ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม – ตอนที่ 91 เหตุไม่คาดฝันในแดนพิศวง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม ตอนที่ 91 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ณ แดนวิญญาณ ธารน้ำเขียวมรกตกระจายอยู่ทั่วพื้นที่

งูหลามตัวเขื่องหลายตัวเลื้อยไปเลื้อยมา นัยน์ตาเย็นเยือกจ้องชายชุดขาวที่กำลังเยื้องย่างมาเขม็ง

ทั้งพื้นที่มีหมอกสีเขียวหนาแน่น หมอกเหล่านี้แฝงด้วยพิษร้ายแรง สามารถฆ่าคนได้โดยไม่รู้ตัว

เซวียนหยวนเฉิงถือกระบี่ เมื่อมีงูหลามกระโจนใส่เขา ล้วนถูกกระบี่ของเขาหั่นเป็นชิ้นเนื้อ ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว

สูญญากาศสีขาวทรงกลมคุ้มกันรอบตัวเขา ขวางกั้นพลังของพิษร้ายแรงทั้งหมด

“ต้นตอของหมอกพิษ…อยู่ละแวกนี้นี่แหละ”

เขาเงยหน้าขึ้นมอง ร่างใหญ่โตมโหฬารกำลังปรากฏตัวขึ้นช้าๆ

มันสูงสิบจั้ง มีพลังแก่กล้า บนร่างมหึมามีเศียรงูน่าครั่นคร้ามเก้าเศียร

พวกมันแลบลิ้น จ้องเซวียนหยวนเฉิงไม่วางตา

เซวียนหยวนเฉิงระเบิดพลังอันน่าตะลึง

หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ กระโดดขึ้นไป พุ่งใส่สัตว์ประหลาดเก้าเศียรตัวนั้นอย่างไม่เกรงกลัว

ณ แดนแบ่งจิต ที่นี่เป็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มผืนกว้าง

ที่มีอากาศปลอดโปร่ง พลังปราณหนาแน่น มีสายลมโชยผ่านเป็นระยะๆ ชวนให้ผ่อนคลายสบายใจ

เมื่อเซียนพสุธาเยว่อิ่งกับเซียนพสุธามิ่งหยวนเข้ามาถึง ก็เห็นร่างที่โผล่พ้นทุ่งหญ้าขึ้นมา

ศพของมังกรดำตัวหนึ่งทอดยาวอยู่บนทุ่งหญ้า มันมีความยาวราวๆ สามสิบกว่าจั้ง หมอบแห้งเหี่ยวอยู่บนพื้น ด้านหลังเต็มไปด้วยรอยกระบี่ที่น่ากลัวสุดขีด

แม้มันจะตายไปแล้ว แต่ยังคงแผ่คลื่นพลังอันน่าตะลึง

“เลือดของมังกรตัวนี้ถูกดูดจนแห้งขอด เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด”

เซียนพสุธาเยว่อิ่งจ้องซากมังกร อักขระสีทองก็ลอยขึ้นจากหน้ากระดาษ ซึมหายไปในศพมังกร

จากการวินิจฉัยของอักขระเหล่านั้น นางสัมผัสได้ถึงพลังที่หลงเหลืออยู่ภายใน

จากนั้น นางก็พอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับพลังของศัตรูคร่าวๆ แล้ว

“มีศัตรูทั้งหมดสามชีวิตที่โจมตีมังกรตัวนี้ ผีดูดเลือดสองตน พลังระดับแปลงจิตขั้นกลาง ศัตรูอีกตน คงจะเป็นจักรพรรดิปีศาจที่พวกอันหลินพูดถึง เพียงแต่ว่าพลังของมันค่อนข้างพิลึก ไม่ค่อยเหมือนพลังเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากป้ายวิญญาณโลหิต…”

เซียนพสุธามิ่งหยวนได้ยินก็ยิ้มบางๆ “ไม่ว่าจักรพรรดิปีศาจตั้งใจว่าจะแปรเปลี่ยนเป็นเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดหรือไม่ พวกเราแค่สังหารเขาเป็นพอ เร็วเข้าเถอะ จะปล่อยให้พวกเขาทำลายค่ายกลในแดนเป็นหนึ่งต่อไปไม่ได้แล้ว”

เซียนพสุธาเยว่อิ่งพยักหน้า นางกับมิ่งหยวนล้วนเป็นนักพรตระดับแปลงจิตขั้นปลาย การจัดการศัตรูสามตนนี้ ไม่นับว่ากดดันอะไร

