จักรพรรดิเทพสายฟ้า – ตอนที่ 34 สังหารหมู่

อ่านนิยายจีนเรื่อง จักรพรรดิเทพสายฟ้า ตอนที่ 34 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 34 สังหารหมู่

 

ตามเส้นทางที่เป็นป่าทึบเงียบสงัด เจ้ากุ้งแห้งกับเย่เจวี๋ยเอนกายลงนอนบนกิ่งไม้แข็งแรงอย่างระมัดระวัง เมื่อมองจากด้านบนลงไปเช่นนี้ ใบหน้าของพวกมันทั้งใหญ่โตและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เวลานี้สัตว์อสูรเถื่อนยักษ์ที่แผ่กลิ่นอายดุร้ายออกมา กำลังก้มหน้าลงกับผืนดิน พร้อมกับร้องคำรามออกมาเสียงดัง พวกมันกำลังสำลอกแกนลมปราณสุริยันจันทราและสุริยันออกมาไม่หยุด

 

กลิ่นอายดุร้ายอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้เจ้ากุ้งแห้งต้องรีบกลั้นหายใจ

หมอบแน่นิ่งไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนร่างกาย เพราะเกรงว่าจะถูกพวกมันสังเกตเห็นเข้า พวกมันช่างน่ากลัวจริงๆ เกรงว่าด้วยระดับพลังที่เหนือกว่านับสิบล้านเท่านั้น เพียงแค่ลมหายใจของพวกมัน ย่อมสามารถตัดแขนตัดขาของพวกเขาได้แล้ว

 

“นายน้อย.. นี่คือสิ่งที่ท่านเอ่ยถึงงั้นรึขอรับ? ข้าว่าพวกเรารีบกลับกันดีกว่า ข้ารู้สึกว่าการกลับไปสู้กับองค์รัชทายาทฉู่ยังจะปลอดภัยกว่าการอยู่ที่นี่เสียอีก นี่ถ้าพวกมันพบเห็นพวกเราสองคนเข้า…”

 

เจ้ากุ้งแห้งไม่กล้าเอ่ยต่อจนจบประโยค จึงหยุดนิ่งไปเพียงเท่านั้น เย่เจวี๋ยทำสีหน้าตื่นตาตื่นใจ พร้อมกับยกฝ่าเท้าขึ้นถีบเข้าใส่ร่างของเจ้ากุ้งแห้งที่ไม่ทันตั้งตัวทันที

 

ตุ้บ!

 

ร่างของเจ้ากุ้งแห้งร่วงตกต้นไม้ในทันที สัตว์อสูรเถื่อนที่กำลังคายแกนลมปราณตะวันจันทราและสุริยันอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อได้ยินเสียงร่วงหล่น จึงได้หยุดอาเจียน ใบหน้าใหญ่โตพร้อมดวงตาดุร้ายน่ากลัวนั้น หันขวับมองไปทางเจ้ากุ้งแห้งทันที เจ้ากุ้งแห้วรู้ได้โดยไว ตนเองถูกคงต้องโชคร้ายเพราะเย่เจวี๋ยผู้นี้แล้ว

 

เขาหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับเนื้อขยับตัว ไม่กล้ากระทำการด้วยความบุ่มบ่าม เกรงว่าหากผลีผลามทำสิ่งใดลงไปโดยขาดการไตร่ตรอง อาจทำให้สัตว์อสูรเถื่อนเหล่านั้นโกรธเกรี้ยว จนเป็นเหตุให้พวกมันกระโจนเข้ามาฉีกเนื้อเขาเป็นชิ้นๆ แต่สัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ตนได้จ้องมองมาทางเขา เจ้ากุ้งแห้ง จึงรีบเงยหน้าขึ้นพร้อมกับคายยาเริงสุริยันจันทราและสุริยันไปออกมา

 

ดูเหมือนว่า ในสายตาของสัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่นั้น เจ้ากุ้งแห้งจะเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆเท่านั้น

 

เจ้ากุ้งแห้งแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า เย่เจวี๋ยย่อมไม่คิดทำร้ายตัวเขาแน่ แต่ที่คุณชายทำลงไปเมื่อครู่นั้น ย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่ หลังจากที่ใคร่ครวญไปมา ในที่สุดเจ้ากุ้งแห้งก็ได้เงยหน้าขึ้นมองไปทางเย่เจวี๋ยที่ยังคงอยู่บนต้นไม้

 

ในเวลานั้น เย่เจวี๋ยทำท่าทางประหลาดอยู่ด้านบน เขาทำท่าก้มลงและชี้ไปที่เท้า พร้อมกับพยักพเยิดหน้าส่งสัญญาณบางอย่างให้กับเจ้ากุ้งแห้ง

 

แต่ดูเหมือนเจ้ากุ้งแห้ง จะไม่เข้าใจท่าทางของเย่เจวี๋ย

 

เย่เจวี๋ยยังคงทำท่าทางเช่นเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ในที่สุดเจ้ากุ้งแห้งก็เข้าใจจนได้ ปรากฏว่านายน้อยเย่ต้องการให้เขาก้มลงหยิบหินที่ปลายเท้าขึ้นมา เจ้ากุ้งแห้ง จึงได้ทำตามคำสั่งของนายน้อยทันที เขาโน้มตัวลงหยิบก้อนหินเล็กๆที่ปลายเท้าขึ้นมา แต่ก็ต้องงุนงงสับสนอีกครั้ง เพราะไม่เข้าใจว่า เหตุใดนายน้อยจึงต้องการให้เขาเก็บหินก้อนนี้ขึ้นมา?

 

เย่เจวี๋ยทำท่าทางอีกครั้งเพื่อตอบคำถามในใจของ เจ้ากุ้งแห้ง เขาทำท่าทางการปาหินอย่างละเอียด จนสามารถเข้าใจได้ว่า ต้องปาหินออกไปในระดับใด และต้องออกแรงในการปามากเพียงใด?

 

ก้อนหินในมือเจ้ากุ้งแห้งถูกโยนผ่านห้วงอากาศออกไปเป็นเส้นโค้งอย่างงดงาม สายตาของเขาเคลื่อนไปตามเส้นโค้งนั้น ก้อนหินในมือที่ปาออกไป กระทบเข้ากับร่างของสัตว์อสูรเถื่อนตนหนึ่งอย่างแม่นยำ มันหยุดอาเจียนยาเเอสถางสุริยันจันทรา และหันไปมอง เจ้ากุ้งแห้ง ที่ยังคงกำหินอีก้อนไว้ในมือ

 

“โฮกกก!” สัตว์อสูรตนนั้นร้องคำรามออกมาด้วยเสียงที่น่าสยดสยอง ทำให้สหายทั้งสามของมัน อ้าปากที่เปื้อนไปด้วยโลหิตออก พร้อมกับกระโจนเข้าหา เจ้ากุ้งแห้งประหนึ่งสัตว์ที่หิวโหย

 

เจ้ากุ้งแห้ง ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ และแทนที่จะขว้างหินในกำมือออกไป เขากลับวิ่งหนีออกไปราวกับคนเสียสติ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เย่เจวี๋ยก็ได้กระโดดลงมายืนข้าง เจ้ากุ้งแห้ง และวิ่งหนีออกไปพร้อมกัน หากถูกสัตว์อสูรร่างยักษ์วิ่งไล่ล่าเช่นนี้ ผลที่ได้คงยากจะหลีกพ้นความตายได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

“นายน้อย ท่านช่างรนหาที่ตายแท้ๆ!” เจ้ากุ้งแห้ง ร้องตะโกนออกไปด้วยความเดือดดาล

 

“วิ่ง รีบวิ่งเร็วเข้า วิ่งไปกลับที่กระโจม!” เย่เจวี๋ยร้องตะโกนบอก

 

……

 

เวลานี้ สัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ตน ได้บุกเข้าไปภายในฉู่เทียน หลังจากที่เห็นสหายถูกโจมตี ฉู่เทียนจึงรีบคว้าอาวุธ และกระโจนเข้าไปหาพวกมันอย่างไม่นึกเกรงกลัว แต่น่าเสียดาย ที่ร่างกายของพวกมันแข็งแกร่งดั่งเหล็กล้า ทำให้อาวุธทั้งหลายเสมือนโคลนอ่อนยวบ ไม่สามารถทำร้ายพวกมันได้เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ การกระทำเยี่ยงนั้น ยิ่งทำให้สัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ตน ดุร้ายมากยิ่งขึ้น และเริ่มสังหารเข่นฆ่าเพียงฝ่ายเดียว

 

ผืนดินที่สัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ผ่านไป ได้ทิ้งร่องรอยอันน่าสยดสยองไว้ ปฐพีถูกทุบจนกลายเป็นหลุมลึกมากมาย บางหลุมปะปนไปด้วยโลหิตและร่างไร้วิญญาณ เหล่าทหารถูกบดขยี้จนมีสภาพไม่ต่างจากเศษเนื้อ ต้นไม้ใหญ่นับไม่ถ้วนโค่นล้มระเนระนาด และทับเอาร่างของเหล่าทหารตายไปหลายนาย..

 

ฉู่เทียนเหนื่อยหอบจนแทบหายใจไม่ออก เขาสูดลมหายใจเข้าออก สัตว์อสูรเถื่อนมาจากที่ใดกัน? แต่ละตนล้วนมีพลังหยินและหยางน่าสะพรึงกลัวยิ่ง! เพียงแค่ตนเดียวย่อมสามารถสังหารผู้คน และถล่มเมืองทั้งเมืองได้อย่างง่ายดาย

 

“แฮกๆ นายน้อย นี่นับเป็นวิธียืมมือฆ่าคนได้อย่างยอดเยี่ยมนัก!” เจ้ากุ้งแห้ง ที่วิ่งหอบแฮกๆมาตลอดทาง ในที่สุดเพิ่งจะเข้าใจว่า เหตุใดเย่เจวี๋ยจึงได้ ‘รนหาที่ตาย’ เช่นนี้ เขาหันไปยกนิ้วโป้งให้กับเย่เจวี๋ยอย่างไม่นึกเสียดาย

 

เจ้ากุ้งแห้งคิดว่าตนเองเข้าใจแผนการของเย่เจวี๋ยแล้ว ในระหว่างที่สัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ กำลังบดขยี้ฉู่เทียนอยู่นั้น หยุนชิงเหยาก็ได้สั่งให้คนของนางถอยห่างออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ได้รับบาดเจ็บ

 

ฉู่เทียนที่อยู่ไม่ไกลนัก จึงได้ยินคำพูดทั้งหมดของ เจ้ากุ้งแห้ง สีหน้าและแววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที เขาหันไปมองเย่เจวี๋ยกับเจ้ากุ้งแห้ง ด้วยความเดือดดาล!

 

“ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเจ้าผีสองตนนี้นี่เอง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าตำหนิว่าข้าโหดร้ายก็แล้วกัน เย่เจวี๋ย วันนี้เจ้าอย่าได้หวังจะรอดชีวิตออกไปได้เลย” ใบหน้าของฉู่เทียนเปลี่ยนเป็นดุร้าย เส้นโลหิตตามหน้าผากปูดโปนด้วยความเดือดดาลอย่างที่สุด เขากระโดดขึ้นกลางห้วงอากาศ พร้อมกับชักระบี่สีทองอร่ามงดงามออกจากฝัก ก่อนจะฟันเข้าใส่ร่างของเย่เจวี๋ยในทันที

 

“หลบไป!” ฝ่ามือใหญ่ยื่นออกไปผลักร่างของเจ้ากุ้งแห้งออกทันที เย่เจวี๋ยชักกระบี่กลืนมังกรข้างเอวออกมา เสียง ‘ปัง ปัง ปัง’ ซึ่งเกิดจากการปะทะเข้ากับกระบี่ของฉู่เทียนดังขึ้น คลื่นพลังที่ไม่อาจมองเห็นด้วยสายตา แผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศทางตามแต่ที่คมกระบี่เล่มนี้จะพาดผ่านไป ท่ามกลางฝุ่นดินที่ตลบอบอวล มากพอที่จะปกปิดอำพรางสายตาของมนุษย์ไว้ได้

 

กระบี่และเงากระบี่ที่คมกริบทั้งสองได้ปะทะใส่กันอย่างดุเดือด ฝ่ายหนึ่งถอยหนี อีกฝ่ายไล่ล่า จนเกิดเป็นประกายไฟจากโลหะสองชนิดกระทบกัน กระซ่านกระเซ็นไปทั่วทั้งบริเวณ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีพละกำลังเสมอกัน จึงยากที่จะตัดสินผลแพ้ชนะได้

 

ในการประจันหน้ากันอีกครา ฉู่เทียนและเย่เจวี๋ยปะทะกันดุเดือดรุนแรงยิ่งกว่าคราก่อน เสียงการต่อสู้ของคนทั้งสองดังไปทั่วทั้งบริเวณ มวลคลื่นอากาศที่เกิดจากการปะทะรุนแรง ได้ขยายออกเป็นวงกว้าง กระบี่ในมือของทั้งสองฝ่ายต่างสั่นสะท้านรุนแรง และไม่มีทีท่าว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยอมอ่อนข้อให้อีกด้วย

 

ฉู่เทียนรู้สึกประหลาดใจยิ่งยวด เขาคาดไม่ถึงเลยว่า แม้แต่เด็กน้อยที่มีระดับพลังไม่ถึงอาณาจักรนภาม่วงด้วยซ้ำ ไฉนถึงแกร่งกล้าพอๆกับเขา?

 

 

 

ลอร์ดเย่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาสามารถใช้ดาบสะบั้นกินมังกรได้นอกจากนี้ในช่วงนี้เขายังสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายแม้ว่าเขาจะอยู่ในจุดสูงสุดของอาณาจักรก่อกาย แต่เขากลับเอาชนะได้ไม่ยากนัก

 

ในขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ฉู่เทียนก็ถูก

 

ในขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด ฉู่เทียนก็ถูกสัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ตนสังหารทันที พวกมันใช้มือกระทืบหน้าอกพร้อมกับร้องคำรามลั่นขึ้นฝากฟ้า

 

เมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ความโกรธภายในใจของฉู่เทียนกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เขาไล่ล่าเย่เจวี๋ยไป และผลักร่างของเขาจนกระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตร จนร่างปะทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่เจ็ดต้นล้มระเนระนาด นับว่าโชคดีที่ร่างกายของเย่เจวี๋ยแข็งแกร่ง จึงมิได้รับอันตรายแต่อย่างใด

 

“หลินไค มอบชีวิตของเจ้ามา ข้าต้องการชีวิตเจ้า!”

ฉู่เทียนเดือดดาลอย่างที่สุด เขาระเบิดพลังทั้งหมดในร่างออกมา และมิรู้ว่าฉู่เทียนใช้วิชาอะไร ดูเหมือนพลังในกายของเขาจะเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก จากนั้น ร่างของฉู่เทียนก็ได้พุ่งเข้าหาเย่เจวี๋ยอย่างรวดเร็วประหนึ่งลูกธนู

 

เมื่อฉู่เทียนเข้าไปใกล้เย่เจวี๋ย เย่เจวี๋ยกลับแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา และขณะที่กระบี่ในมือของฉู่เทียน กำลังจะฟาดฟันเข้าใส่ร่างของเย่เจวี๋ยนั้น ร่างของเย่เจวี๋ยก็ได้ทะยานขึ้นสู่ห้วงอากาศ และไปปรากฏอยู่ด้านหลังของฉู่เทียน

 

ทันใดนั้นเอง เย่เจวี๋ยก็ได้ฟาดฝ่ามือกระแทกเข้าใส่แผ่นหลังของฉู่เทียนอย่างไม่ลังเล ร่างของฉู่เทียนลอยละลิ่วออกไป ประหนึ่งว่าวที่หลุดจากเชือก ก่อนจะร่วงหล่นลงกระแทกกับผืนดินในชั่วพริบตา ฉู่เทียนถึงกับประหลาดใจ เวลานี้กระบี่ในมือของเขาได้หลุดร่วงไป และด้านหลังของต้นไม้ทั้งเจ็ดต้นที่ล้มระเนระนาดก่อนหน้านี้ ก็คือหุบเหวลึกที่ไม่อาจคาดเดาได้

 

ก่อนหน้านี้เขาแค่จงใจบอกให้เขาขับไล่เท่านั้น มิเช่นนั้นด้วยฝีมือของทั้งสอง ศัตรูที่มีพลังเท่ากันไม่สามารถขับไล่อีกฝ่ายได้แม้แต่ครึ่งก้าว

 

เขาโจมตีฉู่เทียนจากหุบเหวลึกโดยไม่หยุดชะงัก เขารีบวิ่งไปหาคนที่ฉู่เทียนอยู่ เป้าหมายของเขาชัดเจน รถม้าของฉู่เทียนถูกพลิกคว่ํา และด้านข้างของรถม้ามีกล่องหลายใบกระจัดกระจายอยู่

 

ก่อนหน้านี้เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าของเขาย้ายกล่องเหล่านี้ไปที่รถม้า เขาเห็นว่ากล่องเต็มไปด้วยผลึกที่มีมูลค่ามหาศาล มันมีประโยชน์มากกว่าหินลมปราณทั่วไป อย่างน้อยมันก็สามารถทําให้ผู้คนสามารถทะลวงผ่านขอบเขตได้!

 

เขาตะโกนลั่นสั่งให้ไปแก้แค้นอวิ๋นชิงเหยาและพรรคพวก ก็เพื่อโอกาสได้ผลึกมณีเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

 

จู่ๆ เงาดำทะมึนขนาดใหญ่ก็ได้ร่วงหล่นลงมาจากท้องนภา และครอบคลุมอาณาบริเวณที่เย่เจวี๋ยอยู่ไว้ทันที เย่เจวี๋ยรีบกระโจนถอยหนีอย่างไม่ลังเล

“ตูม! เสียงดังสนั่นขึ้นในทันที มันคือฝ่าเท้าขนาดใหญ่ จึงเหยียบกล่องผลึกภายในรถม้าหลายกล่องจนพังเสียหายไปหมด”

 

มันคือหนึ่งในสัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ตน และเวลานี้ มันก็ได้กระทืบรถม้าจนพังไม่มีชิ้นดี พร้อมกับฟาดฝ่ามือขนาดใหญ่นั้นเข้าใส่ร่างของเย่เจวี๋ยทันที

 

“เห้ย! นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า!” เย่เจวี๋ยสบถออกมาเสียงดัง อาศัยแรงดีดมหาศาลใต้ฝ่าเท้า กระโจนขึ้นกลางห้วงอากาศอีกครา ร่างของเย่เจวี๋ยพุ่งทะยานออกไปหลายร้อยก้าว และสามารถหลบฝ่ามือของสัตว์อสูรเถื่อนได้อย่างหวุดหวิด และไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อย จากนั้นร่างของเย่เจวี๋ยก็ได้ร่อนลงผืนดินอย่างมั่นคงปลอดภัย ก่อนจะวิ่งตรงไปยังกลุ่มของอวิ๋นชิงเหยาซึ่งอยู่ห่างออกไป เขาคิดไม่ถึงว่าดาบเล่มนี้ที่ยืมมาก็เป็นศัตรูของเขา เช่นกัน มันพลาดท่าจริงๆ เขาคิดไม่ออกว่าจะหลบดาบเล่มนี้อย่างไร

 

สัตว์อสูรเถื่อนตนนั้นไม่ยอมหยุด มันไล่ตามเย่เจวี๋ยไป และไม่ว่าร่างใหญ่โตของมันจะเคลื่อนผ่านไปทางใด ต้นใหญ่มากมายที่ขวางทางอยู่ ก็ได้ล้มระเนระนาดไปกับพื้นตามๆกัน

 

เย่เจวี๋ยหัวใจเต้นแรง เขาชักกระบี่ออกมา และหมุนตัวกลางห้วงอากาศ พร้อมกับฟาดฟันกระบี่ในมือ ลงไปบนแผ่นหลังของสัตว์อสูรยักษ์อย่างไม่รีรอ เสียงกระบี่กระทบกับร่างของมันดังปัง! ประกายไฟกระเซ็นกระซ่านออกมา เย่เจวี๋ยรู้สึกชาไปทั่วทั้งแขน ภาพที่เห็นเวลานี้ ไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กำลังใช้ขวานกระหน่ำฟันเหล็กกล้าท่อนหนึ่งอยู่

 

จากนั้น กำปั้นขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นด้านหน้า และค่อยๆพุ่งเข้าหาดวงตาของเขา เย่เจวี๋ยปิดเปลือกตาลงทันที ร่างของเขาลอยกระละลิ่วออกไปกลางอากาศไกลหลายร้อยเมตร ก่อนจะชนปะทะเข้ากับต้นไม้มากมาย ฝุ่นดินตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ

 

พลังของสัตว์อสูรเถื่อนตนนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวมากจริงๆ

 

หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดเย่เจวี๋ยก็วิ่งฝ่ากลุ่มควันที่เกิดจากฝุ่นดินออกมาอย่างรวดเร็ว สภาพของเขาในเวลานี้ดูช่างน่าสมเพชนัก นอกจากจะเปื้อนไปด้วยฝุ่นสกปรกแล้ว มุมปากยังปรากฏโลหิตสีแดงเข้มไหลรินออกมาด้วย

 

“ทุกคนหนีเร็วเข้า!” หลังจากนั้นก็หันไปร้องตะโกนบอกอวิ๋นชิงเหยาทันที

อ่านนิยาย novelza.com

เขาเห็นสัตว์อสูรเถื่อนอีกสามตน ที่หลังจากรุมสังหารฉู่เทียนแล้ว พวกมันก็ได้พุ่งไปทางอวิ๋นชิงเหยาด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์!

 

เย่เจวี๋ยรู้ได้ทันทีว่า สัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ตนนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาทั้งหมดจะต้านทานได้ หากเผชิญหน้ากับพวกมันเข้า หนทางเดียวที่จะเอาชีวิตรอดได้ก็คือต้องหนีเท่านั้น หาไม่แล้ว คงถูกพวกมันเข่นฆ่าสังหารไม่ต่างจากมดปลวกเป็นแน่

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด