ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 1 เหตุเกิดจากหมั่นโถว
หนังสือสุภาษิตเล่มหนึ่งของจีน บทที่ 1 หน้าที่ 17 มีบันทึกไว้ว่า : 1.จักรวาลขนาดเล็ก 2.จักรวาลขนาดกลาง 3. จักรวาลขนาดใหญ่ อาณาบริเวณที่มีดวงจันทร์ 1 ดวง ดวงอาทิตย์ 1 ดวง เรียกว่าหนึ่งจักรวาล
***
ในราชวงศ์โฮ่วจิ้น แคว้นซูหนาน ได้รับสมญานามว่าเป็นไข่มุกแห่งทางใต้
ณ ที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยปัญญาชนนักเขียนที่โดดเด่น นักรบนักบวชล้วนสูงส่ง ร่ำรวยมั่งคั่ง อุดมด้วยทรัพยากรอย่างสมบูรณ์ ทิวทัศน์สวยงามชวนมอง น่าอยู่อาศัยน่าเที่ยวชม
ในตัวเมืองซูหนานนั้นเจริญรุ่งเรืองยิ่ง มองไปแห่งหนใดล้วนมีแต่คฤหาสน์หรูหราตั้งตระหง่านอยู่ ทุกหนทุกแห่งดุจภาพวาดที่งดงาม
ทว่าผู้คนต่างรู้ดีว่า ที่นี่คือโลกที่กลืนกินมนุษย์
เสียงดังอื้ออึง!
เสียงคำรามสนั่นทั่วฟ้า มาจากสักแห่งในตัวเมืองซูหนาน
ที่นั่นคือสิ่งก่อสร้างทรงกลม ราวกับเป็นป้อมปราการ ผนังสูงราวสิบฟุต ภายนอกอาจดูธรรมดา แต่ภายในนั้นมีความลึกลับซ่อนอยู่
แต่ละชั้นของอัฒจันทร์เต็มไปด้วยผู้คน ประชาชนจากทั่วสารทิศล้วนแต่มารวมตัวกันที่นี่
เสียงโห่ร้องและความบ้าคลั่งของพวกเขาเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ดำเนินอยู่ในสนามประลองทรงกลมตรงกลางนั้น
เสียงโซ่ดังครืดคราด ฝุ่นฟุ้งกระจาย และยังมีเลือดที่สาดกระเซ็นไม่หยุดคอยกระตุ้นประสาทของผู้คน พวกเขาต่างลุ้นจนตาแดงก่ำ เห็นเส้นเลือดปูดโปนเป็นสีเขียวเด่นชัด น้ำลายกระจาย กำหมัดกำมือแน่น เพื่อส่งเสียงให้กำลังทาสที่พวกเขาวางเดิมพันไว้
เสียงดัง บ้าคลั่ง ชุลมุน โหดเ**้ยม ที่นี่คือสนามประลองทาสที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซูหนาน
การนั่งชมการประลองของเหล่าทาสเป็นความบันเทิงยอดนิยมในสมัยโฮ่วจิ้น
ในสนามประลองมีเรือนร่างผอมบางไม่น้อยที่ล้มลงกลายเป็นศพ ท่ามกลางศพมีทั้งชายและหญิง อายุราวสิบสองสิบสาม ล้วนยังเยาว์วัย
ถึงกระนั้น ภายในสนามยังมีหนุ่มสาวสิบกว่าคน ขณะที่การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด พวกเขายังคงดิ้นรนต่อสู้กันราวกับสัตว์ร้าย เพียงเพราะอยากเข้าใกล้เสาที่สูงตระหง่านตรงกลาง
บนยอดเสานั้น มีหมั่นโถวที่อวบอ้วนขาวฟู คอยรออยู่อย่างเงียบๆ
ทาสที่หิวโหยมาสามวันสามคืน เพื่อให้ได้ลิ้มลองรสชาติของหมั่นโถว ตอนนี้ต่างตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง
ในมุมหนึ่ง มีร่างหนึ่งที่อ่อนแอ ล้มตัวนอนลงอยู่อย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ทันใดนั้น มีร่างหนึ่งพุ่งมาจากที่ไกล ทุบตีนางอย่างรุนแรง มองดูแล้ว นางต้องกลายเป็นขนมเปี๊ยะเนื้อมนุษย์ใต้ร่างของผู้อื่นในบัดดล จังหวะนั้นเอง จากคนตัวเล็กที่เงียบสงบในตอนแรก เริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้แล้ว
นางกลิ้งไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ
การหลบของนางในครานี้ กลับทำให้ผู้นั้นล้มลงกับพื้นพอดิบพอดี
อำมหิตนัก
บนใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคราบ ดวงตาที่แหลมคมจู่ๆ ก็เบิกขึ้น
นางต้านรับการโจมตีจากชายที่ล้มลงประหนึ่งเป็นสิ่งที่เกิดมาจากสัญชาตญาณ
เด็กน้อย เกิดเหตุอะไรขึ้น เมื่อมองเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน นางประหลาดใจไปครู่หนึ่ง
แต่เด็กที่ล้มลงข้างๆ นางกลับกัดฟันกรอดแล้วพุ่งมาหานาง หวังจะใช้กริชในมือแทงเข้าไปในร่างกายของนาง
“ใครคิดฆ่าข้า ข้าก็ขอฆ่ามันก่อน” ว่าแล้วสายตาของนางก็เย็นวาบขึ้นมาทันที
ในความคิดของนาง ไม่แบ่งแยกเด็กหรือผู้ใหญ่แล้ว และไม่มีความเมตตาหรือการออมมือเหลืออยู่อีก นางแย่งกริชจากมือของเด็กนั้น ในขณะที่เขาตกใจอยู่ นางปักกริชเข้าตรงทรวงอกของเขาอย่าหมดจดงดงาม
นางชักกริชออกแล้วยืนขึ้น มองสำรวจโดยรอบ
เสียงตะโกนโหวกเหวกเหล่านั้นทำให้นางปวดหัวนัก สมองเบลอจนสิ้น ยากที่จะครุ่นคิดสิ่งใดได้
ที่แห่งนี้คือที่ใด นางถามตัวเอง ภายในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่กลับไม่สามารถอธิบายอะไรได้
อ้ากก! มีคนพุ่งมาหานางอีกครั้ง ราวกับว่าจะต่อกรกับนางนั้นง่ายดายยิ่ง
นางยิ้มเยาะไร้เสียง และไม่ครุ่นคิดให้มากความ เพียงต่อสู้ด้วยสัญชาติญาณของนางเอง กริชเปื้อนเลือดในมือนางแทงทะลุร่างของผู้คนไม่ซ้ำหน้าอย่างต่อเนื่อง ท่าทางของนางมีชีวิตชีวาราวกับผีเสื้อที่โบยบิน ขณะที่โบยบินอย่างชอบใจก็สังหารอย่างไร้ความปรานี
“ฆ่านาง ฆ่านาง ฆ่าให้ตาย”
ในเมื่อพวกเจ้าอยากฆ่าข้าให้ตาย เช่นนั้นก็เตรียมใจถูกฆ่าไว้ได้เลย! นางพึมพำกับตัวเองในใจ และลงมืออย่างรวดเร็วอำมหิตยิ่งขึ้น
“นี่มันอะไรกัน”
“โอ้ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนโต้กลับ”
“เหตุใดรูปร่างอ้อนแอ้นนางนี้ ถึงได้ปล่อยพลังที่เหลือล้นขนาดนี้มาได้”
“โอย ข้ามองพลาดไปแล้ว ทำไมคนที่ข้าวางเดิมพันไว้ถึงไม่ใช่นาง”
ผู้คนที่อยู่บนอัฒจันทร์ ทยอยลุกยืนขึ้นมา สังเกตดูฉากที่สะดุดตาที่สุดในสนามประลอง
“ฆ่าเลย”
“ฆ่าเลย”
“ฆ่าพวกมัน”
“ฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด แล้วหมั่นโถวจะตกเป็นของเจ้า”
เสียงตะโกนจากทั่วสารทิศ ยิ่งกระตุ้นร่างเล็กที่อยู่ในสนาม ทำให้ในสายตาของนางมีแต่การฆ่าฟันที่ไม่สุดไม่สิ้น
ในจุดสูงสุดของอัฒจันทร์ ในห้องแยกของชนชั้นสูงที่คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้ ดวงตาคู่หนึ่งที่สวยงามแต่ลึกลับคู่หนึ่งก็กำลังสังเกตฉากต่อสู้ในสนามนั้นอยู่ ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้นดุจแสงแรกของวัน และขยับปากเอื้อนเอ่ยว่า “ไม่เลว รับนางกลับเรือน”
“ขอรับ นายน้อย” มีคนตอบรับในทันที
ในสนามประลอง เหลือเพียงนางคนเดียว ร่างที่ผ่ายผอมบางราวกับเศษกระดาษ ยืนถือกริชอาบเลือดอยู่ตรงนั้น พลางหายใจหอบอย่างหนักหน่วง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความตกใจในดวงตาของนาง
เกิดอะไรขึ้น พลังจิตวิญญาณของนางมลายสิ้น แม้กระทั่งสายเลือดลมปราณของนางก็ถูกปิด ยิ่งกว่านั้น ศีรษะของนางปวดขึ้นเรื่อยๆ และสติของนางก็ค่อยๆ ลดลง
โครมคราม!
เสียงคำรามอึกทึกทำให้นางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เสียงดังยิ่งนัก นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาแหลมคมที่อยู่หลังผมหน้าของนาง มองไปยังผู้คนที่ส่งเสียงให้กำลัง คนพวกนี้กำลังโห่ร้องอะไรกัน
ทันใดนั้น มีเสียงที่ดังราวกับฟ้าร้อง ส่งลงมาจากฟากฟ้า “เจ้ายังไม่รีบปีนขึ้นไปเอาหมั่นโถวที่เป็นของเจ้าอีกหรือ”
หมั่นโถวงั้นหรือ นางเงยหน้าขึ้นมองหา สุดท้ายสายตาจดจ่อไปยังหมั่นโถวที่อยู่บนยอดเสา ศพที่เกลื่อนพื้น การฆ่าฟันที่บ้าคลั่ง ทั้งหมดนี้เพื่อหมั่นโถวก้อนเดียวงั้นหรือ นางผวาในใจ
นางไม่ขยับตัว เพียงจ้องมองไปยังผู้คนที่อยู่บนอัฒจันทร์ เย็นเฉียบไปทั่วร่าง
…
“กลับเถอะ” ในห้องชม ชายผู้สง่าผ่าเผยยืนขึ้นและสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
มีผู้อารักขาสี่คนติดตามอยู่ด้านหลัง
ชายผู้นี้ไม่ได้เดินออกจากทางเข้าหลัก แต่เดินออกผ่านทางของแขกผู้ทรงเกียรติ กระนั้น เมื่อเดินออกจากสนามประลอง เขากลับต้องขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว”
“สมกับเป็นเจ้านายน้อยของเมืองนี้นัก รูปลักษณ์ที่สวยงามเพียงนี้ หาพบได้ยากในโลก”
“ข้าได้เห็นเจ้านายน้อยเพียงครานี้ ก็สามารถตายตาหลับได้”
“สวรรค์บันดาล หล่อเหลาเหลือเกิน ประหนึ่งดาราแลจันทรา สว่างไสวจนผู้คนเขินอาย ทำได้เพียงเงยหน้าเชยชม”
…
นอกสนามประลอง คาดไม่ถึงว่ามีฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วน ล้อมรอบปิดถนนหนทางไว้ แม้นน้ำก็ไม่อาจไหลผ่านไม่ได้ ผู้คนทั้งงชายและหญิง ทั้งคนชราแลเด็กเล็ก ล้วนเดินทางมาเพียงเพื่อพบคนผู้เดียว
ตระกูลลู่ที่มั่งคั่ง ร่ำรวยบารมี ลู่เจี้ยเซิงเจ้าเจ้านายน้อยของตระกูล หน้าตาหมดจด หล่อเหลาแต่กำเนิด สง่างามดุจปีศาจ ท่วงทีประหนึ่งเซียน ทั่วทั้งอาณาจักรต่างขนานนามท่านว่าเป็นผู้ที่ดูดีที่สุดในโลกหล้า สง่างามที่สุดในโฮ่วจิ้นนี้
พอได้ยินว่าเจ้านายน้อยตระกูลลู่จะมาร่วมชมการประลองในวันนี้ด้วย ชาวเมืองซูหนานต่างล้อมรอบสนามไว้ เพียงเพื่อจะได้เชยชมบุคคลผู้มีรูปลักษณ์งดงามที่สุดในใต้ฟ้านี้เพียงครู่ ขนาดที่ว่าชาวบ้านรอบแคว้นเมืองซูหนาน เมื่อได้ยินข่าวคราวนี้แล้ว มีบางคนยอมเดินทางทั้งวัน เพียงเพื่อเฝ้ารอคอยพบหน้าชายหนุ่มผู้นี้เพียงครู่หนึ่ง แน่ทีเดียว ลู่เจี้ยมิได้ทำให้ผู้ใดผิดหวัง เขาสง่างามถึงขั้นที่มนุษย์และทวยเทพต่างอดใจชังเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือคนชราต่างอยากกลืนกินเขาทั้งตัวไม่เหลือให้ใครได้กลิ่น
“นายน้อยขอรับ ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่” ผู้อารักขาที่อยู่ด้านหลังลู่เจี้ยคุกเข่าลงขอรับโทษจากผู้เป็นนาย
ไม่ว่าข่าวคราวจะเล็ดลอดออกไปได้อย่างไร ล้วนเป็นเพราะคนเหล่านี้บกพร่องในหน้าที่ของตน
“นายน้อยลู่เจี้ย โปรดรับมาลัยดอกไม้จากข้าด้วยเถิด” ลู่เจี้ยยังไม่ได้ทันได้เปิดปากเอ่ยคำก็มีหญิงสาววัยแรกแย้มจำนวนไม่น้อยจากฝูงชนโยนพวงมาลัยดอกไม้มายังรถโดยสารของลู่เจี้ย
พอมีคนเริ่มนำ ฝูงชนยิ่งบ้าคลั่งขึ้นทวีคูณ พวกเขาต่างหลงใหลในรูปงามของลู่เจี้ย ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมละจากไป ต่างประชิดตัวมาใกล้เขามากยิ่งขึ้น ผลหมากรากไม้ และพวงมาลัยต่างถูกโยนไปยังรถม้า
“บังอาจ พวกเจ้ารีบออกไปให้พ้น หากนับถึงสามแล้วยังไม่ละไป จะถูกฆ่าทิ้งอย่างไม่ปรานี”
ความเงียบของลู่เจี้ยทำให้เหล่าอารักขารู้ว่าเขาโกรธมากเพียงไหน พวกเขาเอ่ยวาจาที่ดุร้ายขณะยืนอยู่ตรงหน้าลู่เจี้ยเพื่อปิดกั้นสายตาที่คอยสอดส่องพวกนั้นไว้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาประเมินเสน่ห์ของลู่เจี้ยต่ำเกินไป ฝูงชนไม่สนใจคำพูดของพวกเขาสักนิด
“สาม”
เมื่อมีเสียงตะโกนครั้งสุดท้ายดังขึ้น หญิงสาวที่เข้าใกล้ลู่เจี้ยถูกเฉือนเอวต่อหน้าธารกำนัล ยามนี้ฝูงชนสงบลงต่างทยอยถอยออกไปด้วยความหวาดกลัว
“กลับเรือน” ลู่เจี้ยออกคำสั่งเบาๆ ไม่มีความยินดียินร้ายปรากฏบนใบหน้าที่เย็นชาไร้เยื่อใย
ขณะนั้นเองมีคนจากด้านหลังรีบเข้ามารายงานว่า “นายน้อย ทาสนางนั้นหมดสติไปแล้ว”
ลู่เจี้ยขมวดคิ้วนิ่วหน้า ส่งผลให้หญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ไกลออกไปอยากจะกระโจนตัวเข้ามาช่วยให้เขาอารมณ์ดีขึ้น
“จะเป็นหรือจะตายล้วนขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต”
ลู่เจี้ยพูดทิ้งทวนอย่างเยือกเย็นก่อนจะเข้าไปในรถม้าที่คนใช้ทำความสะอาดแล้ว และจากไป…
คอมเม้นต์