จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) – บทที่ 33 บุคลิกไม่ค่อยดี
บทที่ 33 บุคลิกไม่ค่อยดี
หลินไค่เดินมาหาถางโร้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ใครเห็นเป็นต้องชอบ รอยยิ้มนี้เขาฝึกฝนมานานแล้ว ทุก ๆ ครั้งที่ยิ้มแบบนี้ออกมาแฟนคลับสาว ๆ ต่างก็คลั่งไคล้เขาอย่างบ้าคลั่ง
“สวัสดีครับ คุณถางโร้ว! รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับคุณ” หลินไค่ยืนมือออกไปเพื่อแสดงการทักทาย
“สวัสดีค่ะ!” ถึงแม้ว่าถางโร้วจะไม่ชอบความอวดดีของหลินไค่ แต่เธอก็ยังมีมารยาทยื่นมือไปจับกับเขา แต่พูดได้เลยว่า หลินไค่รูปร่างและหน้าตาดีมากจริง ๆ เป็นที่นิยมในวงการบันเทิงสูง ถึงแม้ฝีมือการแสดงของเขาจะไม่ได้ดีมากจนถูกประณามไปหลายครั้งแต่เขาก็มีแฟนคลับสาว ๆ เยอะมาก คนแบบนี้คงเนื้อหอมจริง ๆ
แถมยังมีชาวเน็ตเขียนบรรยายกลอนล้อเขาด้วยว่าฝีมือการแสดงของหลินไค่นั้นไร้ที่ติ เขาสามารถเล่นละครหลายสิบเรื่องโดยที่ใช้แค่หน้าอย่างเดียว นี้สิไร้ที่ติอย่างแท้จริง
การกระทำของถางโร้วไม่นับว่าเป็นการจับมือ เธอเพียงแค่แตะเบา ๆ ก็รีบเก็บมือตัวเองทันที สายตาหลินไค่รู้สึกโมโหอยู่แวบหนึ่ง เขาคิดว่าตัวเองปกปิดสีหน้าตัวเองได้ดีมาก
เขาเข้าใจว่าตัวเองหล่อมาก แฟนคลับสาว ๆ ต่างลุ่มหลงในแววตาของเขา ทุกครั้งที่เห็นเขาพวกเธอต่างก็ตะโกนเรียกอย่างบ้าคลั่ง แต่ท่าทางของถางโร้วดูเย็นชามาก ทำให้เขาที่เป็นดาวล้อมเดือนมาตลอดรู้สึกไม่ชอบใจ
“นี่ คุณเป็นใคร? ไม่เห็นพี่ไค่ยืนอยู่เหรอ? ยังไม่รีบลุกขึ้นให้พี่ไค่นั่งอีก มีตาหามีแววไม่นะคุณ” ผู้ชายที่ท่าทางอรชรอ้อนแอ้นคนนี้น่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของหลินไค่ เขาพูดและจ้องมองไปที่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นกวาดสายตามองเขาอย่างเงียบ ๆ และยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างเหยียดหยาม บอกเขาให้ลุก? ไม่สิสั่งให้เขาลุกงั้นเหรอ ไร้มารยาทมากไปแล้วนะ
“พี่ฉู่ชวิ๋น พวกเราไปฝั่งนั้นกันเถอะ ที่นั้นวิวทิวทัศน์สวยมาก พี่ช่วยฉันถ่ายรูปได้หรือเปล่า?” ถางโร้วพูดขึ้นและชี้ไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้
เธอไม่รู้จักความลับของพี่ฉู่ชวิ๋นแต่ พี่ฉู่ชวิ๋นสามารถสั่งเฉินฮั่นหลงผู้ทรงอำนาจก้มหัวยอมเป็นคนติดตามได้ หลินไค่ที่ไปล่วงเกินพี่ฉู่ชวิ๋นจะไม่โดนอะไรเลยเหรอ เธอไม่อยากให้มีเรื่องที่นี่เลยชวนฉู่ชวิ๋นออกไปดีกว่า?
ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะหลินไค่แต่เธอทำเพื่อผู้กำกับลู่ ในวงการบันเทิงผู้กำกับลู่นับว่าเป็นผู้กำกับที่มีคุณธรรม เขาทำผลงานเพื่อสาธารณประโยชน์ทุ่มเทอย่างเต็มที่ในทุกงานแม้จะไม่ได้รับคำยกย่องชมเชย มีน้อยมากที่จะมีผู้กำกับที่มีชื่อเสียงแบบเขายอมทำแบบนี้ เธอไม่อยากทำให้ผู้กำกับลู่รู้สึกลำบากใจ
“ได้!” ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นก่อนกวาดสายตามองหลินไค่หลังจากนั้นก็พาถางโร้วไปถ่ายรูป สีหน้าของหลินไค่เปลี่ยนไป ความสวยงามและบริสุทธิ์ของถางโร้วในวงการบันเทิงไม่มีใครไม่รู้ ถางโร้วมีนิสัยเงียบ ๆ รูปร่างหน้าตางดงามจนทำให้เขาใจเต้นไปชั่วขณะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ถางโร้วไม่ได้สนใจเขาเลย
หลินไค่จ้องมองไปยังแผ่นหลังของทั้งสองคนอย่างคับแค้นใจและแววตาก็เปล่งประกายขึ้นมา เขาหัวเราะเยาะและพูดขึ้นมาว่า “คอยดูเถอะ”
“พี่ไค่ เชิญนั่ง” ผู้จัดการส่วนตัวของเขาหยิบเอากระดาษทิชชูเปียกขึ้นมาเช็ดที่นั่งที่ฉู่ชวิ๋นเคยนั่งและเชิญให้หลินไค่นั่ง
หลินไค่รู้สึกว่าตัวเองไม่แพ้ใครแน่ ๆ เขานั่งลงไปที่เก้าอี้ตามที่ผู้จัดการบอก
“แช้บ ๆ…ตุ๊บ…..”
ก้นของหลินไค่ที่พึ่งจะนั่งลงไปบนเก้าอี้ ทันใดนั้นเก้าอี้ก็แตก ก้นของเขาตกลงไปกระแทกพื้นจนเขารู้สึกว่ากระดูกตรงก้นของเขาแตกร้าวไปหมดเขารู้สึกเจ็บปวดมาก เหงื่อไหลออกตามหน้าผากจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟันแต่เพื่อรักษาภาพพจน์การเป็นดาราเขาเลยต้องอดทนเอาไว้ พนักงานที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“พวกคุณหัวเราะอะไรกัน? พวกคุณเตรียมเก้าอี้อะไรเนี่ยทำไมถึงแตกง่ายขนาดนี้ ถ้าพี่ไค่ได้รับบาดเจ็บพวกคุณจะจ่ายรับผิดชอบกันไหวไหม?” พนักงานเริ่มหัวเราะกันไม่ออก เพราะว่าเก้าอี้พวกนี้เป็นของที่พวกเขาเตรียมไว้จริง ๆ ผู้จัดการส่วนตัวของหลินไค่พูดมาก็ถูก ถ้าหากว่าหลินไค่ได้รับบาดเจ็บจริง ๆ พวกเขาต้องรับผิดชอบ พอถึงเวลานั่นคนที่จะลำบากก็ต้องเป็นพวกเขาแล้ว
“พวกคุณยังยืนงงอะไรกันอยู่? ยังไม่รีบมาช่วยพยุงอีก” ผู้จัดการส่วนตัวพยุงหลินไค่ลุกไม่ได้เลยอดไม่ได้ที่จะหันไปตะโกนให้พนักงานมาช่วย
เดิมทีพนักงานก็คิดที่จะเข้าไปช่วยแต่พอได้ยินเสียงร้องแสบแก้วหูก็เลยไม่มีคนไปช่วยเลย ผู้กำกับลู่ก็รู้สึกจนปัญญา คนอื่นไม่สนใจหลินไค่ได้แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เขาเลยรีบวิ่งไปช่วยผู้จัดการส่วนตัวพยุงหลินไค่ให้ลุกขึ้นมา
“มาพี่ไค่ นั่งที่นี่ก่อน” ผู้จัดการของหลินไค่ลองนั่งเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง ๆ ก่อน เช็กจนแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นไรถึงจะให้หลินไค่นั่ง
“แช้บ ๆ…ตุ๊บ…”
เมื่อหลินไค่นั่งลงไป เก้าอี้ก็แตกหักอีกครั้ง เขาล้มลงไปจนนอนกางแขนกางขาอย่างเจ็บปวด ครั้งนี้เขาไม่อาจอดทนไว้ได้อีกแล้ว เขาส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนาและลุกขึ้นมาใช้มือทั้งสองข้างนวดก้นอย่างไม่สนภาพลักษณ์ ทุกคนตกตะลึง ผู้จัดการส่วนตัวของเขาก็ตกใจเหมือนกัน เวลาผ่านไปนานทุกคนถึงจะดึงสติกลับมาพร้อมสีหน้าที่แปลกประหลาด
คนอื่น ๆ นั่งก็ไม่เห็นเป็นไร แต่เมื่อหลินไค่นั่งเก้าอี้ก็พังลงมาทันที บุคลิกของชายคนนี้ต้องไม่ดีมากแน่ ๆ ถึงกับทำให้เก้าอี้เมินเฉยได้
“พี่ฉู่ชวิ๋น พี่เป็นคนทำใช่ไหม?” ถางโร้วหันไปมองฉู่ชวิ๋นและถามขึ้นมา เธอไม่เชื่อว่านี้จะเป็นเรื่องบังเอิญ ฉู่ชวิ๋นยิ้มเบา ๆ
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับฉัน เขามันอาจชั่วร้ายเกินไปจนแม้แต่เก้าอี้ก็ยังเมินเฉย หรือเขาแค่อาจโชคร้ายเกินไปจนตกเก้าอี้ สองครั้งซ้อนต่างหาก ฉันว่าเขาควรไปซื้อลอตเตอรี่เก็บไว้บ้างนะ ล้างซวยได้ดีเลยละ” ถางโร้วกลั่นรอยยิ้มเอาไว้ เธอรู้ว่านี่เป็นฝีมือของพี่ฉู่ชวิ๋นอย่างแน่นอน
หลินไค่จ้องมองไปยังผู้จัดการส่วนตัวที่ยังยืนตกใจเขาได้แต่ตะโกนขึ้นมา “ยืนโง่ทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบมาพยุงฉันลุกอีก”
ตอนนี้เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับภาพพจน์ของดาราอะไรแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวรีบเข้าไปช่วยพยุงหลินไค่ให้ลุกขึ้น ครั้งนี้เขาพยายามพยุงเต็มที่
“หลินไค่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม? ให้ฉันไปส่งโรงพยาบาลหรือเปล่า?” ผู้กำกับลู่ถามด้วยความเป็นห่วง ถึงยังไงหลินไค่ก็เป็นคนที่เขาเชิญมา
“คุณดูผมสิ เหมือนคนไม่เป็นไรอีกเหรอ?” หลินไค่ตะโกนขึ้นมาอย่างโมโห
“วันนี้ไม่ถ่ายแล้ว ผมจะกลับไปพักผ่อน!” พูดจบเขาก็ไม่สนใจคนอื่นและหันหลังกลับเดินขาเป๋ออกไปขึ้นรถทัศนาจรท่องเที่ยวทันที พอมองดูแล้วเหมือนเขากำลังหนีอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเดินจากไปเขาก็พูดด่าทอ “ที่นี่มันห่วยแตกจริง ๆ”
เหลือเพียงแค่กลุ่มคนทำงานที่ต่างพากันส่ายหน้าและมองอย่างเหยียดหยาม นี่เหรอดารามาแรง?
ใบหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความไม่พอใจ พวกเขายุ่งมาแล้วครึ่งวันไม่นับว่าทำงานเสียแรงเปล่าหรือไง
ผู้กำกับลู่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและพูดกับทุกคนว่า “วันนี้เก็บของก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยถ่ายใหม่อีกครั้ง”
จริง ๆ แล้วในใจเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ ถึงยังไงหลินไค่ก็เป็นคนที่เขาปั้นให้โด่งดังมาเองกับมือ ยังไงก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ
ผู้กำกับลู่เดินไปหาถางโร้วและมองถางโร้วอย่างรู้สึกผิด “ถางโร้ว ขอโทษจริง ๆ ฉันคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
“ผู้กำกับลู่ คุณไม่ต้องขอโทษอะไรหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นทุกคนก็คงไม่อยากให้เกิด ยิ่งกว่านั้นนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของคุณ คุณไม่ต้องขอโทษอะไรหรอก” ถางโร้วพูดอย่างไม่คิดมากอะไร
“เฮ้อ!” ผู้กำกับลู่ถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรนะผู้กำกับลู่ วันนี้ถ่ายไม่ได้ พรุ่งนี้พวกเราก็ยังมาถ่ายได้อยู่!” ถางโร้วพูดปลอบใจ
ผู้กำกับลู่เก็บอารมณ์ตัวเองและยิ้มออกมา “งั้นฉันขอไปเตรียมสถานที่พักผ่อนให้พวกเธอก่อน วันนี้ตอนกลางคืนทุกคนต้องพักอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องรีบมา เดินทางไปมามันลำบาก”
“พักที่นี่?” ถางโร้วตกใจจนหันกลับไปมองฉู่ชวิ๋น
“ไม่เป็นไร ทำตามที้ผู้กำกับลู่พูดเถอะ! พรุ่งนี้ตอนดึก ๆ ฉันค่อยไปเยี่ยมคุณลุงกับคุณป้าก็ได้!” ฉู่ชวิ๋นรู้ว่าถางโร้วกังวลอะไร? เป็นไปตามที่เขาคิดไว้เลย หลังจากถางโร้วได้ยินคำตอบก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เธอกลัวฉู่ชวิ๋นจะมีธุระจนทำให้ต้องเสียเวลากับเธอ
“ผู้กำกับลู่ งั้นก็รบกวนคุณแล้ว”
“ไม่รบกวนหรอก งั้นฉันไปจัดการก่อนนะ” ก่อนที่ผู้กำกับลู่จะเดินไปเขาก็มองฉู่ชวิ๋นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อกี้ที่พวกเขาพูดว่าจะไปเจอพ่อแม่ของถางโร้วหรือว่าพวกเขาจะเป็นแฟนกัน? มองพวกเขาสองคนดี ๆ แล้วก็เหมาะสมกันมากจริง ๆ ผู้กำกับลู่เดินไปไม่กี่ก้าวทันใดนั้นก็หยุดเดินและหันกลับไปมองถางโร้ว
“หึหึหึ…..นี่ถางโร้ว! พวกเธอสองคนอยากได้สองห้องหรืออยากได้ห้องเดียวเหรอ?” ถางโร้วตกใจก่อนหลังจากนั้นใบหน้าก็ค่อย ๆ แดงขึ้นมา
“สองห้องครับ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย ผู้กำกับลู่ตกใจ คิดว่าตัวเองคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองผิดไป เขาเลยเดินหายวับไปกับตา
ถางโร้วแอบมองฉู่ชวิ๋นที่มีสีหน้านิ่งเฉยจนในใจรู้สึกสับสน พี่ฉู่ชวิ๋นไม่ชอบเธอขนาดนั้นเลยเหรอ? บางครั้งผู้หญิงก็เป็นแบบนี้ ชอบเป็นทุกข์เป็นร้อนใจ แม้แต่ถางโร้วที่มีนิสัยเงียบ ๆ ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น แน่นอนนี่ก็เป็นแค่อาการดราม่าของผู้หญิง
ตอนบ่ายฉู่ชวิ๋นก็พาถางโร้วเดินสำรวจไปรอบ ๆ รีสอร์ตจนหมด
ตกดึกดวงจันทร์ส่องสว่าง ดวงดาวกะพริบระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ตอนนี้ฉู่ชวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้าต่างและใช้สายตามองไปยังรีสอร์ตที่อยู่ลึกเข้าไป เขาได้ยินมาจากผู้กำกับลู่แล้วว่าข้างในมีอะไรผิดปกติ งั้นเขาก็ต้องไปตรวจสอบว่าที่นั้นมีของที่เขาต้องการหรือเปล่า? ฉู่ชวิ๋นเปิดหน้าต่างและกระโดดลงพื้นไปอย่างไร้เสียง ฉู่ชวิ๋นราวกับเงาดำภายใต้แสงราตรี
ผ่านไปสิบนาที ฉู่ชวิ๋นก็มองเห็นรีสอร์ตที่รกร้างว่างเปล่าและเต็มไปด้วยหญ้าและต้นไม้สีเขียว ที่นี่ถูกปิดล้อมเอาไว้และใช้เสาลวดหนามเพื่อแยกพื้นที่ ตอนนี้ตัวล็อกประตูเหล็กเก่าจนขึ้นสนิมแล้ว ฉู่ขวิ้นดึงเบา ๆ ที่ล็อกก็แตกออก
ฉู่ชวิ๋นเดินก้าวเท้าเข้าไปข้างหน้าและเหยียบลงไปบนใบไม้ร่วงที่เหี่ยวเฉา เสียงที่เหยียบลงบนใบไม้ในค่ำคืนที่เงียบสงบ ดังขึ้นเป็นพิเศษ เดินไปแล้วประมาณสิบกว่านาทีก็เห็นบึงน้ำที่อยู่ด้านหน้า บึงน้ำสีดำส่งความรู้สึกที่เหน็บหนาวเบา ๆ ออกมาราวกับสัตว์ประหลาดที่อ้าปากรอเหยื่อให้เข้าไปติดกับดัก
ฉู่ชวิ๋นนั่งยอง ๆ และใช้มือยื่นออกมาวนน้ำให้หมุนไปมาเพื่อสำรวจ เขาความรู้สึกเหน็บหนาวเย็นจนถึงกระดูก ในเวลาเดียวกันนี้ พลังที่ทำให้เขาแปลกใจก็ราวกับคลื่นซัดเข้ามาที่หลังมือของเขาก่อนพุ่งเข้ามากระทบกับสมองของฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นรีบเก็บมือ หลังมือก็มีไอน้ำลอยขึ้นมา น้ำค้างแข็งสีขาวก็ละลายหายไป พลังคลื่นนั่นก็หายไปเช่นกัน
“ศิลารัตติกาลเหมันต์” ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ
ศิลารัตติกาลเหมันต์ไม่ได้ช่วยอะไรในการฝึกตนแต่กลับเป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมที่สามารถสร้างแหวนมิติได้
ศิลารัตติกาลเหมันต์มีพลังลึกลับในตัวมัน มันสามารถโจมตีสมองของคนและทำให้เกิดภาพหลอนได้ แถมยังเชื่อมต่อกับมิติลึกลับ ผู้ฝึกตนเป็นเซียนเลยใช้ประโยชน์จากมัน พวกเขาควบคุมพลังของศิลารัตติกาลเหมันต์ได้ตามใจชอบ ขอเพียงแค่คิดก็จะสามารถเก็บสิ่งของเข้ามาในแหวนมิติได้หรือว่าเอาของที่อยู่ในแหวนมิติออกมาได้ด้วย
“ตู้ม!”!
ฉู่ชวิ๋นกระโจนลงไปในบึงน้ำ ลมปราณสร้างเป็นลมปราณคุ้มกายป้องกันไม่ให้น้ำอันเหน็บหนาวทำอะไรร่างกายได้ แม้เขาจะดำน้ำลงไป แต่บึงน้ำสีดำก็ยังไม่อาจปิดกั้นการมองมองเห็นของฉู่ชวิ๋นลงได้
บึงน้ำนี้ลึกประมาณ ห้าสิบเมตร
ใต้บึงน้ำที่ลึกที่สุด ศิลาสีขาวนวลขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งส่องแสงสีขาวสลัว ๆ เป็นศิลารัตติกาลเหมันต์จริง ๆ!
ฉู่ชวิ๋นหยิบศิลารัตติกาลเหมันต์ขึ้นมาอย่างไม่เสียงแรงเลยแม้แต่น้อย เขารีบลอยขึ้นมาบนผิวน้ำทันที
“ปัง!”
ในน้ำก็ระเบิดขึ้นมา ฉู่ชวิ๋นกระโดดขึ้นมาบนบึงน้ำ ฉู่ชวิ๋นมองไปยังศิลารัตติกาลเหมันต์ที่อยู่ในมือ ฉู่ชวิ๋นก็ยิ้มออกมา คุณภาพศิลาไม่สูงเท่าไร แหวนมิติคงไม่ได้ใหญ่มาก
แต่ผ่านไปไม่นานรอยยิ้มของเขาก็แข็งค้าง พญาอสรพิษที่นอนเป็นเกลียวอยู่ในข้อมือของเขา ทันใดนั้นก็เคลื่อนไหวไปอยู่บนฝ่ามือของเขา
“แผล็บ ๆ!”
มันอ้าปากกัดศิลารัตติกาลเหมันต์หนึ่งคำหลังจากนั้นก็เคี้ยวด้วยฟันราวกับมันกำลังกินถั่วและพอมันกัดเสร็จมันก็เตรียมจะกลืนลงไป
หลังจากฉู่ชวิ๋นรู้สึกตัวเขาก็รีบเอามืออีกข้างมาดึงหางของพญาอสรพิษเอาไว้ และแยกมันกับศิลารัตติกาลเหมันต์ออกจากกันทันที
คอมเม้นต์