มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 102 ข้าสงสารคนบนโลกที่มีเรื่องน่าเศร้ามากมาย
เจ้าล่าเยวี่ยเตรียมตัวบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่เล็ก อาศัยอยู่แต่ในบ้านไม่ค่อยออกไปไหน นอกจากคนในบ้านและคนใช้แล้ว คนที่นางได้พูดคุยด้วยก็มีแค่เพียงคนที่บำเพ็ญพรตเหมือนกัน ที่ผ่านมาไม่เคยคิดถึงปัญหาเหล่านี้มาก่อน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพูดเรื่องเหล่านี้กับคนอื่น เพราะว่ามันน่าเบื่อหน่าย อีกทั้งไร้สาระ ดังนั้นนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะพูดเช่นกัน”
จิ๋งจิ่วมองนาง ก่อนกล่าวอย่างเรียบเฉย “ปีศาจกินคน ผู้บำเพ็ญพรตก็กินคน บ้างกินจริง บางกินไม่จริง แต่ล้วนคือการกิน”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู๋ ก่อนกล่าวว่า “เหมือนกับคนหาไข่มุกที่เจ้าเคยเล่าให้ฟังตอนอยู่เมืองไห่โจวน่ะหรือ? แต่ยังไงทั้งสองอย่างมันก็ต้องมีความแตกต่างกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “โดยสรุปแล้ว สำนักบำเพ็ญพรตก็จำเป็นต้องให้คนธรรมดามาคอยเลี้ยงดู แล้วผู้บำเพ็ญพรตเคยทำอะไรให้คนธรรมดาบ้าง?”
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้ว กล่าวว่า “สะพานทงเทียนที่มณฑลหนานเหอ พวกเราล้วนแต่เคยเดิน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง ผู้บำเพ็ญพรตสามารถสร้างสะพานเบิกภูเขา กำจัดปีศาจขจัดความชั่วให้กับคนธรรมดาได้ แต่เมื่อเทียบกับความสามารถของพวกเขาแล้ว สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตทำยังน้อยเกินไป เพราะการบำเพ็ญพรตคือการฝึกฝนตนเอง คล้ายกับสำนักชิงซานของพวกเรา หากไม่เป็นเพราะว่าไม่มีโอกาสบรรลุสภาวะ เหล่าศิษย์รุ่นที่สองเหล่านั้นก็คงไม่ยอมเป็นแม้กระทั่งเป็นอาจารย์สอนศิษย์นอกสำนัก แล้วนับประสาอะไรกับการออกไปกำจัดความชั่วยังโลกภายนอกล่ะ?”
“ความหมายของเจ้าคือ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตปฏิบัติต่อคนธรรมดานั้นเหมือนกับการเลี้ยงแกะ?”
เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวว่า “การซ่อมสะพานเป็นแค่เพียงการช่วยพวกเขาสร้างคอกแกะให้แข็งแรงขึ้นเท่านั้น ส่วนการกำจัดมารก็แค่เพราะกลัวว่าหมาป่าจะมากินแกะของตัวเองมากเกินไป?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เปรียบเทียบได้ดี แต่ยังไม่ถูกต้องเท่าไรนัก ผู้บำเพ็ญพรตเองก็มาจากคนธรรมดาเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายมีความซับซ้อนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเด็กเลี้ยงแกะกับแกะมากมายหลายเท่านัก”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “จะทำให้เกิดปัญหาอะไร?”
