มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 110 ขอเพียงจิ๋งจิ่วมีความรู้สึก

อ่านนิยายจีนเรื่อง มรรคาสู่สวรรค์ ภาค2 ตอนที่ 110 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“ที่นี่แหละ”

จิ๋งจิ่วใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่กวาดออกไป เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าในรัศมีสิบลี้ไม่มีสัญญาณอันตรายใดๆ

แต่เวลานี้เขาเองก็ไม่อาจมั่นใจในจุดนี้ได้ — วันนั้นเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่กลับรับรู้ไม่ได้ถึงแมลงเส้นเหล็กตัวนั้น

ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญพรตหรือว่าสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ย ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาก็ล้วนแต่น้อยมาก

อินชิงมั่วมองดูท้องฟ้า ก่อนจะหยิบเอาป้านดารกะออกมาวางไว้ที่พื้น

คืนนี้อาจจะไม่มีเมฆ นางคิดจะฉวยโอกาสที่หาได้ยากนี้ดูดซับแสงดาวเสียหน่อย

ภายในป้านดารกะยังมีดวงดาวอยู่อีกสิบกว่าดวง สามารถช่วยเสริมเลือดลมและปราณก่อกำเนิดให้แก่ผู้บำเพ็ญพรตได้ แต่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้มิได้เจอกับการต่อสู้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องหยิบออกมา

อู่หมิงจงเรียกโล่กระบี่ออกมาวางไว้บนพื้นหิมะตรงกลาง

หลูจินท่องคาถาอย่างเงียบๆ เปลวไฟสีเหลืองสว่างลอยออกไปจากมือ ก่อนจะไปตกลงบนโล่กระบี่แล้วเริ่มเผาไหม้ ส่องสว่างบริเวณรอบๆ ที่เริ่มมืดสลัวลงเรื่อยๆ

เปลวไฟนี้สามารถเผาไหม้ได้ถึงรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้ มันสามารถสร้างความอบอุ่น แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะนำมาซึ่งอันตรายบางอย่าง

จิ๋งจิ่วมิได้คัดค้านเขามิให้จุดไฟกองนี้ เพราะเขารู้ว่าบางครั้งความต้องการทางด้านจิตใจก็สำคัญอย่างมาก

นี่คือรูปแบบการป้องกันที่สามารถใช้ได้จริงรูปแบบหนึ่ง

ป้านดารกะสามารถปล่อยข่ายพลังที่กระจ่างใสออกมาปกป้องทั้งสามคน โลกระบี่และเปลวไฟที่สว่างจ้าสามารถประสานงานเข้าด้วยกัน หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน

จิ๋งจิ่วยืนอยู่ด้านนอก มิได้มีท่าทีว่าจะเข้ามานั่ง

อินชิงมั่วและอีกสองคนที่เหลือเคยชินเสียแล้ว จึงมิได้กล่าวกระไร พวกเขาหลับตาลง มือกุมหินผลึกแล้วเริ่มปรับลมหายใจ

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดครึ้ม เมฆหมอกกระจายตัว แสงดาวสาดลงมา ก่อนจะค่อยๆ ไหลเข้าไปในป้านดารกะอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะรวมแสงดาวได้หนึ่งหยด

ยิ่งเดินลึกเข้าไปในที่ราบหิมะ ก้อนเมฆกลับยิ่งน้อยลง นี่ไม่เหมือนกับที่พวกเขาเคยรู้มา และไม่รู้ว่านี่มันหมายถึงอะไร

จิ๋งจิ่วมองดูดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ในหัวกำลังคิดถึงเรื่องบางเรื่อง

เขาไม่รู้เรื่องที่ฉานจึวิจารณ์ตน

ตอนนั้นมีเหตุผลอยู่สองสามข้อที่ทำให้เขาไม่ยอมออกมาจากภูเขาลูกนั้น ความเกียจคร้านเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญคือเขารู้สึกไม่ดี

เขาคิดมาตลอดว่า คำว่ารู้สึกคือคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้

มีแต่ตอนที่ไม่สามารถคำนวณสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน เจ้าถึงจะพูดคำว่ารู้สึกสองพยางค์นี้ออกมา

ก็เหมือนกับที่เขาพูดในตอนที่เล่นหมากล้อมกับถงเหยียน

ในตอนที่คำว่ารู้สึกหลุดออกมาจากปากเขา นั่นหมายความว่าเขาเองก็ไม่สามารถคำนวณสถานการณ์ในปัจจุบันได้ ซึ่งนั้นย่อมต้องมิใช่เรื่องดี

พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงเขามีความรู้สึก นั่นจะต้องเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีแน่

และเรื่องที่ไม่ดีก็มักจะเกิดขึ้น

เมื่อหลายปีก่อน ศิษย์พี่ของเขาเคยกล่าวกับเขาเช่นนี้

ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ตอนนั้นเขายังรั้งอยู่บนภูเขา

เขาต้องการดูตำแหน่งของศิษย์ชิงซานอีกเก้าคนและทิศทางการเคลื่อนที่ของกลุ่มของพวกเขาให้แน่ใจ

เช่นนี้เขาถึงจะสามารถคำนวณออกมาได้ว่าทันทีที่เกิดเรื่อง ตนเองต้องทำอย่างไรจึงสามารถพาพวกเขากลับไปได้ด้วยเวลาที่สั้ั้นที่สุด

นี่มิได้เกี่ยวกับความรู้สึกรับผิดชอบ เขาเพียงแต่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว

เจ้าเปิดโรงเรียนแห่งหนึ่งขึ้นในหมู่บ้าน พาเหล่านักเรียนออกไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ ก็ต้องคอยจับตาดูบนต้นไม้ริมสองฝั่งธาร เตรียมพร้อมที่จะดึงพวกเขาขึ้นมาจากน้ำ หรือว่ารับพวกเขาเอาไว้ในตอนที่ร่วงจากต้นไม้

แต่จะบอกว่าไม่ใช่ความรู้สึกรับผิดชอบก็ไม่ถูกเช่นกัน

เหตุใดแมลงเส้นเหล็กที่ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ทางตอนใต้ของที่ราบหิมะถึงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา? เหตุใดคนอื่นถึงไม่เจอ?

ในส่วนลึกของที่ราบหิมะมีอะไรกำลังรอคอยตัวเองอยู่? หรือฟ้าดินกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่?

ถูกต้อง เขาคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับตนเอง

หากคนอื่นล่วงรู้ถึงความคิดของเขาในเวลานี้ คงจะต้องรู้สึกว่าน่าขันเป็นอย่างมากแน่นอน — เหตุใดบนโลกถึงได้มีคนที่หลงตัวเองถึงเพียงนี้?

ต่อให้เจ้าเป็นเจ้าสำนักจงโจวหรือว่าฉานจึก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเช่นนี้

จิ๋งจิ่วมิได้คิดเช่นนี้

ความเคลื่อนไหวของฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบพันปีก็เกิดขึ้นจากเขา

ที่แผ่นดินเฉาเทียนไม่เป็นอะไร นั่นเป็นเพราะเขาเตรียมพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า

แต่ท้องทะเลที่เพื่อนของเขาผู้นั้นเฝ้าดูมาเป็นเวลาหลายปีผืนนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวอย่างยิ่งขึ้น กระทั่งทิศทางของน้ำวนยักษ์ก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลง

หากเขาไม่มาที่ราบหิมะ ก็ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ แต่ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องแบกรับเอาไว้

……

……

ลมยามค่ำคืนหนาวเสียดกระดูก บนพื้นไร้ซึ่งต้นหญ้า จะมีก็แต่หิมะที่ไม่ละลายตลอดทั้งปี

จิ๋งจิ่วหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมานั่ง จากนั้นหยิบเอาไข่ขึ้นมาสังเกตดูมันอย่างเงียบๆ

เยื่อที่บางเบาเหมือนหมอกชั้นนั้นแข็งตัวเล็กน้อย พอจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้ลางๆ

ภายในไข่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่เขารู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นยังมีชีวิตอยู่ จึงรู้สึกว่าน่าสนใจ

นี่ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดอย่างมากชนิดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ามันจะสามารถอาศัยอยู่ในที่ที่ตัดขาดจากอากาศและพลังชีวิตในธรรมชาติได้นานขนาดนี้

เพราะในบรรดาผู้พิทักษ์ของชิงซาน มีเพียงแค่หยวนกุยเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้

พลังชีวิตของมันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้จริงๆ หรือว่าเยื่อบางๆ ชั้นนี้ช่วยปกป้องมันเอาไว้?

เขายื่นนิ้วชี้ออกไปลูบเยื่อบางนั้นเบาๆ เยื่อบางปริออกเหมือนหนังกลอง จากนั้นเหี่ยวแห้งลงด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนจะเผยให้เห็นภาพที่อยู่ด้านในไข่

นั่นคือด้วงตัวเล็กสีขาวตัวหนึ่ง มีขาที่เล็กเรียวอยู่หกขา ศีรษะมีขนาดเล็ก หดร่างกายครึ่งหนึ่งอยู่ในเปลือก

เปลือกของมันโปร่งแสง พอจะมองเห็นโครงสร้างด้านในได้คร่าวๆ

ด้วงตัวเล็กนอนแน่นิ่งไม่ขยับ ไม่มีลมหายใจ อีกทั้งหัวใจก็ไม่ได้เต้นเหมือนอย่างมนุษย์หรือปีศาจ มันน่าจะตายไปแล้ว

“ฟื้นขึ้นมา”

จิตของจิ๋งจิ่วตกลงไปบนตัวด้วง

ด้วงฟื้นขึ้นมา

ขาเล็กๆ ของมันสั่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คล้ายอยากจะใช้วิธีนี้พิสูจน์ว่าตัวเองพยายามฟื้นขึ้นมาแล้ว

จิ๋งจิ่วเก็บด้วงเข้าไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็หยิบออกมาดูใหม่ พบว่ามันยังมีชีวิตอยู่ จึงยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ

เขาพลิกมือ

ด้วงร่วงปลิวตกลงมาบนพื้นหิมะตามลมหนาว

ตัวมันกับหิมะต่างก็เป็นสีขาว เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วยากจะมองออกได้

ด้วงยืดขาเล็กๆ ทั้งหกขาของมันออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะคลานออกไป

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจมัน

ด้วงหยุดอยู่ตรงนั้น คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็คลานกลับมาข้างเก้าอี้ไม้ไผ่

จิ๋งจิ่งมองมัน

ด้วงน้อยรู้สึกได้ถึงเจตจำนงของเขา มิกล้าขัดขืน มันพลิกตัวพร้อมกางขาทั้งหกออก เปิดเผยร่างกายส่วนท้องออกมา

จิ๋งจิ่วมองดูอย่างตั้งใจ สายตาขยับเลื่อนไปตามเปลือกและข้อต่อของมัน

ด้วงน้อยตัวสั่นขึ้นมา

มันไม่มีสติปัญญา อีกทั้งเพิ่งจะเกิดออกมา แต่สัญชาติญาณของมันกลับรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวอย่างรุนแรง

เพราะตำแหน่งที่สายตาของจิ๋งจิ่วมองไป ล้วนแต่เป็นตำแหน่งที่อ่อนแอบอบบางที่สุดของเผ่าพันธุ์พวกมัน

……

……

การพูดคุยถกเถียงกันเกี่ยวกับการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในเวลานี้ จิ๋งจิ่วคือคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุด กระทั่งจำนวนครั้งที่เอ่ยถึงลั่วไหวหนานก็น้อยกว่าเขามาก

นี่มิใช่เป็นเพราะเขาแสดงความสามารถออกมาได้อย่างโดดเด่นหรืออย่างไร หากแต่เป็นเพราะเขามิได้ทำอะไรเลย

หลังเกิดเรื่องก็ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าการตายของศิษย์คุนหลุนผู้นั้นมิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้เกิดผลกระทบอยู่บ้าง

ในที่ราบหิมะที่ทอดยาวจากเมืองเจาเกอมาถึงทางด้านเหนือของทะเลมั่วไห่ผืนนี้ ไม่รู้ว่ามีกี่คนกำลังพูดถึงเขา แล้วก็ย่อมต้องพูดถึงแมลงเส้นเหล็กที่ไม่ควรจะปรากฏตัวขึ้นมาตัวนั้น

“ถึงแม้พวกเราจะยังไม่เจอแมลงเส้นเหล็กตัวนั้น แต่ที่นี่ก็ค่อยๆ เข้าใกล้พื้นที่หวงห้ามของแคว้นเสวี่ยแล้ว อาจจะเจอปัญหาได้ทุกเมื่อ”

ไป๋เจ่ากล่าว “บนหนทางหลังจากนี้อาจจะต้องให้เจ้าแขวนกระดิ่งหาศัตรูนานหน่อย จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณเป็นจำนวนมาก เจ้าทำได้หรือเปล่า?”

ศิษย์สำนักเสวียนหลิงผู้นั้นกล่าวว่า “ทุกวันข้าจำเป็นต้องพักผ่อนสี่ชั่วยาม”

“ได้ สี่ชั่วยามนี้ข้าจะแทนที่เจ้าเอง ลำบากเจ้าหน่อยนะ” ไป๋เจ่ามองไปอีกด้านหนึ่ง กล่าวว่า “หากเจอเหตุการณ์เหมือนก่อนหน้านี้ เจ้าออกกระบี่ให้ช้าลงอีกหน่อย รอให้แน่ใจว่าศิษย์พี่มั่วควบคุมได้ก่อน หนอนหิมะไม่มีเปลือก แต่ทั่วทั้งร่างกายมันมีน้ำเหนียวๆ ยากจะตัดให้ขาดในกระบี่เดียวได้”

“เข้าใจแล้ว”

ที่แท้เยาซงซานศิษย์ของชิงซานก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

ที่นี่คือเนินหิมะลูกหนึ่ง ด้านหน้ามีเงาภูเขาสีดำปรากฏลางๆ แต่ยังอยู่ห่างออกไปอีกไกล

ไป๋เจ่านั่งอยู่ เพื่อนร่วมกลุ่มสี่คนยืนอยู่รอบๆ ฟังนางวางแผนอย่างตั้งใจ

สายลมแผ่วเบาพัดพาหิมะมา ผ้าคลุมหน้าสีขาวของนางพลิ้วขยับตามแรงลม

ในที่ราบหิมะอันหนาวเหน็บและอยู่ห่างไกลโลกมนุษย์ ไม่รู้ว่านางไปเอาเก้าอี้มาจากไหน

…………………………………………………..

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด