เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 91 บินได้จริงด้วย

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว!剑仙在此 ตอนที่ 91 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 91 บินได้จริงด้วย

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองติดกับดักไม่มีผิด

เจ้าหัวโล้นนี่สมองเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร

นอกจากไม่มีผมแล้ว ท่าทางจะไม่มีสมองอีกด้วย

ทำไมเขาถึงได้ซวยแบบนี้นะ?

“นี่ฉันมีราศีพอจะเป็นเจ้าสำนักวายุสะเทือนฟ้าได้เลยเหรอเนี่ย?”

เมื่อเห็นว่าเหล่าชายฉกรรจ์กำลังพุ่งตรงเข้ามา หลินเป่ยเฉินจึงรู้ตัวว่าไม่สามารถยืนดูอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไปแล้ว

“เฮ้อ ทำไมต้องบังคับกันด้วยนะ?”

หลินเป่ยเฉินพูดพึมพำก่อนชักกระบี่วิหคครามออกจากฝัก

ในอากาศพลันบังเกิดเสียงนกกระพือปีกขึ้นทันที

นี่คือเสียงประกอบวิชาวิหคดั้นเมฆ ซึ่งเป็นวิชาตัวเบาระดับ 1 ดาว

หลินเป่ยเฉินทะยานร่างขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนวิหคโผบินกลางหมู่มวลเมฆ พุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่รีรอ

ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มก็ตวัดกระบี่

ควับ!

กระบี่วิหคครามพลันสาดแสงเป็นประกายสีน้ำเงินสว่างไสวในตรอกแคบ กลุ่มชายฉกรรจ์ยืนตะลึงลาน คมกระบี่ถูกตวัดด้วยความเร็วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

นี่คือวิชากระบี่ทะลวงจันทร์

เด็กหนุ่มเคลื่อนกายเหมือนมังกรบิน พริ้วไหวยิ่งกว่าเกล็ดหิมะ

กระบี่สาดแสงสว่างไสวราวแสงจันทร์

ฟู่! ฟู่! ฟู่!

เลือดสาดกระจายในความมืด

“อ๊าก…”

“มือของข้า…”

เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นระคนเสียงอาวุธร่วงหล่นกระทบพื้น

ปลายกระบี่วิหคครามทิ่มแทงไปที่ข้อมือของกลุ่มชายฉกรรจ์อย่างแม่นยำ กระบี่ในมือของพวกเขาจึงร่วงหล่นลงพื้นดินตามกันไป

หลินเป่ยเฉินลงมือด้วยความรวดเร็ว หมุนตัวฝ่ากลุ่มคน สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหัวโล้น

ปลายกระบี่ในมือเด็กหนุ่มชี้ไปที่กลางหน้าผากของชายหัวโล้น ล้อประกายวิบวับกับแสงจันทร์

ชายหัวโล้นมีแววตาดุร้ายขึ้นมาทันที

“เพลงดาบถล่มภูผา!”

ทันใดนั้น กระบี่ในมือโยนทิ้งไป ดาบใหญ่อีกหนึ่งเล่มที่เหน็บอยู่ข้างเอวชายหัวโล้นถูกชักออกจากฝัก มันมีน้ำหนักมากถึง 100 ชั่ง

ชายหัวโล้นเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเจ้าสำนักวายุสะเทือนฟ้า จึงเตรียมพร้อมลงมือโจมตีอยู่แล้ว เขารวบรวมพลังลมปราณเอาไว้ก่อนหน้านี้ ดาบใหญ่ในมือจึงถูกตวัดกวัดแกว่งได้อย่างง่ายดาย มวลอากาศปั่นป่วน เหมือนเกิดพายุหมุนขนาดย่อม

พลังลมปราณพุ่งเข้าหาหลินเป่ยเฉินหนักหน่วงรุนแรง

ชายหัวโล้นไม่กระโดดหลบหลีกกระบี่ของเด็กหนุ่ม มิหนำซ้ำ ยังพุ่งตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินอย่างไม่กลัวตาย

นี่คือรูปแบบการต่อสู้ของจอมยุทธ์จากสำนักอิสระ

บ้าเลือด

ป่าเถื่อน

ก้าวร้าวรุนแรง

ต่างจากผู้ที่ฝึกฝนมาจากสถานศึกษากระบี่โดยสิ้นเชิง

หลินเป่ยเฉินคำนวณผิดพลาด

จึงจำเป็นต้องชักกระบี่กลับมาปัดป้อง

ชายหัวโล้นระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ฮ่าอ่าฮ่า จงลงนรกไปซะเถอะ!”