จากนั้น ทั้งคู่ก็ตรงไปที่ประตูมิติของแดนเป็นหนึ่ง…

ในแดนกระดูก

ประตูบานนั้นเริ่มหม่นแสงลงช้าๆ

ไม่ใช่เพราะแสงสว่างลดลง แต่เพราะมีความมืดบางอย่าง กำลังกลืนกินแสงสว่างอย่างเชื่องช้า

สุดท้าย เส้นทางนั้นก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท

“ตึกตักๆๆ…”

เสียงดุจจังหวะเต้นของหัวใจดังมาจากหลังประตู

เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะฉีกประตูบานนี้แล้ว

“เสี่ยวหลาน…เจ้ามีวิธีหลบหนีจากแดนพิศวงหรือไม่”

เมื่ออันหลินได้ยินเสียงนั้น เนื้อตัวก็ชาวาบ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นมา

สวีเสี่ยวหลานส่ายหน้า หน้าผากขาวผ่องชื้นเหงื่อ จ้องไปที่ประตูดำสนิทบานนั้นอย่างหวาดระแวงเช่นกัน

พลังอันน่าสะพรึงกำลังแทรกซึมเข้ามาในแดนกระดูกช้าๆ ชวนให้รู้สึกว่าเริ่มหายใจลำบาก

หากเป็นบทละครทั่วไป คงจะเป็นเซียนพสุธาเยว่อิ่งและเซียนพสุธามิ่งหยวน ที่กำจัดศัตรูในแดนเป็นหนึ่งจนเหี้ยนแล้ว จากนั้นส่งสัญญาณ ให้พวกอันหลินเข้าไปในแดนเป็นหนึ่ง

แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ใช่!

แกรก

รอยแตกปานกระจกร้าวปรากฏให้เห็นบนบานประตู จากนั้นก็ลุกลามไปทั่วประหนึ่งใยแมงมุม

พลันก็มีมือขาวผุดผ่องทะลุประตูออกมา จากนั้นสองมือก็ฉีกมัน!

ครืน!

ผิวดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น ประตูถูกทำลายแล้ว

พลังมิติอันน่ากลัว ก่อตัวเป็นพายุหมุนพัดหวีดหวิวไปทั่วทุกสารทิศ

ไม่ว่าสิ่งใดที่สัมผัสกับพลังมิติ ล้วนถูกบดละเอียด อันตรธานหายไปอย่างสิ้นเชิง

อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานถอยหลังกรูด หลบหลีกพลังบ้าคลั่งนั้น

หญิงชุดดำคนหนึ่งลอดผ่านซากประตูออกมา เท้าขาวผ่องย่ำลงบนผืนดินที่เต็มไปด้วยกระดูกสีขาว

เมื่อนางปรากฏกาย พลังมิติรอบข้างก็เริ่มสงบลง แม้แต่ประตูก็เริ่มสมานกัน

หญิงคนนี้มีรูปโฉมงดงาม ผมยาวสลวยดุจแพรไหม ด้านหลังมีปีกสีดำคู่หนึ่ง

เผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ!

เมื่ออันหลินเห็นฉากนี้ก็เบิกตากว้าง หญิงคนนี้มาจากเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬงั้นเหรอ!

หญิงชุดดำคนนี้ก็สังเกตเห็นพวกอันหลินเช่นกัน

เมื่อสบสายตา ราวกับว่าดวงตาดำขลับลุ่มลึกของนางจะดูดจิตใจของอันหลินเข้าไป

เพียงแค่แวบเดียวที่สบตา อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานก็รู้สึกถึงความน่ากลัวอย่างมหันต์ อ่อนแรงจนเริ่มทรงตัวไม่อยู่

แข็งแกร่งยิ่งนัก!

เมื่ออันหลินถูกมองเช่นนี้ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับหุบเหวอันลึกล้ำ ไม่อาจต่อต้านได้เลย

หญิงชุดดำไม่แยแสมนุษย์สองคนนี้ มองผ่านไปประหนึ่งฝุ่นผง กวาดสายตามองรอบๆ ต่อ

ตะปูสีเลือดลอยอยู่ข้างตัวนาง มันส่องแสงสีแดงอย่างน่าประหลาด

“ผิดแล้ว…ตะปูข้ามมิติ ต่อไป!”

เมื่อเสียงเย็นเยือกดังขึ้น ตะปูสีเลือดก็สั่นระริก จากนั้นก็ปักลงในมิติ

ครืน!

มิติเริ่มแยกออก มีหลุมดำสนิทปรากฏขึ้นอีกครั้ง

แผ่นดินกระดูกขาวเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเช่นการฉีกมิติแล้ว…

เห็นได้ชัดว่า ค่ายกลก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรงด้วยเช่นกัน!

หญิงชุดดำหันหลัง เดินเข้าไปในเส้นทางดำสนิทโดยไม่เหลียวหลังมอง

เส้นทางก็ค่อยๆ หดลงเรื่อยๆ เมื่อหญิงชุดดำก้าวเข้าไปแล้ว

สุดท้าย ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ

“นางจากไปเช่นนี้เลยหรือ”

อันหลินไม่อยากจะเชื่อเลย เขาจ้องเส้นทางที่หายลับไปนานแล้วอึ้งๆ

สวีเสี่ยวหลานยิ้มแหย “ในสายตานาง พวกเราคงเป็นเพียงมดตุ่นไร้ภัยคุกคามกระมัง”

อันหลินได้สติ พูดเสียงร้อนรนว่า “ชาวปีกทมิฬข้ามมาแล้ว และพลังก็แก่กล้าจนน่ากลัว เป้าหมายของนางคงจะเป็นกระบี่พิชิตมาร พวกเราจำต้องรีบส่งข่าวไปบอกอาจารย์เยว่อิ่งโดยไว!”

“แต่จะรายงานอย่างไรเล่า ยันต์สื่อสารมีเพียงอาจารย์เยว่อิ่งที่ใช้มันได้ แถมยันต์สื่อสารส่งสัญญาณได้เพียงลุกไหม้และส่องเท่านั้น หากว่ายันต์สื่อสารลุกไหม้ เท่ากับว่าพวกเราสามารถเข้าไปในแดนเป็นหนึ่งได้แล้ว แต่ตอนนี้…”

สวีเสี่ยวหลานถือยันต์สื่อสารสีเหลืองด้วยใบหน้าจนปัญญา

อันหลินได้ฟังก็ชะงักงัน จากนั้นก็ทอดถอนหายใจ

เขาหยิบมือถือออกมา พบว่าไม่มีสัญญาณ ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ คราวนี้อับจนหนทางแล้วจริงๆ

“ข้าพบปัญหาอีกประการ…” อันหลินชี้ไปทั่วแดนกระดูกอันว่างเปล่า “เหมือนว่าประตูของแดนเป็นหนึ่งจะถูกหญิงคนนั้นทำลายไปแล้ว และอาจารย์เยว่อิ่งก็เข้ามาไม่ได้เพราะข้อจำกัดทางพลังยุทธ์ พวกเราทำได้แค่รออยู่ที่แดนกระดูกนี่หรือ”

สวีเสี่ยวหลานกะพริบตาปริบๆ ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาแล้วเช่นกัน

แต่ว่า สุดท้ายนางก็คิดหาทางแก้ไขปัญญาไม่เจอ ทำได้เพียงทรุดตัวนั่งลงบนพื้นด้วยความกังวลใจ

แดนวิญญาณ เมื่อเศียรสุดท้ายของสัตว์ประหลาดเก้าเศียรถูกลำแสงสีขาวตัดฉับ ร่างมหึมาก็ล้มลงกับพื้นทันที

เซวียนหยวนเฉิงสะบัดกระบี่ เลือดบนกระบี่ก็หยดลงมา

ใบหน้าของเขาดูอิดโรย แต่นับว่าโชคดีที่ไม่บาดเจ็บ

หมอกพิษรอบตัวก็ค่อยๆ สลายหายไปเมื่อสัตว์ประหลาดเก้าเศียรล้มลงไป ประตูสีขาวบานหนึ่งปรากฏขึ้น

“อืม ลำดับต่อไปก็รอให้ยันต์สื่อสารลุกไหม้ เราก็เข้าไปได้แล้ว”

เซวียนหยวนเฉิงมองยันต์ในมือแล้วพูดพึมพำ

ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ยันต์ในมือเขาก็สาดแสงสว่างเจิดจ้า

“เอ๊ะ ยันต์ส่องแสงหมายความว่าอย่างไร ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกไว้นี่นา”

เซวียนหยวนเฉิงจ้องยันต์ในมืออย่างงุนงง

หรือว่าอาจารย์เยว่อิ่งจะส่งสัญญาณผิด แท้จริงแล้วนางจะทำให้ยันต์ลุกไหม้

เซวียนหยวนเฉิงมองบานประตูสีขาว เริ่มลังเลขึ้นมา

เข้า หรือไม่เข้า

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด