ผู้ที่ปรากฏตัวข้างเซี่ยงเส้าหยุนคือลู่เสี่ยวฉิง ใบหน้าของนางปรากฏเป็นสีชมพูจาง ๆ และดวงตากลมโตน่ารักของนางไม่กล้าแม้จะมองไปยังเซี่ยงเส้าหยุนโดยตรง นั่นเพราะนางเขินเล็กน้อย นางเป็นเด็กสาวที่ชอบเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและสงสารเซี่ยงเส้าหยุน
ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะมีโอกาสได้กล่าว เสียงเยาะเย้ยก็ได้ดังก้องผ่านอากาศ “โฮะโฮ่ อัจฉริยะผู้มีห้าดวงดาวสถิตตกต่ำถึงต้องให้สตรีหาอาหารให้เลยหรือ? ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก”
มีผู้ใดบ้างที่กล้าพูดเช่นนี้ถ้าไม่ใช่โกวจื่อ? เขาปรากฏตัวข้างกายเซี่ยงเส้าหยุนพร้อมบริวารอีกสองคน เขาจ้องมองเซี่ยงเส้าหยุนด้วยสายตาดูถูกราวกับจะกลืนกิน
สิ้นคำของโกวจื่อ เซี่ยงเส้าหยุนมองไปยังลู่เสี่ยวฉิงและกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบใจเจ้ามาก แต่ข้าคงรับมันไว้ไม่ได้’
กล่าวเช่นนั้น เมื่อเขาลุกขึ้นและมองไปยังพรรคพวกทั้งสามขอวโกวจื่อพร้อมประกาศ “พวกเจ้าทั้งสาม จดจำเอาไว้! เจ้าเย้ยหยันข้าในวันนี้ แต่ข้าจะให้พวกเจ้าได้ชดใช้อย่างสาสมเป็นนับสิบเท่าในอนาคต!
โกวจื่อหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าว “เจ้าชอบพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้รึ? ในเวลาไม่ถึงสามวันเจ้าจะต้องอดข้าวจนตาย! ดูเหมือนเจ้าช่างไม่รู้จักประมานตน!
โกวจื่อและพรรคพวกไม่กล้าทำอะไรกับเซี่ยงเส้าหยุนในที่โล่ง นี่เป็นกฎข้อหนึ่งของตำหนักยุทธ์ นอกเหนือไปจากโรงอาหาร พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตในการท้าดวลกันเป็นการส่วนตัวไม่ว่าที่ใด ยกเว้นอย่าวเดียวคือถ้าหากพวกเขาต้องการจะต่อสู้ก็ต้องไปยังลานประลอง
“เจ้าคงจะถูกกลั่นแกล้งไปอีกนาน!” ลู่เสี่ยวฉิงร้องอย่างไม่มียินดีเมื่อนางได้เห็นท่าทางหยิ่งผยองของโกวจื่อ
“แม่นางลู่ พวกข้ามิได้มีเจตนาในการทำผิดต่อท่าน และพวกข้ายังจะขอให้ท่านอยู่ห่างจากมันเสีย มิเช่นนั้น หากคุณชายอู่เกิดโมโหขึ้นมา ท่านอาจจะโดนร่างแหไปด้วย” โกวจื่อเตือนลู่เสี่ยวฉิง
“เยี่ยม เยี่ยมมาก! ข้าจะแจ้งเรื่องนี้ไปยังทางผู้ดูแลตำหนัก!” ลู่เสี่ยวฉิงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ผู้ดูแลตำหนักโดยพื้นฐานแล้วคือเหล่าอาจารย์ที่รับผิดชอบดูแลเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ชั้นนอก
“เหอะ เชิญเลย” โกวจื่อตอบกลับอย่างเฉยเมย
“โกรธเกรี้ยวสุนัขเหล่านี้ไปก็ไร้ค่า ข้ารับรู้ถึงความจริงใจแล้ว เซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้ยังไม่ได้ตกต่ำขนาดต้องให้สตรีมาช่วยเหลือ” คำกล่าวจบ เซี่ยงเส้าหยุนจึงหมุนกายและเดินจากไป
“เจ้าคนเนรคุณ!” ลู่เสี่ยวฉิงกระทืบเท้าเบาๆ ก่อนที่นางจะเดินจากไป
“ฮ่าฮ่า! ข้าต้องการให้อัจฉริยะเช่นเจ้าต้องจมอยู่ในนรกแห่งตำหนักยุทธ์เฉกเช่นสุนัขชั้นต่ำ!” โกวจื่อหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
ในเวลานี้เซี่ยงเส้าหยุนรู้สึกหดหู่อย่างมาก และเขาได้สาบานกับตัวเองแล้วว่าเขาจะแก้แค้น! จากที่แสนไกล ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งขี่อยู่บนหลังหมาป่าและได้บันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเซี่ยงเส้าหยุน เขาถอนหายใจกับตนเองเบา ๆ “หยกที่ยังไม่ได้ขัดสีย่อมไม่มีวันส่องสว่าง ถ้าหากเจ้าก้าวผ่านอุปสรรคเล็ก ๆ เหล่านี้ไปไม่ได้ ดูท่าห้าดวงดาวสถิตอย่างเจ้าคงจะเสียเปล่ากระมัง”
ส่วนเซี่ยงเส้าหยุน เขากำลังเดินไปยังผู้ดูแลตำหนัก ผู้ดูแลคนนี้เป็นชายวัยกลางคนผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์ของพลังแห่งดวงดาวได้ เขาตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเหล่าศิษย์ชั้นนอกทีละคนอย่างเย็นชาโดยไม่มีใครอยู่ในสายตา เมื่อเขาได้เห็นเซี่ยงเส้าหยุนมาหาถึงที่ เขาถามอย่างใส่ใจ “มีอะไรรึ?” เซี่ยงเส้าหยุนเดินตรงมาหาเขา “ผู้ดูแลตำหนัก ข้าหวังจะได้อาหารจากท่าน”
“เวลามื้ออาหารได้ผ่านไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากได้อาหารเจ้าต้องเลิกตำหนิผู้อื่น ทนหิวเอาก่อนแล้วกัน จงรอคอยมื้อเย็นและเข้าร่วมประลองอีกครา” ผู้ดูแลตำหนักตอบกลับอย่างเย็นชา
“ข้าเพียงต้องการจะรู้ว่าพวกเรามีทางเลือกอื่นที่จะได้อาหารหรือไม่” เซี่ยงเส้าหยุนถาม
“ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นนอกจะต้องได้รับอนุญาตเพื่อที่จะได้รับอาหารที่โรงอาหาร ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นในจะได้รับอนุญาตให้กินในร้านอาหารหรือออกไปหาอาหารกินที่ด้านนอกตำหนักยุทธ์ และศิษย์ส่วนตัวสามารถได้รับอาหารจากที่พำนักผู้อาวุโส ข้าตอบชัดเจนพอหรือยัง” ผู้ดูแลตำหนักอธิบาย
เซี่ยงเส้าหยุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขารู้สึกโกรธเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบ ทำได้เพียงแค่รอคอยเวลาอีกหกชั่วโมงเพื่อจะได้ต่อสู้แย่งชิงอาหารเย็น มันคงเป็นการยากที่จะพยายามรอคอย
เซี่ยงเส้าหยุนทำได้เพียงเดินไปด้วยความเศร้าใจ ผู้ดูแลตำหนักกล่าวว่า “อย่างไรเสีย ถ้าหากเจ้ามีแรงผลักดันอันแรงกล้าที่จะท้าทายขีดจำกัดของเจ้าเองและสำเร็จงานจำนวนหนึ่ง มันจะเป็นข้อยกเว้นและเจ้าจะได้รับรางวัลอย่างเหมาะสม เมื่อนั้นเจ้าจะไม่มีปัญหาเรื่องอาหารอีก”
“งานอะไร?” เซี่ยงเส้าหยุนถามอย่างแรงกล้า
“ณ สถานที่ซึ่งถูกเรียกขานว่าหอคอยแห่งขีดจำกัด มีการกำหนดเกณฑ์สำหรับระดับที่ต่างกันออกไปของผู้ฝึกยุทธ์ ตราบใดที่เจ้ามีความสามารถที่เหนือกว่าเกณฑ์ เจ้าก็จะได้รับรางวัลพิเศษ! อย่างไรก็ตาม ขีดจำกัดไม่สามารถก้าวผ่านได้โดยง่าย ถ้าหากเจ้าแข็งแกร่งที่สุดในระดับเดียวกับเจ้า งานพวกนี้ก็สำเร็จได้ไม่ยากเกินกำลัง” ผู้ดูแลตำหนักกล่าว
“ขอให้ข้าได้ลอง!” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
“เหอะเหอะ เยี่ยมมาก ถ้าเช่นนั้นตามข้ามา” ผู้ดูแลตำหนักตอบกลับพร้อมเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
ผู้ดูแลตำหนักยุทธ์ดำเนินการเพื่อนำตัวเซี่ยงเส้าหยุนไปยังหอคอยแห่งขีดจำกัด ในขณะเดียวกันก็ได้แจ้งเซี่ยงเส้าหยุนถึงเรื่องของหอคอยแห่งขีดจำกัด สิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัดนั้นผู้ที่ต้องการจะก้าวข้ามขีดจำกัดของความสามารถเพื่อให้อยู่เหนือ เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ระดับเดียวกัน สิ่งนี้จะแยกอัจฉริยะกับเหล่าผู้ที่อยู่ระดับเดียวกัน และทุก ๆ ขั้นขีดจำกัดก็จะต่างกันไป จะมีการท้าทายที่แตกต่างกัน เผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง ถูกทรมานในโลกลวงตาหรือแม้แต่งานแปลก ๆ ที่จะทดสอบขีดจำกัดของเขา
“เอาล่ะ ที่นี่แหละหอคอยขีดจำกัด ข้านำพาเจ้ามายังที่นี่แล้ว ถ้าหากเจ้าก้าวข้ามขีดจำกัด การอยากอาหารจะเป็นเรื่องธรรมดา” หลังจากผู้ดูแลตำหนักกล่าวจบ เขาหันกายกลับและเดินจากไป
ผู้มีห้าดวงดาวสถิตนั้นคุ้มค่ากับการดูแลและเอาใจใส่ของผู้ดูแลตำหนัก ถ้าหากเขาเป็นเช่นศิษย์ชั้นนอกคนอื่น ๆ เขาจะเป็นเพียงผู้ชี้แนะและให้พวกเขาค้นหาสถานที่นี้ด้วยตนเอง หอคอยแห่งขีดจำกัดเป็นสถานที่เก่าแก่อย่างมาก ถูกสร้างขึ้นบริเวณเขา สิ่งปลูกสร้างนี้เต็มไปด้วยพลังงานประหลาด ทำให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปยากจะเห็นสิ่งปลูกสร้างนี้
“ศิษย์เซี่ยงเส้าหยุนขอคำนับท่านผู้ดูแล” เซี่ยงเส้าหยุนแสดงความเคารพอย่างสุภาพแก่ท่านผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่า
“เจ้าหวังจะท้าทายขีดจำกัดงั้นสิ?” ผู้ดูแลสูงวัยกล่าว เขาจองมองไปยังเซี่ยงเส้าหยุนด้วยตาอันฝ้าฟาง
“จริงแท้แน่นอน โปรดชี้แนะหนทางแก่ข้าด้วยเถิด!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับ
“จงก้าวตรงไป มันจะเป็นห้องแรกเข้าไปด้วยตัวเจ้าเองและหากสามารถเดินออกไปอย่างปลอดภัยหลังจากผ่านไปสักชั่วโมง ข้าจะถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ” ผู้ดูแลสูงวัยกล่าวตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
หลังคำนับเล็กน้อย เซี่ยงเส้าหยุนจึงมุ่งหน้าสู่สิ่งปลูกสร้างโบราณ ไม่ช้าจึงมาถึงทางเข้าชั้นแรกของหอคอยแห่งขีดจำกัด ด้วยไม่มีความลังเลใด เขาเปิดประตูและก้าวเข้าสู่ด้านใน ทันทีที่ก้าวเข้ามาประตูจึงปิดลง พร้อมกันนี้พลังงานที่ไม่อาจมองเห็นได้ปะทุขึ้นภายในห้อง เซี่ยงเส้าหยุนรู้สึกราวกับแบกหินหนักครึ่งตันไว้ มันแทบทำเขาแบนราบกับพื้น
*เสียงถ่มน้ำลาย*
เซี่ยงเส้าหยุนถ่มเลือดออกจากปาก
“ห้องแรงโน้มถ่วง!” เซี่ยงเส้าหยุนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานต้องใส่ใจขัดเกลากายภาพให้แข็งแกร่ง ดังนั้นหอคอยแห่งนี้ย่อมทดสอบขีดจำกัดดังกล่าวด้วย กระนั้นนี่หาได้ใช่แรงโน้มถ่วงธรรมดาไม่ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากค่ายอาคม มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจต้านทาน ผู้เดียวที่จะสามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงนี้ได้จะต้องกล้ำกลืนและเหนือไปกว่าขีดจำกัดเดิมที่มีให้ได้!
เซี่ยงเส้าหยุนมีสัมผัสที่ไม่ธรรมดา ในขณะที่แรงกดดันที่ไม่รู้จักจู่โจม เขารู้ทันทีว่ามันเป็นบททดสอบขีดจำกัดเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง
แรงโน้มถ่วงภายในห้องทำให้เขสรู้สึกราวกับยกน้ำหนักห้าร้อยกิโลกรัม เซี่ยงเส้าหยุนเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นห้า หมายความว่าความแข็งแกร่งทางกายของเขานั้นรองรับได้เพียงสองร้อยห้าสิบกิโลกรัมเท่านั้น ทำให้เขาต้องแบกรับขีดจำกัดสองเท่าจากที่ควรจเป็น
สิ่งที่เซี่ยงเส้าหยุนรู้สึกขอบคุณแม้ว่าครั้งยังเยาว์จะละเลยการฝึกฝน แต่บิดาของเขาที่ช่วยบำรุงร่างกายด้วยยาวิญญาณหลากหลาย มันเป็นผลให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ ไม่เช่นนั้นเขาคงจำนนต่อแรงโน้มถ่วงนี้ไปนานแล้ว!
“ที่ห้องนี้ช่างผลักดันขีดจำกัดเสียจริง ยังไงเสียเราจะใช้โอกาสนี้เพื่อบรรลุวิชาราชันพิชิตสวรรค์ให้จงได้!” เขาตะโกนออกมาพร้อมเริ่มต้นควบคุมวิชาราชันพิชิตสวรรค์
วิชาราชันพิชิตสวรรค์นั้นเป็นวิชาโบราณ เต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับมากมาย ช่วงเวลาที่เซี่ยงเส้าหยุนเรียกใช้งานมัน ร่างกายของเขาหมุนเวียนพลังปราณอย่างรวดเร็วในขณะที่เก้าดวงดาวส่องสว่างขึ้นทั่วทั้งร่างกายเขา เช่นเดียวกับวิชาราชันพิชิตสวรรค์ไหลเวียนในตัวเขา ความกดดันที่เขารู้สึกก่อนหน้าจึงค่อยทุเลาลง
คอมเม้นต์