ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 139 การเข่นฆ่ากันระหว่างวิญญาณยุทธ์
ทำลายนางหรือ!
เจียงหลีดวงตาโหดร้าย ใบหน้าเยือกเย็นขึ้นมาทันใด
สามคนนั้นเผยตัวออกมาก็ไม่ได้หวั่นเกรงใดๆ ถือโอกาสเปลี่ยนจากลอบสังหารเป็นสังหารไปเสีย ทั้งสามคนลงมือพร้อมกัน ใช้ทักษะการต่อสู้ของตนเองจู่โจมเจียงหลี
ทางข้างหน้า ทางซ้ายขวาถูกปิดกั้นไว้ เจียงหลีมีเพียงตัวเลือกเดียวก็คือทางด้านหลังของตน
ทว่า ด้านหลังนางนั้น เป็นภาพของวิญญาณยุทธ์ที่วิ่งกันอย่างบ้าคลั่ง หากพุ่งเข้าไป เกรงว่าไม่โดนสามคนข้างหลังสังหารตาย ก็คงโดนวิญญาณยุทธ์เหยียบตาย
ในระหว่างที่คนปกติกำลังตัดสินใจเลือกอยู่นั้น เจียงหลีก็หันหลังให้วิญญาณยุทธ์แล้วกระโดดลงไป
ร่างอันบอบบางของนาง เหมือนดั่งผีเสื้อสีดำ โบยบินอยู่กลางอากาศ ลมพัดเอาแขนเสื้อนางโบกสะบัด ผมดกดำปลิวไสว ใบหน้าอันงดงาม มองไปทางสามคนที่ไล่ตามมาอย่างเยือกเย็น
เห็นได้ชัดว่า สามคนนี้ไม่คิดว่าเจียงหลีจะเด็ดขาดเช่นนี้ เมื่อเห็นนางกระโดดลงไป ในขณะที่พวกเขากำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนออกมา
เมื่อเห็นวิญญาณยุทธ์ของพวกเขา ดวงตาอันเย็นเยือกของเจียงหลีก็เบิกกว้าง ในปากก็พูดออกมาสองคำอย่างเฉยชา “หลิงไซว่!”
ในบรรดาสามคนที่ไล่สังหารนาง หนึ่งในนั้น เป็นหลิงไซว่ อีกสองคนต่างก็เป็นหลิงเจี้ยง
เห็นได้ชัดว่า หลิงไซว่นั้นยังไม่ถึงระดับขั้นของการหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ที่สี่ เช่นนั้นจุดประสงค์ที่เขาเข้ามานั้น ไม่ก็เหมือนดั่งตระกูลเป่ยโหรวนั้นที่มาเพื่อล่าวิญญาณยุทธ์ ไม่ก็มาเพื่อสังหารนาง!
แต่ตอนนี้ จุดประสงค์ของฝั่งตรงข้ามนั้นชัดเจนแล้ว นั่นก็คืออย่างที่สอง
ใครกัน ที่ลงทุนมากถึงเพียงนี้ ใช้หลิงไซว่มาสังหารนาง
จะต้องเป็นคนที่รู้จักกำลังต่อสู้ของนางเป็นอย่างดี! รู้ว่าหลิงเจี้ยงขวางข้าไม่ได้ จึงได้ให้หลิงไซว่ลงมือ เจียงหลีแอบกล่าวอยู่ในใจ
ทันใดนั้นเอง สายตาเจ้าเล่ห์ของอู๋เชียนหมาแก่ตัวนั้น ก็ชัดเจนขึ้นมาในหัวของเจียงหลี
ตั้งแต่กำเนิดใหม่มา คนเดียวที่นางล่วงเกิน อีกยังมีความสามารถจ้างหลิงไซว่อีก เหมือนว่าจะมีเพียงเขา ตอนอยู่ในเมืองซูหนานนั้น นางทำเขาขายหน้า ต่อมาก็ทำลายแผนการลอบสังหารลู่เสวียนในหุบเขาโยวโยว หลังจากนั้นในสถานศึกษาไป๋หยวน ก็ท้าทายสำนักหลิงอู่ ทำให้พวกเขาต้องหนีบหางแล่นหนีไป แต่ละเรื่อง ต่างก็เป็นเหตุผลให้ไอ้แก่จิตใจคับแคบนั่นสังหารตนได้
“ทำอย่างไรดี” สามคนที่ไล่ตามมา เห็นเจียงหลีตกลงไปท่ามกลางวิญญาณยุทธ์ ทำได้เพียงหยุดฝีเท้าลง ยืนอยู่ตรงหน้าผาที่ยื่นออกมา
คนที่เอ่ยปากนั้น หันไปถามหลิงไซว่ผู้นั้น
เวลานี้ ทั้งสามก็ได้เก็บวิญญาณยุทธ์ของตนไปแล้ว
หลิงไซว่ส่งเสียง หึ! อย่างเย็นชา แล้วมองดูภาพวิญญาณยุทธ์ที่วิ่งแล่นไปมา “นางกระโดดลงไป เพียงแต่เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น ดูแล้ว คงไม่ต้องถึงมือพวกเรา ก็บรรลุจุดประสงค์ได้แล้ว”
“แต่ว่า ตกลงไปท่ามกลางวิญญาณยุทธ์ ถึงแม้นางจะตายในอาณาเขตหลิงอู่ ไม่รู้ว่าจะถูกกลืนกินไปมากน้อยเพียงใด แต่ที่ผู้อาวุโสอู๋อยากได้ ก็คือทำลายรากฐานการบำเพ็ญของนางนี่!” หลิงเจี้ยงอีกคนกล่าวอย่างลังเล
หลิงไซว่ขมวดคิ้ว “ก็ช่วยไม่ได้ ใครจะรู้ว่านางจะโหดเ**้ยมเพียงนี้ กล้ากระโดดลงไปตาย วางใจได้ ถูกวิญญาณยุทธ์ฉีกเป็นชิ้นๆ ไม่ได้ทรมานน้อยไปกว่าตายในมือพวกเราหรอก” พูดจบ เขาก็หัวเราะเยาะอีก
หลิงเจี้ยงสองคนพยักหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ของเขา
เมื่อมองดูกลุ่มวิญญาณยุทธ์ที่ทำให้แผ่นดินสะเทือนเหล่านั้น ขนาดพวกเขายังรู้สึกขนลุก นับประสาอะไรกับเด็กสาวที่เพิ่งจะถึงขั้นหลิงซื่อกัน
บนแผ่นดินทุรกันดารนั้น กลุ่มวิญญาณยุทธ์มากมายจนมองไม่เห็นปลายทาง ฝุ่นดินที่ฟุ้งกระจายนั้นก็ปกคลุมสายตาไปหมด
เจียงหลีนั้น พวกเขาเป็นคนเห็นว่าตกลงไปในกลุ่มวิญญาณยุทธ์กับตา
ทว่า ในขณะที่พวกเขาเตรียมจะกลับไป กลับเห็นแสงสีดำระเบิดออกมาจากกลุ่มวิญญาณยุทธ์นั้นขึ้นมาทันใด เหยียบอยู่บนหลังของวิญญาณยุทธ์เหมิงหนิวตัวหนึ่ง สองมือนั้นจับเขาของมันเอาไว้ แล้วหายตัวไปต่อหน้าพวกเขากับกลุ่มวิญญาณยุทธ์เหล่านั้น
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตา เร็วจนพวกเขาไม่ทันได้ตอบสนอง
รอให้พวกเขารู้ตัวอีกที เจียงหลีก็หายไปกับวิญญาณยุทธ์เหมิงหนิวท่ามกลางฝุ่นดินเสียแล้ว
“รีบตามเร็ว…!”
หลิงไซว่สายตาดุร้ายขึ้นมาทันใด ออกคำสั่งกับสองคนด้านข้าง
ทั้งสามวิ่งไปตามสันเขา ไล่ไปทางที่เจียงหลีหายตัวไป
…
ท่ามกลางฝุ่นดิน เจียงหลีสองเท้าเหยียบบนสันหนอกที่นูนขึ้นมาของเหมิงหนิว สองมือก็จับเขาอันแหลมโค้งงอทั้งสองบนหัวของมันไว้แน่น แล้วก็แอบโล่งอกในใจ
นางยื่นมือมาตบหัวเหมิงหนิวเบาๆ แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “โชคดีที่เจอเจ้า มิเช่นนั้นครั้งนี้คงยากจะรอดมาได้”
หลังจากนางตกลงมา ก็ใช้ความว่องไวของร่างกายหลบหลีกการถูกเหยียบย่ำจากวิญญาณยุทธ์ เหมิงหนิวนี้ผ่านมาพอดี นางจึงปีนขึ้นแล้วถือโอกาสหนีไป
โชคดีที่เหมิงหนิวเชื่องยิ่งนัก หากเจอวิญญาณยุทธ์ที่นิสัยโหดร้าย เกรงว่าคง…
โฮกกก…!
ความปีติในใจของเจียงหลีเพิ่งจะสิ้นสุดลง ด้านหลังและซ้ายขวาก็มีเสียงคำรามของวิญญาณยุทธ์ลอยมา เสียงร้องอันน่ากลัวเช่นนั้น ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไปชั่วขณะ
นางรีบมองไปยังที่มาของเสียงนั้น แล้วก็เห็นดวงตาที่เยือกเย็นและโหดร้ายสองสามคู่
ดวงตาเหล่านั้น ต่างก็มีขนาดประมาณเท่ากับลูกกระดิ่ง น่าผวายิ่งนัก
“…” เพิ่งจะออกจากถ้ำเสือ ก็มาเข้ารังหมาป่าอีกเสียแล้ว เจียงหลีมีความคิดอยากจะฉีกคนที่ไล่สังหารนางสามคนนั้นให้เป็นชิ้นๆ
หากมิใช่พวกเขา นางจะมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
“คือว่า…ข้าเพียงแต่ผ่านมาเท่านั้น…ไม่ได้มีเจตนาร้ายใด…เหอะๆ…” เจียงหลีแสยะยิ้ม หวังว่าวิญญาณยุทธ์เหล่านี้จะไม่ลงมือกับตน
แต่น่าเสียดายที่ วิญญาณยุทธ์เหล่านี้ไม่ได้รับรู้ถึงความเป็นมิตรจากรอยยิ้มของนาง หลังจากคำรามแล้ว ต่างก็พุ่งกระโจนเข้ามาหาเจียงหลีที่อยู่บนสันหลังเหมิงหนิวนั้น
โธ่เอ้ย!
เจียงหลีดวงตาเบิกกว้าง สองเท้าเหยียบอย่างแรง แล้วกระโดดลงจากหลังเหมิงหนิว
มอ…!
ความแรงนั้น ทำให้เหมิงหนิวเจ็บปวดจนร้องออกมา เท้าหน้าก็คุกเข่าลง ทิ่มไปบนพื้นอย่างจัง แล้วกลิ้งไปข้างหน้าสองสามตลบ ก่อกวนฝีเท้าวิญญาณยุทธ์เหล่านั้น
ส่วนเจียงหลี หลังจากลอยกลางอากาศแล้ว ก็รีบปลดปล่อยเลี่ยเทียนซื่อ
นางหวังว่า ใช้เลี่ยเทียนซื่อเข้ากดดัน จะสามารถสยบวิญญาณยุทธ์เหล่านี้ได้
เป็นจริงดังนั้น เมื่อแสงสีทองด้านหลังนางได้เปล่งประกายออกมา เมื่อรูปร่างอันมหึมาของเลี่ยเทียนซื่อลอยอยู่ด้านหลัง เหล่าวิญญาณยุทธ์ที่เดิมทีจะจู่โจมนางก็เผยความหวาดกลัวขึ้นมาในดวงตา
พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้ ทำได้เพียงถอยหลังไปเรื่อยๆ
อำนาจความกดดันของเลี่ยเทียนซื่อนั้น ส่งผลต่อกลุ่มวิญญาณยุทธ์เหล่านี้ ทำให้พวกมันสงบลงจากความบ้าคลั่ง
“เจียงหลี จะหนีไปไหน”
เสียงตะคอกที่ลอยมาทันใดนั้น ทำให้เจียงหลีกลอกตาไปดู เมื่อเห็นสามคนนั้นที่ตามกัดไม่ปล่อย สายตานางก็เหมือนดั่งมีดดาบ
ส่งเสียงร้อง หึ! อย่างเยือกเย็น นางตกลงมาจากกลางอากาศ เหยียบอยู่บนหลังเหมิงหนิวที่เพิ่งจะลุกขึ้นมาอย่างมั่นคง
เหมิงหนิวถูกเหยียบอีกครั้ง ขาทั้งสี่ก็สั่นเทาเล็กน้อย
แน่นอนว่า ไม่ใช่เพราะเจียงหลีหนักเกินไป แต่ในเนตรญาณของนางมีลมปราณของเลี่ยเทียนซื่ออยู่ ทำให้เหมิงหนิวหวาดกลัว
เห็นว่าเหมิงหนิวตกใจกลัวจนไม่ขยับตัว เงาคนสามเงานั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เจียงหลีขมวดคิ้วตะคอกอย่างเยือกเย็น “รีบไป! หากไม่ไป ข้าจะสังหารเจ้าเสีย”
เหมิงหนิวได้ยินดังนั้นก็…
คอมเม้นต์