มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 116 ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตจะทำอะไร?
ภาพดอกเหมยภาพนั้นมีการเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้ง
อีกสามคนนอกเหนือจากจิ๋งจิ่วก็มีผลงานสังหารสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยเช่นเดียวกัน บนกิ่งเหมยที่อยู่ใกล้ๆ มีดอกเหมยแต่งเติมลงไปหลายดอก ดูงดงามเป็นยิ่งนัก เข้ากันกับดอกเหมยสีแดงที่เป็นจุดๆ ที่อยู่ไกลออกไป มิได้มีความรู้สึกที่ไม่สมบูรณ์อีก
คนที่เติมดอกเหมยลงไปใหม่ก็เป็นเหอจานเช่นเดียวกัน หลังวาดเสร็จ เขาก็ชื่นชมอย่างพึงพอใจอยู่ครู่ ดื่มสุราที่อยู่ในไหไปจนหมด ก่อนจะจากเรือนซีซานไป
ผู้บำเพ็ญพรตจากแต่ละสำนักยืนอยู่หน้าภาพ ทอดถอนใจมิกล่าวกระไร ทุกคนต่างทราบว่าที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้คงมิแคล้วเป็นของจิ๋งจิ่วเสียแล้ว
……
……
ข่าวนี้แพร่มาถึงชิงซานอย่างรวดเร็ว
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวในยอดเขาทั้งเก้าย่อมต้องดีใจ และรู้สึกมีเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
อาจารย์จากแต่ละยอดเขาต่างคาดหวังในตัวจิ๋งจิ่วเอาไว้ก่อนการประลอง แต่เมื่อคิดถึงว่าเขาอายุยังน้อย ยังไงก็ไม่มีทางเอาชนะลั่วไหวหนานได้ หลังทำการยืนยันข่าวนี้แล้ว พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากเช่นเดียวกัน
บนยอดเขาเสินม่อ กู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนลวกใบหม่อนมายำ ก่อนจะล้างผลไม้มาอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งยังเปิดสุราสมุนไพรอีกไหหนึ่ง
วานรเหล่านั้นได้กลิ่นจึงพากันวิ่งลงมาจากบนหน้าผา ส่งเสียงเจี๊ยกๆ ไม่หยุด ทำให้งานฉลองงานนี้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป
“พรุ่งนี้ข้าจะออกไปรับอาจารย์”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนวางแก้วสุราลง อารมณ์แห่งความสุขถูกแทนที่ด้วยความกังวลใจ
ข่าวที่ส่งมาจากเมืองเจาเกอไม่ละเอียด เขาเองก็ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของอาจารย์เป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว เรือกระบี่ไม้ที่รับเจ้าล่าเยวี่ยมาน่าจะมาถึงเมืองอวิ๋นจี๋ในวันพรุ่งนี้ กู้ชิงกล่าว “ข้าเองก็จะไปด้วย”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนกล่าว “ในยอดเขาต้องมีคนเฝ้าอยู่สักคนหรือเปล่า?”
กู้ชิงชี้ไปยังวานรเหล่านั้น กล่าวว่า “ก็มีพวกมันอยู่มิใช่หรือ?”
……
……
ในบรรดาเจ้าหน้าที่ของวัดไท่ฉาง จิ๋งซางทำตัวเรียบง่ายติดดินมากที่สุด ถึงแม้เพื่อนร่วมงานจะทราบแล้วว่าน้องชายของเขาคือใคร ถึงขนาดมาแสดงความยินดีต่อหน้าเขาหลังการประลองหมากล้อม แต่เขายังคงทำตัวเหมือนปกติที่ผ่านมา ทำงานอย่างซื่อสัตย์ ใช้ชีวิตเรียบง่าย มิได้มีท่าทีหยิ่งยโสจากเรื่องนี้แม้แต่น้อย
คนนิสัยอย่างเขา ย่อมไม่มีทางจัดงานเลี้ยงใหญ่โต เรียกเพื่อนฝูงมาเฉลิมฉลอง แต่ในคืนวันเดียวกันเขายังคงให้ภรรยาจัดเตรียมอาหารเย็นจนเต็มโต๊ะ ทั้งยังเปิดสุราเก่าที่เก็บมาสิบห้าปีอีกไหหนึ่ง ไม่นานก็ดื่มจนเมามาย ใบหน้าแดงเรื่อ
บิดาแซ่จิ๋งไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงถามอย่างเป็นห่วง
ฮูหยินจิ๋งยิ้มพลางกล่าว “ไม่มีอะไรค่ะท่านพ่อ แค่ได้ยินมาว่า…ท่านอาเล็กได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต”
จิ๋งซางได้ยินคำพูดนี้ เดิมคิดอยากจะบอกว่าจะมาเรียกท่านอาเล็กพร่ำเพรื่อส่งเดชได้อย่างไร แต่ความรู้สึกมีเกียรติที่อยู่ภายในใจอันนั้นมันยากจะสะกดเอาไว้ได้จริงๆ จากนั้นดื่มสุราลงไปอีกหนึ่งจอก เพียงแต่เขาคิดอย่างเสียใจเล็กน้อย เหตุใดครั้งนี้ถึงไม่ให้ตัวเองไปเดิมพันไว้ก่อนนะ?