ดาบใหญ่ในมือของเขามีน้ำหนักถึง 100 ชั่ง เวลาตวัดกวัดแกว่งจะเกิดคลื่นพลังถาโถมเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม ยามที่ดาบถูกฟาดฟันลงมา มวลน้ำหนักของมันจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าเป็น 800 ชั่ง เพียงพอที่จะแยกร่างหลินเป่ยเฉินพร้อมด้วยกระบี่ในมือเขาออกเป็นสองเสี่ยงได้สบายๆ

นี่คือกระบวนท่าเด็ดชีพของชายหัวโล้น

คู่ต่อสู้มากมายต้องสิ้นชีวิตด้วยกระบวนท่านี้มานับไม่ถ้วน

แต่ในพริบตานั้น…

เคล้ง!

เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นสนั่นหู

ประกายไฟสาดกระจาย

ในตรอกมืดมิด ประกายไฟที่สว่างวาบส่องให้เห็นถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของผู้คนโดยรอบ

“เคล้ง! เคล้ง!”

เสียงคมกระบี่ปะทะคมดาบดังต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง

ชายหัวโล้นสีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว

ดาบใหญ่ในมือของเขาสามารถถูกตั้งรับได้โดยไม่มีปัญหา หมายความว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ มีฝีมือเกินกว่าที่ชายหัวโล้นคาดคิดเอาไว้

ยิ่งไปกว่านั้น กระบี่วิหคครามในมือหลินเป่ยเฉินไม่เพียงทำหน้าที่ป้องกันเท่านั้น แต่ยังสามารถตีโต้กลับมาได้อย่างน่ากลัว เด็กหนุ่มก้มตัวลง กุมด้ามกระบี่ด้วยสองมือแนบแน่น ลำตัวเอี้ยวบิดลักษณะแปลกประหลาด กระบี่ในมือทำมุม 45 องศา เสียงโลหะปะทะกันดังไม่หยุด กว่า 7 ใน 10 ส่วนของการโจมตีจากดาบใหญ่ จะถูกกระบี่ของหลินเป่ยเฉินตอบโต้กลับไปได้เสมอ

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็พลันเซถอยหลังด้วยแรงกระแทกจากดาบใหญ่

เด็กหนุ่มและชายหัวโล้นแยกออกจากกัน กระบี่วิหคครามถูกรั้งกลับมา

คมกระบี่ที่เคยแวววาวเมื่อสักครู่ บัดนี้จางหายไปแล้ว

“อ๊าก…”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังโหยหวน ชายหัวโล้นพลันล้มลงไปกองอยู่บนพื้น ขาซ้ายเกิดบาดแผลฉกรรจ์ ถูกคมกระบี่ฟันเข้าใส่จนขาเกือบขาดกระเด็น

พลังการต่อสู้สูญหายไปหมดแล้ว

แต่หลินเป่ยเฉินยังไม่หยุดโจมตี เขาใช้วิชาตัวเบาวิหคดั้นเมฆพร้อมด้วยวิชากระบี่ทะลวงจันทร์ จัดการกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ด้วยความดุดัน ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไป

เสียงร้องโหยหวนดังระงม เสียงกระบี่ตกพื้นดังเกรียวกราว แล้วกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหมดก็นอนสิ้นฤทธิ์อยู่บนพื้นดิน

เช้ง!

เสียงสุดท้ายเป็นเสียงกระบี่ในมือหลินเป่ยเฉินสอดเข้าฝัก

โว้ย นี่เราบินได้จริงด้วยแฮะ!

