มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 106 มาดูพวกเจ้า
ในดินแดนทางเหนืออันห่างไกล ตรงฝั่งทะเลมั่วไห่มีหมู่ขุนเขาแห่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากที่ราบหิมะ ไร้ซึ่งคนอยู่อาศัย รกร้างเปล่าเปลี่ยวเป็นยิ่งนัก
หมู่เขาที่ว่านั้น ความจริงแล้วระยะห่างระหว่างยอดเขาแต่ละยอดเขาล้วนแต่ห่างไกลกันอย่างมาก มองไปแล้วคล้ายกับด้วงที่มุดขึ้นมาจากแป้ง
ที่ราบหิมะเป็นสีขาว แต่ภูเขากลับเป็นสีดำ เฉดสีมีอยู่เฉดเดียว มองดูนานๆ แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายตา
ว่ากันว่าในอดีตที่นี่คือจุดกำเนิดของสำนักว่านซง ภายหลังถูกคลื่นอสูรจำนวนมหาศาลบุกทำลาย ไม่เหลือเศษซากร่องรอยใดๆ
ที่นี่อยู่ใกล้ชายแดนของแคว้นเสวี่ย แม้นจะเป็นฤดูร้อน แต่อากาศยังคงหนาวเย็นอย่างมาก
โดยเฉพาะสายลมอันรุนแรงเหนือชั้นเมฆบนท้องฟ้าที่หนาวเหน็บดุจคมมีด ไม่ว่าจะขี่กระบี่หรือขี่อาวุธวิเศษก็ล้วนแต่ไม่อาจรั้งอยู่บนท้องฟ้าได้นานนัก รถลากบินที่สามารถสกัดกั้นความหนาวเย็นได้ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ เนื่องจากความเร็วที่ค่อนข้างช้า จึงอันตรายเกินไป มีแต่ต้องใช้สุดยอดอาวุธวิเศษของสำนักบำเพ็ญพรตใหญ่ๆ ถึงจะสามารถเดินทางไปมาได้อย่างอิสระ
หากมีผู้บำเพ็ญพรตบินไปมาอยู่บนท้องฟ้าหรือว่าไปอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวที่สูงที่สุดทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือลูกนั้น จากนั้นมองไปทางทิศเหนือ ก็จะสามารถมองเห็นว่าบนที่ราบหิมะรัศมีขนาดพันลี้นั้นมีคลื่นอากาศกระเพื่อมขึ้นมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ ภูเขาสีดำเหล่านั้น ทุกๆ ขณะหนึ่งจะสามารถมองเห็นสายลมอันรุนแรงฉีกกระชากเมฆดำหนักอึ้งที่ลอยต่ำลงมาออกเป็นชิ้นๆ ลำแสงกระบี่และลำแสงอาวุธวิเศษส่องแสงสว่างตัดกันไปมา บนพื้นที่ราบหิมะมีพายุหิมะก่อตัวขึ้นมาราวกับมังกรกำลังม้วนตัว ปะปนไปด้วยเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหูและเสียงคำรามที่ทุ้มต่ำ ดูคล้ายดอกไม้ไฟจำนวนนับไม่ถ้วน
—-นั่นคือผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้ารวมการประลองวิถีพรตกำลังไล่ฆ่าสัตว์ประหลาดของแคว้นเสวี่ยอยู่
รอบๆ ภูเขาอันโดดเดี่ยวเงียบสงบ ในภูเขายิ่งเงียบสงัด
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งบริเวณหน้าผา สายตาทอดมองดูที่ราบหิมะที่อยู่ไกลออกไป นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
บนปลายสุดของยอดเขามีหิมะในฤดูหนาวหลงเหลืออยู่ ขนตาของเขามีผลึกน้ำค้างแข็งจับตัว แต่เวลานี้มิใช่เวลารุ่งเช้า หากแต่เป็นเวลายามเย็นแล้ว
ห่างออกไปหลายร้อยจ้างมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในก่อกองไฟเอาไว้กองหนึ่ง ผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์สี่คนนั่งล้อมกองไฟ
เห็นได้ชัดว่ากองไฟกองนี้เพิ่งจะจุดขึ้นมา เปลวไฟยังไม่ลุกเต็มที่ แสงไฟตกกระทบลงบนใบหน้าของพวกเขา ดูสลัวเล็กน้อย ทำให้อารมณ์ร้อนใจบนใบหน้ายิ่งดูชัดเจน
ชายหนุ่มที่สวมชุดนักพรตสีขาว ใบหน้าเย็นชาคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เขาเดินออกไปนอกถ้ำ ตรงไปยังตำแหน่งที่จิ๋งจิ่วนั่งอยู่
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เดินกลับมาพลางส่ายศีรษะ
คนผู้นี้คือหลูจิน เป็นศิษย์ของสำนักเสวียนเทียน ถนัดวิชาเกี่ยวกับไฟ เหมาะกับการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นมากที่สุด มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมที่นั่งอยู่ข้างเขาขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย พลางถอนใจออกมาอย่างผิดหวัง