……
……
ภายในเรือนกั๋วกงที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลจิ๋ง ลู่กั๋วกงกำลังสนทนากับบุตรชายที่เป็นผู้สืบทอดของตนอยู่
“ไข่มุก ยังไงก็เป็นไข่มุก ไม่ว่าจะเป็นทรายหรือหิมะก็ล้วนแต่มิอาจกลบแสงของมันได้”
ในดวงตาของบุตรชายเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม เขากล่าวว่า “ผู้สืบทอดยังยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ แล้วคนที่ถือแผ่นป้ายไม้ในตอนนั้นจะยอดเยี่ยมเพียงไหนกัน? สายตาท่านปู่ช่างแหลมคมจริงๆ”
ลู่กั๋วกงกล่าว “เจ้าโง่ สายตาท่านปู่แหลมคมอะไรกัน ปู่ของเจ้าเป็นคนที่ถูกเลือกต่างหากเล่า เรื่องที่พวกเราทำก็คือการพิสูจน์ว่าท่านผู้นั้นมองเราไม่ผิด”
บุตรชายครุ่นคิดว่าเป็นจริงดั่งว่า จึงกล่าวว่า “ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าอยากจะไปเรือนซีซานเพื่อดูรูปดอกเหมยนั้นเสียหน่อย”
หลังจบงาน แต่ละสำนักจะเป็นคนดูแลรูปดอกเหมยเหล่านั้น ตอนนี้การประลองวิถีพรตยังไม่จบ รูปดอกเหมยของจิ๋งจิ่วยังอยู่ที่เรือนซีซาน ถ้าอยากจะดูก็ต้องฉวยโอกาสไปดูตอนนี้
ลู๋กั่วกงกล่าว “รูปนั้นถูกส่งเข้าไปในวังเมื่อตอนเย็นแล้ว ฝ่าบาททรงต้องการทอดพระเนตร”
……
……
ก่อนหน้าที่รูปดอกเหมยของจิ๋งจิ่วจะถูกส่งเข้าไปในวัง มันย่อมต้องถูกส่งเข้าไปยังวัดจิ้งเจวี๋ยก่อน เพื่อให้ฉานจึวิจารณ์
ที่น่าแปลกใจก็คือ กระทั่งรุ่งเช้าวันที่สองก็ยังไม่มีข่าวใดๆ ส่งออกมา
ถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ไม่ชอบนิสัยของสำนักชิงซานก็ยังต้องยอมรับว่าจิ๋งจิ่วน่าจะเป็นที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตครั้งนี้
หรือว่าการประลองวิถีพรตจะมีปัญหาอะไร
ในจุดสูงสุดของเรือนซีซาน หมู่เมฆลอยล่องรอบรั้วไม้ ดูคล้ายดินแดนแห่งเซียน
เพราะเรื่องๆ หนึ่ง เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจึงมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง
ผู้อาวุโสแห่งสำนักจงโจวที่ไม่ค่อยปรากฏตัวผู้นั้น ก็ได้เดินทางมาด้วยเช่นกัน บนร่างกายเขาแผ่ไอพลังที่บริสุทธิ์และอบอุ่นออกมา
เขารีบเดินทางมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง เนื่องเพราะเรื่องราวในวันนี้เกี่ยวพันกับสำนักจงโจว
ภายในหอมีวัตถุที่เป็นเหมือนถาดทรายวางอยู่ ด้านล่างมีลำแสงอันเป็นเอกลักษณ์ของวัตถุวิเศษแผ่กระจายออกมา ด้านบนมีหมอกบางๆ ภาพที่อยู่ด้านในปรากฏให้เห็นตะคุ่มๆ คล้ายมีคล้ายไม่มี
นี่คือของวิเศษของสำนักต้าเจ๋อ —- แผนที่หมื่นลี้
แผนที่หมื่นลี้สามารถแสดงภาพเหตุการณ์ที่อยู่ในระยะไกลอย่างมากได้ เมื่อใช้งานร่วมกับนกหานเฮ่าของสำนักคุนหลุนและยันต์วิเศษของสำนักฝ่าหยวน จะทำให้สามารถเข้าใจสถานการณ์ทางด้านหน้าได้อย่างคร่าวๆ
หลายวันมานี้จำนวนครั้งที่ปรากฏขึ้นมาของหมอกหนาวเย็นอันแปลกประหลาดเช่นนั้นมีจำนวนน้อยลงไปมาก ภาพยิ่งดูชัดเจนขึ้น สามารถมองเห็นตำแหน่งของเหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตได้
ศิษย์หนุ่มสาวส่วนใหญ่เข้าไปในภูเขาสีดำแห่งนั้นแล้ว เข้าใกล้แคว้นเสวี่ยเข้าไปทุกขณะ เข้าใกล้อันตรายที่แท้จริงเข้าไปทุกเมื่อ
ในเทือกเขาที่อยู่ด้านหน้าสุดมีจุดแสงที่อ่อนแรงอยู่แปดเก้าจุด จำนวนคนไม่มาก แบ่งออกเป็นสองทาง น่าจะเป็นกลุ่มของลั่วไหวหนานและถงหลู
ในหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปแห่งหนึ่งทางด้านหลังมีจุดแสงจำนวนมากรวมอยู่ด้วยกัน จำนวนคนค่อนข้างเยอะ ทำให้หุบเขาตรงนั้นดูค่อนข้างสว่าง
“ตอนแรกสุดพวกเขาหยุดอยู่สองวัน ก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งแล้วไปเจอกลุ่มอื่นระหว่างทาง จากนั้นก็เดินๆ หยุดๆ แบบนี้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแยกจากกัน”
เหอกั๋วกงกล่าวว่า “พวกเขาน่าจะทราบถึงกฎของการประลองวิถีพรตดี จริงอยู่ที่ทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือนว่าพวกเขาเตรียมจะโกงการประลองเช่นกัน”
เขามองไปทางถาดทรายขณะที่พูด แต่เหล่าเจ้าสำนักและผู้อาวุโสที่อยู่ตรงนั้นต่างทราบดีว่าเขากำลังพูดกับใคร
หนานว่างสีหน้าเรียบเฉย คล้ายมิได้ยินอะไร
ถูกต้อง จากข่าวที่ทางด้านหน้าส่งมา นี่ล้วนแต่เป็นความคิดของจิ๋งจิ่ว
ในคืนนั้นหลังจากที่สังหารอสูรขาหิมะไปหลายสิบตัว เขาก็พาศิษย์หนุ่มสาวเหล่านี้เดินๆ หยุดๆ อยู่ในภูเขาบนที่ราบหิมะ จนกระทั่งถึงตอนนี้เขารวบรวมคนได้สามสิบกว่าคนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจทำแบบนี้ ปัญหาอยู่ที่ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?
“คิดว่าตัวเองได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต ก็เลยหยิ่งผยอง คิดจะเป็นผู้นำผู้บำเพ็ญพรตรุ่นใหม่?”
เจ้าสำนักคุนหลุนแค่นหัวเราะกล่าวว่า “ในสายตาเขายังมีอาจารย์อย่างพวกเราอยู่หรือเปล่า ยังมีกฎเกณฑ์อยู่หรือเปล่า?”
“ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตย่อมต้องคู่ควรจะหยิ่งผยอง นอกจากนี้เขายังเป็นศิษย์สืบทอดของอาจารย์อาจิ่งหยางด้วย ตอนนี้ในโลกบำเพ็ญพรตมีกี่คนที่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอาจารย์ของเขา”
หนานว่างกล่าวสีหน้าเย็นชา
นางไม่ชอบจิ๋งจิ่ว เพราะเขาหน้าตาดีเกินไป เจิดจ้าเกินไป ไหนเลยจะเหมือนจิ่งหยางในอดีตที่อบอุ่นอ่อนโยนดังหยก สง่างามดั่งต้นสน
แต่ในเวลาแบบนี้ นางย่อมต้องพูดแทนเขา
ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวผู้นั้นถอนใจออกมา กล่าวว่า “เราอย่าเพิ่งใจร้อนด่วนสรุปดีหรือเปล่า? บางทีพวกเขาอาจจะเจออะไรบางอย่างก็เป็นได้”
เขาจำเป็นต้องพูดเช่นนี้ มิใช่เพราะจิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นเพราะไป๋เจ่าก็อยู่ตรงนั้นด้วย
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ จากข่าวที่ส่งกลับมาจากทางด้านหน้า การที่จิ๋งจิ่วสามารถโน้มน้าวลูกศิษย์เหล่านี้ได้ ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากไป๋เจ่า
……
……
จิ๋งจิ่วไม่เคยคิดที่จะคว้าที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต
สภาวะของเขาห่างชั้นจากลั่วไหวหนาน ก่อนที่จะไล่สังหารอสูรขาหิมะในคืนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเหมาะสมกับที่ราบหิมะผืนนี้ขนาดนี้ เขาจึงมิได้ไปบอกให้จิ๋งซางลงเดิมพัน
เขามาเข้าร่วมการประลองวิถีพรตครั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลอื่น สิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้คือหนึ่งในเหตุผลนั้น
เขาจะทำอะไรกันแน่?
ในหุบเขาอันหนาวเหน็บ ท่ามกลางสายลมอันรุนแรงดุจกระบี่บิน ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวสามสิบกว่าคนมองดูจิ๋งจิ่ว ภายในใจล้วนแต่มีคำถามนี้
…………………………………………………….
คอมเม้นต์