“แกะไม่มีทางอิจฉาริษยาเด็กเลี้ยงแกะ เพราะไม่มีแกะที่ไหนจะกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แต่คนธรรมดาอิจฉาริษยาผู้บำเพ็ญพรต เพราะพวกเขามีอดีตเพื่อนมนุษย์กลายเป็นผู้บำเพ็ญพรต”
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา กล่าวว่า “จะแก้ปัญหานี้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ผู้แข็งแกร่งครอบครองทุกสิ่ง ดังนั้นที่แล้วมาแผ่นดินเฉาเทียนจึงปกครองโดยผู้บำเพ็ญพรต ในตอนนี้สถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ราชวงศ์ตระกูลจิ่งเป็นแค่ผู้ดูแลที่สำนักบำเพ็ญพรตใหญ่ๆ ทั้งหมดผลักดันขึ้นมาโดยพิจารณาจากความสมดุลในหลายๆ ด้าน แน่นอนว่าราชวงศ์ตระกูลจิ่งเองก็ใช้ประโยชน์จากการรักษาสมดุลนี้ในการขยายความยิ่งใหญ่ของตน เพื่อสืบทอดอำนาจต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน”
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงกล่าวว่า “ที่แท้ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่งานชุมนุมเหมยฮุ่ย”
“ถูกต้อง ในตอนนั้นก็เป็นงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่กำหนดโครงสร้างบนแผ่นดินในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ เพียงแต่หลังจากนั้นได้มีผู้บำเพ็ญพรตบางคนเกิดความคิดบางอย่างที่แตกต่างออกไป”
จิ๋งจิ่วกล่าว “พวกเขาคิดว่าโครงสร้างแบบนี้มันมั่นคงเกินไป ประสิทธิภาพในการหมุนเวียนค่อนข้างต่ำ เผ่าพันธุ์มนุษย์พัฒนาช้าเกินไป ไม่สามารถกำจัดภัยคุกคามจากแคว้นเสวี่ยได้อย่างแท้จริง”
เจ้าล่าเยวี่ยถามอย่างสงสัย “เช่นนั้นพวกเขาเตรียมจะทำอะไร?”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “พวกเขาคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมีความสุขมากเกินไปได้ อย่างน้อยก็ก่อนที่แคว้นเสวี่ยจะถูกกำจัดทิ้ง นอกจากนี้พวกเขายังคิดว่าคนธรรมดาไม่ควรได้รับการดูแลมากเกินไป ผู้บำเพ็ญพรตควรจะฉีกหน้ากากเสแสร้งจอมปลอมออก แล้วกดขี่คนธรรมดาให้กลายเป็นทาส ขณะเดียวกันก็ทำการคัดเลือกครั้งใหญ่ คัดเลือกเอาคนธรรมดาที่มีศักยภาพที่จะบำเพ็ญเพียรได้ จากนั้นใช้วิธีต่างๆ ในการเร่งการเติบโตของพวกเขา ขยายกองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์”
ดวงตาดำของเจ้าล่าเยวี่ยมีความรู้สึกตกใจปรากฏขึ้นมา พลางกล่าวว่า “ก็เหมือนกับการเลี้ยงแกะจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร
……
……
เขาซีไหวที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองเจาเกอ
หนึ่งพันเจ็ดล้อยลี้
ที่นี่เพิ่งจะออกมาจากขอบเขตข่ายพลังของเขาอวิ๋นเมิงพอดี
บนหน้าผาล้วนแต่เต็มไปด้วยหมอก เมื่อพระอาทิตย์ยามเช้าลอยตัวขึ้นไป ไอหมอกระเหยขึ้นไป ทิวทัศน์บนหน้าผาแปรเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมาหน่อย
ชายหนุ่มนั่งอยู่ริมผา ในมือถือเบ็ดไม้ไผ่คันหนึ่ง
ปลายเบ็ดมีเชือกห้อยลงไปยังด้านล่างหน้าผา ไม่ได้จมลงไปในน้ำตกสายหนึ่ง
เสียงน้ำดังครืนๆ น้ำตกไหลเชี่ยว แต่เชือกเส้นนั้นกลับลอยนิ่งมิไหวติง
วันนั้นเขาตกนกอยู่ในเมฆ วันนี้เขาจะตกอะไรในน้ำตก?
คล้ายจะมองเห็นเงาที่ดำขนาดเล็กจำนวนหนึ่งกำลังว่ายไปมาอยู่ในน้ำตก รวดเร็วเป็นอย่างมาก สามารถแหวกว่ายไปมาในม่านน้ำที่คล้ายตั้งฉาก มิรู้ว่าเป็นปลาประหลาดชนิดใด
เงาดำเหล่านั้นจ้องมองดูปลายเชือก ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตราย แต่กลับไม่ยอมจากไปไหน เหมือนพวกมันจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ละโมบอย่างมากเช่นเดียวกัน
ชายชราที่ผอมเตี้ยผู้นั้นนั่งยองๆ อยู่ข้างชายหนุ่ม เขาใช้มือถูจมูกที่ออกแดงเรื่อของตัวเองเป็นครั้งคราว มองดูแล้วช่างคล้ายสุนัขตัวหนึ่งจริงๆ
ชายหนุ่มพลันเงยหน้าขึ้นมา มองออกไปยังหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
ชายชรามองตามออกไป ด้วยพลังสายตาของเขาย่อมต้องมองเห็นเด็กชายที่เดินกะโผลกกะเผลกคนหนึ่งกำลังปีนขึ้นไปบนภูเขาอย่างยากลำบาก โดยด้านหลังสะพายห่อสัมภาระเอาไว้
“เขากับหลิ่วสือซุ่ยไม่เหมือนกัน เพลิงที่อยู่ในใจหลิ่วสือซุ่ยเป็นเพลิงปลอม แต่เขากลับเคียดแค้นจริงๆ วิชาที่อ่อนด้อยของสำนักซานชิงเหล่านั้นไม่คู่ควรให้เขาร่ำเรียน”
ชายหนุ่มมองชายแก่ กล่าวว่า “ให้เขาเป็นเจ้าสำนักเสวียนอินของเจ้าดีหรือไม่?”
ชายชรากล่าว “น่าสนใจ อย่างไรเสียลูกศิษย์และศิษย์หลานของข้าเหล่านั้นก็ไม่เคยกตัญญูต่อข้า แล้วก็ไม่เคยคิดช่วยข้าที่เป็นบรรพจารย์ของสำนักแก้ไขปัญหา พวกเขาล้วนสมควรตาย”
ชายหนุ่มเอาคันเบ็ดเสียบเข้าไปในซอกหิน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมองทอดไกลออกไป
พริบตาที่มือของเขาออกห่างจากคันเบ็ด เหล่าเงาดำเล็กๆ ที่อยู่ในน้ำตกเหล่านั้นก็พุ่งกระโจนเข้าไปหาเชือกราวกับสายฟ้าสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน
สายน้ำแตกกระเซ็นพร้อมกับเสียงร้องประหลาดแสบแก้วหู
ชายหนุ่มมิสนใจ เขามองดูทางด้านนั้น จากนั้นพลันกล่าวขึ้นมา “เจ้าว่าให้เขากระโดดลงไปเจอถ้ำ หรือว่าตกลงไปในทะเลสาบแล้วเจอหีบสมบัติดี”
ชายชรายิ้มพลางกล่าว “ข้าคิดว่ายังไงก็ได้”
ชายหนุ่มพลันถามขึ้นมา “เจ้าอยากจะฆ่าข้าใช่ไหม?”
ชายชราสีหน้าเป็นปกติ มิได้กล่าวกระไร
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับมามองเขา ใบหน้าอันงดงามยังคงมีรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร
ชายชรานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่อยากปิดบังเจ้า เพราะมันไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นก็ปิดบังเจ้าไม่ได้ ถูกต้อง วันนี้ข้ารู้สึกอยากจะฆ่าเจ้าจริงๆ”
ชายหนุ่มกล่าว “เพราะเหตุใด?”
“ลูกศิษย์และศิษย์หลานของข้าเหล่านั้นไม่กตัญญูต่อข้า นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าข้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน พวกเขาไม่สามารถช่วยข้าแก้ปัญหานี้ได้ เป็นเพราะพวกเขาสู้สำนักชิงซานของพวกเจ้าไม่ได้ แต่นี่มิได้หมายความว่าพวกเขาไม่รักหรือไม่เคารพข้า ในงานบูชาบรรพชนของทุกปี รูปของข้ายังคงถูกตั้งอยู่ในลำดับที่สามอย่างแน่นอน”
ชายชรายิ้มเยาะขึ้นมาพลางกล่าวว่า “สำนักข้าถูกสำนักฝ่ายธรรมะของพวกเจ้ากดหัวเอาไว้นับพันปี ใช้ชีวิตมิต่างอะไรกับสุนัข ไม่ง่ายเลยจริงๆ กว่าที่ช่วงหลายปีมานี้จะมีความหวังขึ้นมาบ้าง ข้าซึ่งเป็นปรมาจารย์ย่อมต้องคิดที่จะทำอะไรเพื่อสำนักบ้าง แต่ในเวลานี้เจ้ากลับต้องการให้ข้าถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าคนพิการที่ไม่รู้จักคนนี้ เจ้าว่าข้าสมควรจะโกรธหรือเปล่า?”
“นั่นสิ ได้ยินว่านายน้อยคนนั้นของสำนักเสวียนอินในตอนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ดูเหมือนเจ้าคิดจะถ่ายทอดวิชาให้เขาสินะ”
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าว “แต่ข้าคิดว่าแบบนี้มันน่าสนุก ดังนั้นเอาตามนี้นี่แหละ”
ชายชราหรี่ตา มิได้กล่าวกระไรอีก
เขาย่อมต้องอยากจะฆ่าชายหนุ่มผู้นี้ และได้รับอิสระอย่างแท้จริง
แต่เขามิได้ลงมือ เขาย่อมต้องมีเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถลงมือได้
ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะชายชรา ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเวทนา
เวทนามิใช่เห็นใจ มันให้ความรู้สึกที่ดูแคลนมากกว่า
ชายชราคือมารร้ายที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เป็นหนึ่งในผู้หลบหนีกระบี่ที่มีชื่อเสียง ปรมาจารย์อันดับสามของสำนักเสวียนอิน
แล้วใครล่ะจะมีสิทธิ์เวทนาเขา?
หรือว่า
คนที่ชายหนุ่มรู้สึกเวทนาคือตนเอง
…………………………………………………………………
คอมเม้นต์