เขาคืออู่หมิงจง เป็นศิษย์หนุ่มของสำนักอู๋เอินเหมิน ฝึกวิชาโล่กระบี่ที่หาได้ยาก สามารถสร้างม่านพลังอันแข็งแกร่งขึ้นมาได้ เขาเองก็ไม่พอใจกับสถานการณ์ของกลุ่มในเวลานี้ แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของสำนักอู๋เอินเหมินและสำนักชิงซาน เขาจึงพูดอะไรมากไม่ได้
สุดท้ายก็มีคนที่ทนไม่ไหว ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มผู้นั้นมีนามว่าไต้อิ๋น เป็นศิษย์หนุ่มที่สำนักคุนหลุนให้ความสำคัญ
เขาสวมชุดสีดำ ตรงเอวมีสายคาดสีเขียวคาดเอาไว้เส้นหนึ่ง มันคือเชือกมรกตอันเป็นอาวุธวิเศษของสำนักคุนหลุน ว่ากันว่าทำมาจากกกระดูกทรงยาวของมังกรชิงเจียว อานุภาพทรงพลัง
ขนตาของไต้อิ๋นเหยียดตรงเหมือนกับคำพูดของเขา “พรุ่งนี้เช้าหากเขายังไม่ยอมไป อย่างนั้นเราก็จะทิ้งเขาไว้ที่นี่”
หลูจินและอู่หมิงจงมิได้กล่าวกระไร สาวน้อยที่เหลืออยู่อีกคนหนึ่งดูลังเลขึ้นมา นางกล่าวว่า “ถ้าไงเรารออีกหน่อยดีไหม? เพราะยังไงเขาก็อาวุโสกว่า บางทีอาจจะคิดอะไรรอบคอบกว่าพวกเรา อีกอย่างเขาได้ที่หนึ่งในการประลองหมากล้อมมา ดูแล้วสภาวะคงจะมิต่ำต้อย ได้ยินว่าในการทดสอบกระบี่ของชิงซาน กระทั่งศิษย์พี่กู้หานเขาก็ยังถูกเขาเอาชนะมาแล้ว”
“ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเป็นถึงอาจารย์ของสำนักชิงซาน วันๆ เอาแต่หลบอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปไหน เขากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่?”
ไต้อิ๋นมองดูนาง ยิ้มเยาะพลางกล่าว “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าสภาวะความสามารถของเขาเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากเราเอาแต่อยู่ที่นี่กับเขาอย่างนี้ แล้วการประลองวิถีพรตจะทำอย่างไร?”
สาวน้อยชื่ออินชิงมั่ว เป็นศิษย์ของหอไจซิง ใช้ป้านดารกะเป็นอาวุธวิเศษ เป็นคนที่กลุ่มประลองพรตแต่ละกลุ่มมิอาจขาดได้เหมือนอย่างศิษย์ของสำนักเสวียนหลิง
ได้ยินไต้อิ๋นกล่าวตรงๆ ขนาดนี้ คนที่เหลืออีกสองคนรวมทั้งนางต่างนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
ปัญหาอยู่ที่ว่า ใครจะเป็นคนไปพูดกับคนผู้นั้น?
แสงไฟตกกระทบลงบนใบหน้าพวกเขา วูบไหวไปมาไม่หยุด
“ในเมื่อข้าเป็นคนเสนอ อย่างนั้นข้าเป็นคนพูดเอง!” ไต้อิ๋นกัดฟันพลางกล่าว
……
……
จิ๋งจิ่วมองดูศิษย์หนุ่มของคุนหลุน
หลังเดินทางมาด้วยกันเป็นเวลาสิบกว่าวัน เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายชื่อไต้อิ๋น
“รู้สึกแปลกๆ หยุดรออีกสักหลายวันดีกว่า…”
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าแนะนำ”
“หากพวกเราไม่ยอมรับคำแนะนำของท่านล่ะ?”
ไต้อิ๋นจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวถาม สีหน้าดูค่อนข้างตื่นเต้น
สถานะความอาวุโสของจิ๋งจิ่วนั้นสูงกว่าพวกเขา อีกทั้งจิ๋งจิ่วยังเป็นคนที่มีชื่อเสียง แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ชื่อเสียงอันนั้นมันไม่ค่อยดีสักเท่าไร
ผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยต่างทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเจาเกอ ทุกคนต่างกำลังคาดเดาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนผู้นั้นถูกเขาบีบให้ต้องตายหรือเปล่า
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ออกเดินทางพรุ่งนี้แล้วกัน”
เมื่อกลับมาถึงในถ้ำ ไต้อิ๋นเตะไปที่กองไฟอย่างหงุดหงิด
เพื่อนคนอื่นต่างตกใจ รีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจิ๋งจิ่วบังคับให้ทุกคนต้องอยู่ในภูเขา?
“ไม่มีอะไร”
ไต้อิ๋นหอบหายใจพลางกล่าว
อารมณ์ของเขาแย่อย่างมาก
ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก เหตุใดหลายวันที่ผ่านมาเขาต้องทนด้วย ล่าช้าไปตั้งหลายวันขนาดนี้ แล้วผลงานในการประลองวิถีพรตจะไปดีได้อย่างไร?
……
……
ท้องฟ้ายามเย็นหายไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้ายามค่ำคืนเข้ามาเยือน ก้อนเมฆค่อยๆ กระจายตัว แสงดาราสาดลงมาบนหน้าผา แต่กลับยิ่งเพิ่มความรู้สึกหนาวเหน็บให้มากขึ้น
จิ๋งจิ่วมองที่ราบหิมะอย่างเงียบๆ ไร้ความรู้สึก
ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ที่นี่คือแนวป้องกันสุดท้ายของมนุษย์ แต่เขากลับเพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
ที่เขาเข้าร่วมการประลองวิถีพรต เหตุผลสำคัญก็เหมือนอย่างที่เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวมา เขาอยากลองเป็นฝ่ายมาหาคนผู้นั้น ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีทางมีหม้อไฟก็ตาม
การลอบสังหารที่หุบเขาหมิงชุ่ย เงามืดของปู้เหล่าหลินและดินแดนหมิง กลิ่นอายที่แอบซ่อนอยู่หลังเรื่องราวเหล่านี้ทำให้เขาไม่สบายใจ
การที่คนผู้นั้นคิดอยากจะสังหารเจ้าล่าเยวี่ยนับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะมันก็เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน —- เขาอยากจะพิสูจน์ให้จิ๋งจิ่วเห็นว่าเส้นทางของตัวเองต่างหากที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
ขณะเดียวกัน เขาอยากจะใช้เรื่องนี้ทำให้จิ๋งจิ่วได้มาเห็นที่ราบหิมะที่เย็นยะเยือกและโหดร้ายแห่งนี้
ในนี้มีความหมายอะไรแอบซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ?
……
……
เวลารุ่งเช้า คนกลุ่มหนึ่งเดินทางออกจากภูเขาโดดเดี่ยว ย่ำเท้าลงไปบนที่ราบหิมะ
กลุ่มผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตกลุ่มอื่นได้มุ่งหน้าตรงไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะ ทิ้งห่างพวกเขาไปไกลแล้ว
ตามหลักแล้ว ที่ราบหิมะที่ถูกผู้เข้าร่วมการประลองเก็บกวาดไปแล้วรอบหนึ่งน่าจะปลอดภัยเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ยังระมัดระวังตัวอยู่
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไร ทั้งห้าคนรวมทั้งจิ๋งจิ่วต่างไม่เคยมีประสบการณ์เข้าร่วมการประลองวิถีพรตมาก่อน
ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา
สาวน้อยที่ชื่ออินชิงมั่วรีบกระโดดหลบอะไรบางอย่างออกไปไกลหลายสิบจ้าง นางลนลานจนลืมเรียกป้านดารกะออกมาทำการป้องกันเสียสนิท
ไต้อิ๋นมองไปตรงตำแหน่งที่นางยืนอยู่ก่อนหน้า ก่อนขมวดคิ้วขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ไข่ของหนอนหิมะ ไม่มีอันตรายอะไร แล้วก็ไม่นับคะแนนด้วย ฆ่าเยอะแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็เดินนำไปข้างหน้า ท่าทางดูมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
ในตอนที่ออกมาจากเมืองเจาเกอก็เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เวลานี้เข้าสู่ช่วงฤดูร้อน อากาศทางด้านเหนือของทะเลมั่วไห่เองก็ค่อนข้างสูง ในช่วงเวลาแบบนี้ สัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยส่วนใหญ่ต่างจะจำศีล
จิ๋งจิ่วเดินไปตรงนั้น สะบัดแขนเสื้อปัดหิมะ จากนั้นมองดู — ไข่ใบนั้นมีขนาดประมาณกำปั้น ภายนอกมีเยื่อสีขาวโปร่งแสงห่อหุ้มอยู่ชั้นหนึ่ง ด้านบนมีรอยแตกแนวนอนแนวตั้งอยู่สามรอย ริมรอยแตกมีของเหลวที่เหมือนจะแห้งแต่ก็ยังไม่แห้ง อีกทั้งยังพอมองเห็นขนสีเขียวเล็กน้อยติดอยู่ ดูแล้วน่าขยะแขยงเป็นยิ่งนัก
เขายื่นมือไปยกมันขึ้นมา ในตอนที่นิ้วมือสัมผัสกับไข่ใบนั้น เขาพลันรู้สึกได้ถึงแรงดูดเบาๆ สายหนึ่ง
เขารู้สึกน่าสนใจ จึงยกมันมาตรงหน้าแล้วดูมันอย่างตั้งใจ
อินชิงมั่วมองดูภาพเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าขาวซีด รู้สึกขยะแขยง ในใจครุ่นคิดว่าของน่าเกลียดแบบนี้มีอะไรน่าดู?
……………………………………………………………….
คอมเม้นต์