เด็กหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้

แสงจันทร์สาดส่องลงมาในตรอกที่มืดมิด เด็กหนุ่มหนึ่งคนกับกระบี่หนึ่งเล่มสามารถกำราบทรชนได้ทั้งกลุ่ม นับเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมที่ควรค่าต่อการเคารพยกย่อง

อีกไม่นาน ทุกคนจะต้องยกฉายาเซียนกระบี่ให้เขาแน่นอน!

ถึงแม้ว่าแอป ‘กระบี่ทะลวงจันทร์’ กับแอป ‘วิหคดั้นเมฆ’ จะไม่ได้เปิดใช้งานนานนัก แต่ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็เกือบจะเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นต่อไปในทั้งสองวิชานี้ได้แล้ว นับดูในคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ยากนักที่ผู้ใดจะมีฝีมือทัดเทียมกับเขาได้

นี่คือเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย

หลินเป่ยเฉินค่อยๆ หันหน้ากลับมาเตรียมรับคำขอบคุณจากฟางเสี่ยวไป่และพรรคพวก เด็กหนุ่มเตรียมคำพูดเท่ๆ เอาไว้แล้ว อย่างเช่น ‘แค่นี้เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องใส่ใจ’ แต่ที่ไหนได้ เมื่อหันหน้ากลับมา เขาก็พบเพียงความว่างเปล่า ฟางเสี่ยวไป่และลูกน้องทั้งสองคนของนางได้หายตัวไปจากตรอกแห่งนี้เสียแล้ว

หนีไปแล้วเหรอ?

อะไรกันเนี่ย?

อย่าบอกนะว่าพวกเธอหนีไปตอนที่ฉันสู้อยู่กับผู้ชายพวกนี้?

หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาในใจ

ไอ้พวกไม่มีจิตสำนึก

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันกลับมามองหน้าชายหัวโล้นตาขวาง แล้วถามว่า “พวกเจ้ามาจากสำนักใด?”

ชายหัวโล้นกัดฟันข่มความเจ็บปวด ตอบว่า “พวกเราเป็นคนของหอการค้าสามพันโยชน์ สำนักวายุสะเทือนฟ้าเป็นคู่แค้นของเรา ดังนั้น เราจึงตั้งใจที่จะจับตัวหัวหน้าอันดับ 3 ของพวกมัน…น้องชาย ในเมื่อเจ้าไม่ใช่คนของสำนักวายุสะเทือนฟ้า จึงเท่ากับว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น พวกเราเลิกแล้วต่อกันดีหรือไม่?”

จังหวะที่เห็นว่าพวกของฟางเสี่ยวไป่รีบหลบหนีไปโดยไม่อยู่ช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน ตอนนั้นชายหัวโล้นก็รู้แล้วว่าตนเองเข้าใจผิด เด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากคนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าสำนักวายุสะเทือนฟ้า และเด็กหนุ่มก็มีฝีมือแข็งแกร่งมาก ชายหัวโล้นจึงสำนึกเสียใจในการกระทำของตนเองมากแล้ว

หอการค้าสามพันโยชน์อย่างนั้นหรือ?

นี่คือชื่อหอการค้าอันดับหนึ่งในเมืองหยุนเมิ่ง ยึดครองการค้าใบชา แร่เหล็ก และใยฝ้ายกว่า 7 ใน 10 ส่วนของทั้งเมือง นับเป็นหอการค้าที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่ง

หลินเป่ยเฉินตวาดว่า “ไสหัวไปซะ”

ชายหัวโล้นและลูกน้องรีบก้มหน้าประสานมือขอบคุณ ไม่กล้ากล่าวอะไรมากไปกว่านั้น พวกเขาลุกขึ้นและหมุนตัววิ่งหนีไปทันที

“คนพวกนี้คงเป็นแค่ลูกน้องหางแถวของหอการค้าสามพันโยชน์ คำนวณดูแล้วตาหัวโล้นนี่คงเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อย แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับฉัน แสดงว่าคงไม่ใช่คนใหญ่คนโตในหอการค้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับภารกิจให้มาจัดการฟางเสี่ยวไป่ ซึ่งเป็นหัวหน้าลำดับที่สามของสำนักวายุสะเทือนฟ้า ดูท่าแล้ว ความยิ่งใหญ่ของทั้งสองฝ่ายยังห่างชั้นกันมากมายเหลือเกิน”

หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากตรอกมืดด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป

“เชี่ยเอ๊ย!”

