ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม – ตอนที่ 105 พี่อันกับเจ้าอัปลักษณ์
หากว่าเขาเลือกหนีละก็ บางทีอาจไม่ต้องเสียยันต์ห้าสิบกว่าแผ่นไป
แต่อันหลินเลือกจะอยู่ต่อ เพื่อช่วยเหลือราชาวานรเนตรทอง
ราชาวานรเนตรทองเดินไปยืนข้างอันหลิน ยกมือขึ้นคารวะแล้วพูดว่า “ขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ช่วยข้าไว้”
อันหลินมองราชาวานรอัปลักษณ์อย่างประหลาดใจ “พวกข้าขโมยผลเซียนของเจ้า เจ้ายังจะขอบคุณข้าอีกหรือ”
รอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏบนใบหน้าของราชาวานรอัปลักษณ์ “ผลเซียนอยู่ในมือของพวกเจ้า ย่อมดีกว่าตกไปอยู่ในมือของคนชั่วอย่างสหายทรยศ อีกอย่าง ตอนแรกเจ้าเลือกจะหนีไปได้ แต่เจ้ากลับเลือกจะอยู่เพื่อช่วยข้า”
“แค่ประการนี้ ข้าก็ควรจะขอบคุณเจ้าแล้ว”
อันหลินยิ้มอย่างเก้อเขิน หยิบผลเซียนลูกหนึ่งออกจากแหวนมิติ “เอาอย่างนี้…ข้าให้ผลเซียนเจ้าลูกหนึ่ง เพราะเจ้าดูแลมันจนสุกงอมอย่างยากลำบาก ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ชิมคงไม่ได้”
ราชาวานรอัปลักษณ์มองผลเซียนที่อันหลินยื่นให้ พลันน้ำตาก็เอ่อล้นดวงตาสุกใสดุจโคมไฟคู่นั้นของมัน
เขาถูกสหายทรยศหักหลัง เรียกได้ว่าเป็นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในใจแล้ว
แต่ชั่ววินาทีแห่งความอันตราย มีคนคนหนึ่งลุกขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
ไม่เพียงแต่ลงมือช่วยเหลือมัน แต่ยังให้ผลเซียนที่ล้ำค่าอย่างยิ่งแก่มัน…
ทั้งๆ ที่ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ แต่คนคนนี้กลับเลือกจะทำ
เพราะอะไร…
ทำไมถึงดีกับมันขนาดนี้…
ราชาวานรรับผลเซียนมา สั่นเทาไปทั้งตัว
น้ำตาเม็ดโตกลิ้งผ่านใบหน้าของมัน ช่างเป็นภาพที่ตื้นตันใจนัก
เซวียจั๋วหมิงและพวกลั่วจื่อผิงกลับงุนงงอย่างสิ้นเชิง ต่างก็มองภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
เรื่องอะไรกัน
ตอนนี้สถานะของพวกเขาต้องเป็นขโมยไม่ก็โจรไม่ใช่หรือ
อันหลินคืนผลเซียนที่ขโมยมาให้ราชาวานรอัปลักษณ์ ฉากนี้น่าเหลือเชื่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ทว่าภาพที่ราชาวานรอัปลักษณ์รับผลเซียนไปด้วยใบหน้าอาบน้ำตา ตื้นตันใจเป็นที่สุด ยิ่งสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับพวกเขา
เซวียจั๋วหมิงทึ้งผมตัวเองอย่างบ้าคลั่ง “ใครบอกข้าได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
ดวงตาหยาดเยิ้มของเหมียวเถียนมีน้ำตาคลอหน่วย “แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก!”
จงหย่งเหยียนโบกพัดอย่างแข็งทื่อ “ทุกการกระทำของลูกพี่อันล้วนเป็นกิริยาของยอดฝีมือ หาใช่สิ่งที่คนอย่างเราจะหยั่งถึงได้”
อันหลินเห็นราชาวานรอัปลักษณ์แสดงอาการเช่นนี้ ก็ยิ่งละอายใจไปกันใหญ่ “พอหรือไม่ เดิมทีกลุ่มข้ามีผลเซียนแค่หกลูก หากว่าไม่พอละก็ ข้าจะยกส่วนของข้าให้เจ้า”
เมื่อราชาวานรอัปลักษณ์ได้ฟังก็โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องๆ! พอแล้วจริงๆ ที่เหลือพวกเจ้าแบ่งกันเองเถอะ!”
ราชาวานรปาดน้ำตา จ้องอันหลินแล้วพูดว่า “ยังไม่ได้ถามฉายานามของสหายเลย”
อันหลินยกมือขึ้นคารวะ “ข้ายังไม่มีฉายานาม เรียกข้าว่าอันหลินก็พอ”
ราชาวานรได้ยินก็พยักหน้า “สหายอันหลิน ข้าอัปลักษณ์ เจ้าเรียกข้าว่าราชาวานรอัปลักษณ์ก็ได้!”
“ราชาวานรอัปลักษณ์ไม่เพราะเอาเสียเลย เรียกเจ้าอัปลักษณ์ดีกว่า!”
“เรียกแล้วไม่เปลืองแรง แถมยังไพเราะด้วย!”
อันหลินไม่เคยคิดเลยว่าพรสวรรค์แห่งการตั้งชื่อของเขาน่าตะลึงเพียงใด ทำเอาเสี่ยวหงในกระเป๋าสะดุ้งโหยง กลัวว่าเจ้านายจะถูกกระบองฟาดตาย
ใครจะรู้ว่าราชาวานรเนตรทองยืนนิ่งกับที่ ความอบอุ่นกำลังแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของมัน
เจ้าอัปลักษณ์…
ช่างเป็นชื่อที่ดูสนิทสนมกันนัก!
นึกถึงตอนนั้น เคยมีจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งเรียกมันเช่นนี้เหมือนกัน…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ราชาวานรอัปลักษณ์ที่เพิ่งถูกสหายแทงข้างหลังไปหมาดๆ ก็น้ำตารื้น แทบจะร้องไห้ออกมา
“พี่อัน ไป ในถ้ำข้ามีเครื่องดื่ม มีของอร่อย ดื่มกับเจ้าอัปลักษณ์สักกาดีไหม”
ราชาวานรเนตรทองมองอันหลินด้วยความตื้นตัน
อันหลินลูบคางเล็กน้อย มองท้องฟ้าแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ก็ดี วันนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“ฮ่าๆ ๆ พี่อันอยากกินอะไรบอกเจ้าอัปลักษณ์ได้เต็มที่เลย ผลหมากรากไม้ของป่าอุดมสมบูรณ์ มีทุกอย่าง…”
ด้วยเหตุนี้ ราชาวานรเนตรทองกับอันหลินจึงกอดคอเดินเข้าถ้ำไปด้วยกัน
เซวียจั๋วหมิงและพวกลั่วจื่อผิงยืนอยู่ท่ามกลางความสับสนงุนงง
พวกเขากระตุกมุมปาก จ้องมองภาพตรงนี้ เงียบงันพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
เจ้าอัปลักษณ์? พี่อัน?
นี่มันตัวอะไรกับตัวอะไรกันแน่ล่ะเนี่ย!
เจ้ามาขโมยของนะสหาย!
ขโมยของเสร็จ โจรไม่หนีไม่พอ
เจ้าของยังกลายเป็นสหายโจร ต้อนรับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่
มุมมองของเซวียจั๋วหมิงพังทลายไปแล้ว เขาไม่เข้าใจการเดินเรื่องดุจเขาวงกตนี่เอาเสียเลย
ลั่วจื่อผิงขยี้ตาด้วยอาการตกตะลึง “พวกเขาบ้าไปแล้ว หรือโลกใบนี้ที่บ้าไปแล้ว!”
จงหย่งเหยียนโบกพัดอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่พูดอะไร
แต่เหมียวเถียนกลับจับมือซุนเซิ่งเหลียน ตามอันหลินเข้าไปในถ้ำ “เร็วเข้าสิพี่ซุน ข้าก็หิวแล้วเหมือนกัน!”
…
เหล่าทหารวานรทั้งหลายยกถาดอาหารมาถาดแล้วถาดเล่า รวมถึงผลเซียนและสุราเลิศรสอันเป็นผลผลิตเฉพาะของเขาดอกผล
อันหลินและราชาวานรเนตรทองร่ำสุราสนทนากันอย่างออกรส สมาชิกที่เหลือก็กินอาหารไปไม่น้อยเลย
แม้สมาชิกกลุ่มล่าสัตว์จะระแวง แต่เมื่อเห็นว่าอาหารไม่มีปัญหาอะไร ก็เริ่มลงมือกิน
มีเพียงเหล่าทหารที่ตามหลังพวกอันหลินเฝ้าอยู่นอกถ้ำเท่านั้น
ระหว่างนี้ยังมีวานรตัวเมียที่รูปโฉมงดงามเริงระบำอยู่ด้านบน
อืม…
มองด้วยสายตาของมนุษย์ รู้สึกธรรมดาเป็นอย่างมาก
“ไม่ทราบว่าสหายอัปลักษณ์กับราชาวานรฉีเทียนต้าเซิ่ง[1]ท่านนั้นเกี่ยวข้องอะไรกันหรือ”
เมื่อดื่มกันได้ที่แล้ว อันหลินก็ถามคำถามที่สนใจใคร่รู้ที่สุดออกมา
หากไม่ใช่เพราะราชาวานรเนตรทองอัปลักษณ์ไปหน่อย การแต่งกายของมัน อาจถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซุนหงอคงผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าในตำนานตนนั้นได้
เมื่อเอ่ยถึงฉีเทียนต้าเซิ่ง ดวงตาของราชาวานรเนตรทองก็เป็นประกายยิ่งกว่าเดิม พูดอย่างเชื่องช้าว่า “เขาเป็นต้นแบบของข้า! เจ้าลองคิดดูสิ เหยียบทักษิณสวรรค์ ทลายเมฆา เป็นการสร้างเกียรติให้กับเผ่าพันธุ์วานรของพวกเรามากแค่ไหน!”
“สักวันหนึ่ง ข้าก็จะแบกกระบองขึ้นบุกสรวงสวรรค์เช่นกัน!”
“พรืด…” เหมียวเถียนที่กำลังจิบเหล้า พ่นออกมาอย่างอดไม่ได้
พวกลั่วจื่อผิงเองก็ทำหน้าประหลาด
ให้ตายสิ…พวกเขาก็คือคนของสรวงสวรรค์ไหมเล่า!
มาสู้กันสักยกตอนนี้เลยดีไหม
“แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ท่านซุนหงอคงอยู่ที่แดนสุขาวดีทางตะวันตก ไปต่อสู้กับพระพุทธองค์แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเองสักครา” ใบหน้าของราชาวานรเนตรทองฉายความเสียดาย
อันหลินได้ฟังก็พยักหน้าพลางทำท่าครุ่นคิด เมื่อดื่มเหล้าผลไม้ไปอีกจอกแล้ว ก็เอื้อนเอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “เจ้าอัปลักษณ์ อันที่จริงโลกใบนี้กว้างใหญ่นัก เจ้าไม่อยากออกไปท่องโลกหน่อยหรือ บางทีเมื่อได้ท่องเที่ยวทัศนาจร ความสามารถเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วแล้ว แดนสุขาวดีทางตะวันตกของแผ่นดินบรรพกาล อาจไม่ไกลโพ้นสำหรับเจ้าแล้วก็ได้”
ราชาวานรเนตรทองได้ฟังกลับทอดถอนหายใจ “เจ้าว่าข้าไม่เคยคิดหรืออย่างไร เพียงแต่ว่ามนุษย์เจ้าเล่ห์เพทุบาย เล่ห์กลลึกล้ำดุจทะเล หากพลาดพลั้งอาจลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป สู้บำเพ็ญเพียรอยู่ในเขาดอกผลดีกว่า แม้ไม่มีโอกาสแถมยังช้าไปหน่อย แต่ปลอดภัย!”
ใครจะรู้ว่าอันหลินจะส่ายหน้าอย่างหนักแน่นเมื่อฟังจบ “หากวันนี้ข้าไม่อยู่ จุดจบของเจ้าจะเป็นอย่างไร”
ราชาวานรเนตรทองได้ยินก็ชะงัก จากนั้นก็ถอนหายใจราวกับกระจ่างใจแล้ว “ข้าคงจะตาย”
อันหลินพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “ฉะนั้นแล้ว เล่ห์กลของมนุษย์ลึกล้ำ ป่าลึกน่ากลัวยิ่งกว่า…”
“อาศัยอยู่ในเขาวิเศษ ไม่แน่ว่าอาจถูกสัตว์ประหลาดเพ่งเล็ง การสร้างความแข็งแกร่งโดยไวเท่านั้นที่เป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว!”
“ความหมายของพี่อันคือ…” ราชาวานรเนตรทองมองอันหลินแล้วเอ่ยถาม
“ความหมายของข้าคือ ลองไปกับข้าสักระยะหนึ่ง ออกไปท่องโลกก่อน หากว่าไม่คุ้นชินกับชีวิตข้างนอก เจ้าค่อยกลับเขาวิเศษ!” อันหลินพูดอย่างเคร่งขรึม
ด้วยเหตุนี้ เซวียจั๋วหมิงและพรรคพวกต่างก็งงงวย
พวกลั่วจื่อผิงพ่นเหล้าออกมาทันที คนที่ไม่ดื่มเหล้าก็สำลักน้ำลาย ล้วนจดจ้องอันหลินด้วยความตกใจ
………………………..
[1] ฉีเทียนต้าเซิ่ง แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้า ฉายาของซุนหงอคง
คอมเม้นต์