้ในตำแหน่งไหนของจานกระเบื้องดี
วันนี้ เขาคิดคำตอบได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
“ข้าแพ้แล้ว”
การครุ่นคิดอันยาวนานของมหาบัณฑิตกัวไม่มีคำตอบ
เขาถอนหายใจ ยอมรับผลลัพธ์
เสียงของเขาฟังดูค่อนข้างเหนื่อยล้า แต่ที่มากกว่านั้นคือความผ่อนคลายเหมือนยกภูเขาออกจากอก พูดอีกอย่างก็คือปลดเปลื้อง
บนถนนมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา ก็จะเงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว
สายตาของพวกเขาเลื่อนจากบนกระดานไปยังใบหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามผู้นั้น
หมากดำขาวกระจายตัวอยู่บนกระดาน นี่คือการระบายอย่างไร้กฎเกณฑ์ของสีสองสี มีความรู้สึกงดงามที่แปลกใหม่อย่างหนึ่ง คล้ายเป็นการมีอยู่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลับพึ่งพาอาศัยกัน ก่อนจะดับสลายลงไปพร้อมกัน
การเดินของหมากดำหนักแน่น คล้ายภูเขาอันหนักอึ้ง ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
แต่หมากขาว…กลับมิได้อยู่บนพื้น มันคล้ายกับหมู่ดวงดาราที่กระจัดกระจายอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ทางตะวันออกมีอยู่สองสามดวง ทางตะวันตกมีอยู่สิบกว่าดวง ดูเหมือนสะเปะสะปะ แต่ในนั้นกลับมีกฎเกณฑ์ของมันอยู่
กฎเกณฑ์แบบนั้นน่าพิศวงเป็นยิ่งนัก คล้ายกับหลักเหตุผลที่เป็นจริงที่สุดบนโลกนี้ ยากที่จะเข้าใจได้ แล้วจะไปทำลายลงได้อย่างไร?
มหาบัณฑิตกัวยืนขึ้น ก้มมองดูกระดานอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะถอนใจออกมาอีกครั้ง
“กำลังมนุษย์ไม่อาจเอาชนะสวรรค์ได้จริงๆ ข้าโลภมากไปแล้ว”
ชายหนุ่มกล่าว “ท่านมหาบัณฑิตบำเพ็ญพรตช้าเกินไป กำลังของจิตมีจำกัด ยากจะทนแบกรับได้”
มหาบัณฑิตหัวยิ้มเจื่อนมิกล่าวกระไร ดูเศร้าเสียใจเล็กน้อย
ในฐานะที่เป็นมือหนึ่งของอาณาจักร มีหรือที่เขาจะไม่รู้ถึงหลักเหตุผลนี้ เพียงแต่…สุดท้ายแล้วก็ยังรู้สึกยากที่จะยอมรับได้
เขายืดตัวขึ้นมา หมุนตัวเตรียมเดินจากไป ร่างกายโงนเงนจนเกือบจะล้มลง โชคดีที่ผู้ดูแลของทำเนียบบัณฑิตคอยยืนอยู่ด้านข้าง จึงรีบเข้ามาพยุงเอาไว้
เมื่อมาถึงตอนนี้ กระทั่งเจ้าของแผงหมากรุกที่ถูกไล่ออกไปอยู่ไกลๆ เหล่านั้นก็ทราบแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้คือใคร
สามารถเอาชนะมหาบัณฑิตกัวซึ่งเป็นมือหนึ่งของอาณาจักรได้ในช่วงกลางกระดาน
ทั่วทั้งโลกนี้มีแค่คนเดียว
ถงเหยียนแห่งจงโจว
……
……
ถงเหยียนเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักจงโจว เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่น
แต่สิ่งที่ทำให้เขามีชื่อเสียงมากกว่านั้นก็คือ เขาเป็นอันดับหนึ่งทางวิถีหมากล้อมในใต้หล้าอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ส่วนใหญ่เขาจะประลองหมากล้อมกับศิษย์ร่วมสำนักในเขาอวิ๋นเมิ่ง นอกจากงานชุมนุมเหมยฮุ่ยสามครั้งก่อนหน้านี้แล้วก็แทบจะไม่เคยแสดงฝีมือมาก่อน แล้วก็แทบจะไม่เคยพูดคุยกับยอดฝีมือทางวิถีหมากล้อมของเมืองเจาเกอและที่ต่างๆ
แต่ไม่มีผู้ใดหาญกล้าแสดงความสงสัยตำแหน่งอันนี้ของเขา
เพราะทุกคนต่างเคยดูบันทึกการเดินหมากของเขา
จุดที่การประลองแห่งวิถีหมากล้อมแตกต่างไปจากสิ่งอื่นก็คือการที่มันสามารถวิเคราะห์ถึงระดับของคนคนหนึ่งได้อย่างแม่นยำด้วยการดูบันทึกการเดินหมาก
โดยเฉพาะคนอย่างถงเหยียน
บันทึกการเดินหมากของเขาเพียงพอที่จะทำให้คนที่เล่นหมากล้อมจำนวนมากรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง
ปัญหาอยู่ที่ว่า เหตุใดเขาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ถึงต้องมาหาเรื่องเหล่าเจ้าของแผงหมากรุกที่ถนนของเมืองเจาเกอเส้นนี้ด้วย
ถงเหยียนมิได้ตอบคำถามนี้
เขาเหลียวหน้าไปมองข้างโต๊ะ กล่าวถามว่า “เจ้าดูเข้าใจหรือยัง? จิ๋งจิ่ว”
มหาบัณฑิตกัวที่เตรียมจะเดินจากไปพลันชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองดูเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น รู้สึกตกใจยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วถอดหมวกลี่เม่าออก
โคมไฟที่แขวนอยู่ริมถนนส่องสว่างใบหน้าของเขา
ใบหน้าที่งดงามจนไม่สามารถบรรยายได้ใบหน้านั้น
ผู้คนฮือฮา มีเสียงอุทานตกใจและอุทานชมเชยดังขึ้นมาไม่หยุด
แสงไฟริบหรี่
มีเพียงเทพเซียนจึงจะมีใบหน้าเช่นนี้ได้
นี่คือจิ๋งจิ่วที่ร่ำลือกันอย่างนั้นหรือ?
วันนี้ถงเหยียนมาที่นี่เพื่อรอเขาอย่างนั้นหรือ?
หลายคนคิดถึงข่าวลือหนึ่งขึ้นมา
เมื่อปีที่แล้วจิ๋งจิ่วเคยกล่าวเอาไว้ในงานเลี้ยงซื่อไห่และงานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซานว่า — เขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย และเอาชนะถงเหยียนในการประลองวิถีหมากล้อม
ถงเหยียนมิได้มาที่นี่เมื่อหาเรื่องแผงหมากรุกเหล่านี้ หากแต่มาเพื่อหาเรื่องเขา? เล่นหมากล้อมให้เขาดู เพื่อจะขู่เขาอย่างนั้นหรือ?
แต่ไม่นานทุกคนก็ล้มเลิกความคิดของตัวเองไป
ถงเหยียนหยิ่งยโสเย็นชา มองไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา แล้วจะมาทำเรื่องแบบนี้เพียงเพราะผู้ท้าชิงคนหนึ่งได้อย่างไร?
ถึงแม้จิ๋งจิ่วจะได้อันดับที่หนึ่งในการประลองหมากล้อมของงานเลี้ยงซื่อไห่ แล้วจะอยู่ในสายตาเขาได้อย่างไร?
ผู้ที่มาชมการประลองในวันนี้มีบุคคลสำคัญหลายคน พวกเขาต่างก็ได้รับสมุดเล่มเล็กที่เจวี่ยนเหลียนเหรินเขียนขึ้นมาเพื่องานชุมนุมเหมยฮุ่ยเล่มนั้น
พวกเขาจำได้อย่างแม่นยำ ในรายการประลองวิถีหมากล้อม ถงเหยียนย่อมต้องอยู่ในอันดับที่หนึ่ง จิ๋งจิ่วอยู่ในอันดับท้ายๆ มิได้อยู่ในสิบคนแรกด้วยซ้ำ
อย่างนั้นวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น?
คำถามข้อนี้ของถงเหยียนมีความหมายอะไรลึกซึ้งอย่างนั้นหรือ?
หมากล้อม เดิมทีนั้นเป็นเกมที่ง่ายที่สุด
หมากดำและหมากขาว ผลัดกันวางลงไปบนกระดาน ไม่มีอะไรยากเย็น แม้จะเป็นเด็กเล็ก ใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวก็สามารถเข้าใจกฎการเล่นพื้นฐานได้
และเป็นเพราะว่าง่ายดาย มันจึงยากที่สุด
อะไรถึงเรียกว่าดูเข้าใจ?
จิ๋งจิ่วจะตอบอย่างไร?
……………………………………………………………….
คอมเม้นต์