เด็กหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพลาดโอกาสไถเงินพวกชายหัวโล้นไปอย่างไม่น่าให้อภัย การปล่อยตัวพวกนั้นไป ก็เท่ากับเป็นการปล่อยเหรียญทองคำจำนวนมากหลุดมือไปเช่นกัน

เฮ้อ

น่าเสียดายชะมัด

เรานี่มันโง่จริงๆ!

ดูเหมือนว่าการที่ในระยะหลังเขามีเงินทองเหลือเฟือ มันจะทำให้หลินเป่ยเฉินไม่ระมัดระวังเรื่องนี้มากเท่าที่ควร หากเป็นในอดีตสักสัปดาห์ก่อน เด็กหนุ่มมั่นใจว่าตนเองคงไม่มีทางปล่อยตัวกลุ่มชายหัวโล้นและถุงทองของพวกเขาไปง่ายๆ เช่นนี้แน่

นี่คือบทเรียนสำคัญที่ต้องจดจำเอาไว้

แต่ขณะที่เดินใช้ความคิดออกมาจากตรอกได้ไม่ถึงหนึ่งลี้ เงาร่างของใครบางคนก็กระโดดออกจากมุมมืดข้างทางมาคุกเข่าขวางหน้าเขา พร้อมกันนั้นก็เปล่งเสียงพูดว่า “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือขอรับนายท่าน ข้าพเจ้า เยว่หงเสว่ ตื้นตันในบุญคุณครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง”

ที่แท้ก็เป็นเจ้าเด็กเสิร์ฟนั่นเอง

หลินเป่ยเฉินรีบประคองเด็กชายลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าหนีไปแล้วหรือ?”

ตอนนั้นเองที่เด็กชายจำได้ว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้ใด “เอ๋? ทำไมถึงเป็นนายท่านได้ขอรับ? เมื่อเย็นนี้นายท่าน…”

เด็กชายเกิดความละอายใจขึ้นมาฉับพลัน ทำให้ต้องรีบกล่าวต่อทันที “ข้าน้อยต้องขออภัยด้วย ข้าน้อยจำนายท่านไม่ได้ และเมื่อสักครู่นี้ ข้าน้อยจำเป็นต้องช่วยชีวิตท่านพี่เสี่ยวไป่ก่อน จึงจำเป็นต้องทิ้งนายท่านมาแบบนั้น…แต่หลังจากที่ส่งท่านพี่ไปในที่ปลอดภัยแล้ว ข้าน้อยก็รีบกลับมาหาท่านทันที…”

หลินเป่ยเฉินถามว่า “เจ้าตั้งใจกลับมาทำอะไร?”

เยว่หงเสว่ตอบโดยไม่ลังเล “ข้าน้อยตั้งใจกลับมาช่วยเหลือนายท่าน หากนายท่านสู้พวกมันไม่ได้ ข้าน้อยก็จะหาโอกาสพานายท่านหลบหนีออกมา ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิต ข้าน้อยก็ยอม”

หลินเป่ยเฉินจ้องตาเด็กชายและรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก

เพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เด็กชายจะต้องกลับมาหาเขา

หลินเป่ยเฉินนึกถึงข้อมูลส่วนตัวที่เด็กชายเคยเล่าให้เขาฟังในโรงเตี๊ยมชิงฝู จึงอดถามออกไปไม่ได้ “เจ้ามีนามว่าเยว่หงเสว่ ถ้าอย่างนั้น เยว่หงเซียงก็คงเป็นพี่สาว…”

“เขาไม่รู้จักเยว่หงเซียง”

น้ำเสียงที่เย็นชาพลันดังขึ้นจากเงามืดริมทาง “ถึงพวกเขาจะมีชื่อคล้ายกัน แต่ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด