ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 5 : เด็กสาวอะไรช่างน่ารักถึงเพียงนี้!
ในหอพักผู้อาวุโสแห่งหนึ่งของตำหนักยุทธ์ ชายชรารู้สึกไม่สงบและถ่มน้ำลาย “ผู้ที่ห้าดวงดาวสถิตถูกเจ้าจื่อฉางเหอฉกตัวไป! ไอ้เวรเอ้ย!”
ชายชราผู้นี้คือผู้ที่มีความระหองระแหงกับจื่อฉางเหอ ผู้อาวุโสที่สิบสามหลี่เสวียเหมิง เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงอายุ แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้รับความทุกข์ทรมานเพราะพ่ายแพ้แก่จื่อฉางเหอ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะกำจัดเขาลงได้
และตั้งแต่ที่จื่อฉางเหอได้ผู้ที่มีดาวห้าดวงสถิตมาเป็นศิษย์ เขายิ่งไม่เป็นสุขแม้ว่าจื่อฉางเหอจะอ้างว่ายอมรับเป็นศิษย์ในนามของท่านอาจารย์ แล้วคิดว่าหลี่เสวียเหมิงจะเชื่องั้นหรือ?
ในเมื่อไม่อาจได้เขามาเป็นศิษย์ เช่นนั้นก็ต้องกำจัดเขาอย่าให้มาเป็นเสี้ยนหนามในภายหน้า หลี่เสวียเหมิงพึมพำกับตัวเองขณะที่เริ่มคิดแผนมากมายในใจ
รอบ ๆ เมืองอู่ นอกจากจะมียอดฝีมือมากมายหลายคนได้เห็นปรากฎการณ์ที่ดวงดาวทั้งห้าส่องสว่างบนท้องฟ้า หนึ่งในนั้นอาศัยอยู่ในบ้านที่หรูหราโอ่อ่าในเมืองอู่ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญสูงอายุฟันของเขาหลุดล่วงออกมา
“จงไปค้นหาว่าใครที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดวงดาวทั้งห้าส่องสว่างบนท้องฟ้าเดี๋ยวนี้!” ชายชราตะโกนด้วยเสียงอันแหบแห้ง
“ท่านพ่อ ปรากฏการณ์ที่ว่าดูเหมือนจะเกิดขึ้นที่ตำหนักยุทธ์” ชายวัยกลางคนตอบกับชายชรา
ชายชราเผยสีหน้าอันละโมบได้พูดกับชายวัยกลางคน “ข้ารู้จักเจ้าพวกตาเฒ่าบัดซบพวกนี้ดี ไม่มีใครในตำหนักยุทธ์ทำให้เกิดปรากฏการณ์นั่นได้หรอก เมื่อหนึ่งปีก่อนก็ได้มีเด็กสาวคนหนึ่งทำให้เกิดขึ้น เขาเสียดายนักที่นางถูกจ้าวตำหนักนำไปเป็นศิษย์ส่วนตัว แต่ดูเหมือนว่าในบรรดาศิษย์ใหม่จะมีใครสักคนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นมา จงออกไปค้นหามันให้เร็วที่สุด!”
“ขอรับ ท่านพ่อ” ชายวัยกลางคนไม่รอท่า และออกเดินทางในทันที
“เหอะเหอะ ตาเฒ่านี้รอคอยมาเนิ่นนานแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะพบเจออัจฉริยะก่อนจะสิ้นอายุขัย เมื่อได้พบตัว เมื่อนั้นจะนำมันสกัดเป็นยาฟื้นคืนกายหยาง ไม่เพียงแต่จะยืดอายุขัยเป็นสิบปี และยังจะทำให้ข้าได้หลุดพ้นจากที่คุมขังแห่งนี้!” ชายชราหัวเราะกับตัวเองอย่างคลุ้มคลั่ง
ในขณะเดียวกัน เซี่ยงเส้าหยุนคิดไม่ถึงเลยว่าปรากฏการณ์ที่เขาเป็นคนก่อนั้นจะทำให้ยอดฝีมือทั้งสองเกิดความสนใจ วันนี้เขาอยู่กับเหล่าศิษย์ชั้นนอกคนอื่น ๆ ฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะติดตามศิษย์พี่จื่อฉางเหอ เขาได้รับการดูแลเป็นพิเศษและคำแนะนำที่ดี ที่เขาไม่คิดมาก่อน คือจื่อฉางเหอจะเพียงส่งต่อวิธีการฝึกฝนขั้นต้นและโยนเขาเอาไปรวมกับศิษย์ชั้นนอกเช่นนี้
ย้อนกลับไปครั้งนั้น เซี่ยงเส้าหยุดก็ได้บ่นขึ้นว่า “ท่านจะให้ข้าฝึกยุทธ์กับเหล่าศิษย์ชั้นนอกได้ยังไง?! ไม่ว่ายังไงข้าก็เป็นศิษย์น้องของผู้อาวุโสนะ เช่นนั้นข้าก็ต้องเป็นผู้อาวุโสครึ่งหนึ่งสิ! ข้าไม่ได้รังเกียจหรอกนะ แต่ข้าแค่รู้สึกอับอายแทนท่าน!”
เซี่ยงเส้าหยุนไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างจื่อฉางเหอได้เลย ทำได้เพียงแค่เชื่อฟังอยู่เงียบ ๆ
“เฮอะ ครึ่งปีรึ? ข้าจะทำมันให้ได้ภายในสามเดือน!” เซี่ยงเส้าหยุนตัดสินใจกับตนเอง
เขาจากไปโดยปราศจากการพูดคุยกับเซี่ยงเส้าหยุนเพราะความหลงตัวเองของเจ้าตัว ยังไงก็ตามเมื่อเขาได้เข้ามาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาจะต้องฝึกอย่างหนักเฉกเช่นผู้อื่น ในขณะเดียวกันเขาก็วิ่งอย่างบ้าคลั่งโดยที่แบกหินสองร้อยกิโลกรัมไว้บนหลัง
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่าง ๆ จะถูกแบ่งออกเป็นเก้าขั้นตามฝีมือ เซี่ยงเส้าหยุนมีความแข็งแกร่งเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับเริ่มต้นขั้นสามเท่านั้น ในตอนแรกสามารถยกน้ำหนักหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัม อย่างไรเสียหลังจากที่เขาได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนท้องฟ้า มันได้มีการชำระล้างพลังแห่งดวงดาว เขาก็ได้ขึ้นไปถึงขั้นห้าของระดับเริ่มต้น การแบกของน้ำหนักสองร้ายห้าสิบกิโลกรัมดูจะไม่ได้มีปัญหากับเขา
เหล่าศิษย์ชั้นนอกไม่ทราบว่าเซี่ยงเส้าหยุนได้ขึ้นมาถึงระดับพื้นฐานขั้นที่ห้าและคิดว่าเขายังเป็นขั้นสามเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงตกตะลึงที่เห็นเขาวิ่งอย่างบ้าคลั่งโดยแบกหินสองร้อยกิโลกรัมไว้บนหลัง
“เจ้าคนที่มีห้าดวงดาวสถิตช่างเยี่ยมยอด! เขาสามารถทำในสิ่งที่ศิษย์ขั้นสี่ระดับพื้นฐานทำได้แม้เขาจะอยู่เพียงขั้นสาม ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ!” ศิษย์บางคนบ่นในขณะที่ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความริษยา
“พรสวรรค์ฟ้าประทาน แม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีห้าดวงดาวสถิต อย่างไรเสียการฝึกฝนก็ยังต่ำกว่าพวกเราอยู่ดีแม้จะอายุมากกว่าหนึ่งหรือสองปี แต่เขาก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย” เหล่าศิษย์ใกล้เคียงกล่าว
เหล่าศิษย์ชั้นนอกจากตำหนักยุทธ์ส่วนใหญ่จะมีอายุราวสิบสามถึงสิบห้าปี ศิษย์ส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนแต่เยาว์วัยกว่าเซี่ยงเส้าหยุน จากคำกล่าว หมายความถึงศิษย์เหล่านี้ฝึกฝนที่ระดับพื้นฐานขั้นที่ห้าเป็นอย่างน้อย นั่นจึงเป็นมาตรฐานต่ำสุดของผู้ที่คิดเป็นศิษย์ของตำหนักยุทธ์
เซี่ยงเส้าหยุนมิได้เก็บคำพูดของพวกเขามาใส่ใจ และยังคงวิ่งต่อไปโดยที่แบกหินอยู่ที่หลัง สองชั่วโมงผ่านไป เขาวางหินที่มีน้ำหนักสองร้อยกิโลกรัมลงจากหลังและเดินไปยังหินอีกก้อนที่มีน้ำหนักสองร้อยยี่สิบห้ากิโลกรัม
“เขาคงไม่ได้คิดยกของหนักกว่าหรอกกระมัง? หรือนี่เขาขึ้นไปถึงขั้นที่สี่ได้แล้ว” คนหนึ่งกล่าวกระซิบ
“ก็อาจเป็นไปได้ ด้วยศักยภาพของท่านขุนนางอัสนีสีม่วง ความก้าวหน้าสักเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องท้าทายอะไร” ศิษย์ทั้งหลายต่างสันนิษฐาน
เซี่ยงเส้าหยุนที่แบกหินหนักสองร้อยยี่สิบห้ากิโลกรัมไว้บนหลัง เริ่มที่จะวิ่งต่อไปจนถึงตอนเที่ยงโดยที่ไม่ได้สนใจพวกนั้นเลย เขาเหงื่อออกอย่างล้นเหลือ มือทั้งสองของเขาเป็นดั่งหิมะที่มีรอยแผลและรอยฟกช้ำจากการแบกหิน
เขายืดแขนออกก่อนจะส่ายศีรษะและกล่าวเย้ยหยัน “เราคงจะเคยชินกับชีวิตที่สุขสบายแค่ออกแรงเพียงนิดหน่อยก็ทำให้ข้าบาดเจ็บ” หลังจากที่หยุดพักเพียงครู่เดียว เขาได้เผชิญหน้ากับสวรรค์และร้องอุทานคำเบา “สิบปี! ข้าจะรอคอยอีกสิบปีไล่ตามไอพวกที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะ
แววตาของเซี่ยงเส้าหยุนเผยความโฉดชั่ว มันตรงกันข้ามกับคนโง่งมที่เขามักเป็แน่นอนว่า เด็กหนุ่มผู้นี้สมควรมีเบื้องหลังพอสมควร
“เฮ้ นี่เจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่? รีบไปยังโรงอาหารแล้วไปรับอาหารของเจ้าได้แล้ว! ถ้าขืนเจ้ายังชักช้าแบบนี้ระวังจะไม่มีเหลือนะ” เสียงที่ชัดเจนแต่ไพเราะดังขึ้นข้าง ๆ เซี่ยงเส้าหยุน
เซี่ยงเส้าหยุนหันไปรอบ ๆ และมองไปยังต้นเสียง เมื่อพบเป้าหมาย ดวงตาของเขาก็กระพริบชั่วขณะและพูดออกไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “เด็กสาวอะไรช่างน่ารักถึงเพียงนี้!”
“จะจ้าคนต่ำช้า!” เด็กสาวดุด้วยความโกรธ แก้มของนางแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
ทันทีหลังจากนั้น ร่างอันบอบบางของนางก็หันหนีไปพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างโกรธเกรี้ยว
นางคือลู่เสี่ยวฉิง ผู้ที่งดงามที่สุดในสำนักนอก ผู้มีความงดงามทั้งสิบประการ ความน่ารักและรูปลักษณ์ที่งดงามทำให้ชายหนุ่มมากมายจากสวนชั้นนอกต่างหลงเสน่ห์นาง นอกจากนี้พรสวรรค์ของนางก็ยังไม่เป็นสองรองใคร นางคือผู้ที่ดึงดูดพลังจากสี่ดวงดาว อนาคตของนางช่างสว่างไสว นางมีแนวโน้มที่จะเป็นลูกศิษย์ชั้นในในไม่ช้า นางถูกจับตามองโดยท่านอาวุโสที่สิบเอ็ด เหอหยิงฮัว
ลู่เสี่ยวฉิงไม่ได้เข้าใกล้เซี่ยงเส้าหยุน ก็เพราะนางตกหลุมรักเขา นอกจากนี้ นางยังตระหนักถึงแววตาดุร้ายขณะเดินผ่านมา ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกออกไป นางไม่เคยคาดคิด ว่าเซี่ยงเส้าหยุนจะกลั่นแกล้งนางตั้งแต่แรกพบ เป็นผลให้ความประทับใจของนางต้องดิ่งฮวบ
เซี่ยงเส้าหยุนจ้องมองไปยังบั้นท้ายอันกลมกลึงของนางที่แกว่งไปมาขณะเดิน เขาแตะที่ปลายคางเบา ๆ และเริ่มหัวเราะ “นายน้อยผู้นี้เพียงกล่าวสิ่งที่คิดในใจ เช่นนั้นมันมีอะไรผิดกัน?”
“ศิษย์น้องหยุดจ้องมอง ไม่เช่นนั่นจะถือว่าเจ้าทำผิด” อีกเสียงหนึ่งดังจากข้างกายเซี่ยงเส้าหยุน อีกฝ่ายที่พูดมีท่าทีถ่อมตัว แต่จากสายตาเจ้าเล่ห์แล้ว ผู้อื่นย่อมกล่าวได้ว่าเขาเป็นคนหยาบคายแต่แรก
คอมเม้นต์