เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 135 มีคนสารเลวเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนกระบี่มาแล้ว!剑仙在此 ตอนที่ 135 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 135 มีคนสารเลวเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ

เป็นเรื่องราวความบาดหมางระหว่างสำนักยุทธ์อิสระจริงๆ ด้วย

หลินเป่ยเฉินสอบถามต่อว่า “แล้วพวกเจ้าจะมาดักเล่นงานข้าทำไม?”

หัวหน้าชายฉกรรจ์ยังคงตอบเสียงสั่น “เพราะเราได้ยินนายท่านถามหาเยว่หงเสว่ที่โรงเตี๊ยมชิงฝูขอรับ เลยเข้าใจผิดคิดว่านายท่านเป็นสมาชิกสำนักวายุสะเทือนฟ้า พวกของข้าน้อยก็เลยมาปิดล้อมท่าน กะจะนำตัวท่านไปส่งมอบให้แก่หอการค้าสามพันโยชน์เพื่อรับของรางวัลน่ะขอรับ”

“หอการค้าสามพันโยชน์จะมอบรางวัลให้แก่คนที่จับตัวพวกของเยว่หงเสว่ไปให้อย่างนั้นหรือ?” หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้า “พวกมันจะทำแบบนั้นไปทำไม?”

หัวหน้าชายฉกรรจ์กล่าวตอบ “เพราะตั้งแต่ที่เซินเฟยจากสำนักกระบี่ไฟ ถูกเปิดโปงว่าเป็นสาวกจอมปีศาจที่การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ทางราชการก็ส่งคนมาทำลายสำนักกระบี่ไฟหมดสิ้น ทำให้ขณะนี้เกิดการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มสำนักยุทธ์อิสระของเมืองหยุนเมิ่ง ส่วนทางด้านหอการค้าสามพันโยชน์เอง พวกมันก็อาศัยโอกาสนี้พยายามจะกลืนกินสำนักยุทธ์ทุกแห่งเป็นของตน ดังนั้นพวกมันจึงตั้งเป้าหมายจะกวาดล้างกลุ่มคนที่ต่อต้าน เช่นสำนักวายุสะเทือนฟ้า สำนักหมาป่าไฟ และสำนักพันธมิตรอื่นๆ ด้วยเช่นกันขอรับ…”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจแล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

นี่คือสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างสำนักยุทธ์อิสระ

ไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่กำลังขยายอาณาเขต

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเยว่หงเสว่ถูกจับตัวอยู่ที่ไหน?” หลินเป่ยเฉินถามอย่างไม่รอช้า

คฤหาสน์มหากาฬ

นี่คือคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหยุนเมิ่ง มีพื้นที่โดยรวมครอบคลุมอาณาเขตมากกว่า 4 ลี้ ตัวคฤหาสน์ก่อสร้างด้วยอิฐแดงกระเบื้องเขียว มีกำแพงสูงล้อมรอบบริเวณ ซ้ำยังมีเวรยามอารักขาอย่างแน่นหนา

นี่คือที่ทำการของหอการค้าสามพันโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดประจำเมือง

หอการค้าสามพันโยชน์เปิดทำการค้าขายในเมืองหยุนเมิ่งมานานกว่า 60 ปี จัดทำการค้าทุกชนิดในตัวเมือง ทั้งรับสินค้านำเข้าจากชาวทะเล เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ๆ ทั่วมณฑลเฟิงอวี่ จึงนับได้ว่าเป็นขบวนการที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของชาวเมืองหยุนเมิ่งแทบทุกครัวเรือน

ประมุขผู้ดูแลสาขาประจำเมืองคนปัจจุบัน มีแซ่เจา นามโจวหยาน เขานับเป็นบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง และมีความสัมพันธ์อันดีงามกับบุคคลระดับสูงจำนวนมากในรัฐบาล

เจาโจวหยานสร้างคฤหาสน์หลังนี้ขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เพื่อใช้เป็นที่รวมตัวของจอมยุทธ์มากฝีมือจากทั่วโลก

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา หอการค้าสามพันโยชน์ได้ว่าจ้างจอมยุทธ์เป็นจำนวนมาก เพื่อทำหน้าที่คุ้มกันและขนส่งสินค้า และด้วยความยอดเยี่ยมของพวกเขา หอการค้าประจำเมืองแห่งนี้จึงเจริญเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ปัจจุบัน ห้องหับในคฤหาสน์กลายเป็นที่พำนักของมือกระบี่และเป็นสถานที่โคจรพลังลมปราณของจอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วน จึงกล่าวได้ว่าหอการค้าสามพันโยชน์ เป็นหนึ่งในขุมกำลังที่น่ากลัวที่สุดของเมืองหยุนเมิ่งก็ว่าได้

“ฮ่าฮ่า แค่ 5 วันเท่านั้น เจ้าก็เดินเข้ามาติดกับดักของข้าเสียแล้ว ดูเหมือนว่าความอดทนของเจ้าจะน้อยกว่าที่คาดคิดเอาไว้เยอะทีเดียว”

ต้นหวูโถง (ต้นไม้ร่มกันแดดจีน) ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ มันมีลำต้นขนาดใหญ่สิบคนโอบ แผ่กิ่งก้านสาขายาวหลายสิบวา ก่อเกิดเป็นร่มเงาทอดยาวบนพื้นดิน

ต้นไม้ต้นนี้ดึงดูดหมู่มวลวิหคเป็นจำนวนมาก

ในอดีต หอการค้าสามพันโยชน์ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยทีเดียวกว่าจะสามารถนำต้นหวูโถงมาปลูกได้สำเร็จ

และภายใต้ร่มเงาของมันขณะนี้ มีเก้าอี้ยาวสีแดงตัวหนึ่งถูกตั้งเอาไว้

เด็กหนุ่มอายุประมาณ 18 – 19 ปีผู้หนึ่งกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวนั้น เขามีหน้าตาหล่อเหลา เวลาพูดคุยเจรจาก็มักจะยิ้มแย้มเสมอ เด็กหนุ่มมีใบหน้าที่ดูเป็นมิตร แต่ความจริงนั้น เขากำลังทำให้ทุกคนรอบตัวรู้สึกขนลุกเกรียวกันไปหมด

ด้านหลังเด็กหนุ่มคนนี้ มีมือกระบี่กว่า 20 คนยืนเรียงรายอยู่สองฝั่งซ้ายขวา

เบื้องหน้าเขาตั้งไว้ด้วยโต๊ะหินใหญ่ตัวหนึ่ง

บนโต๊ะจัดเรียงด้วยจานอาหารและผลไม้

ระหว่างที่เด็กหนุ่มพูดไป เขาก็นำเท้าทั้งสองข้างยกขึ้นมาพาดไว้บนโต๊ะพลางรับประทานแตงโมไปด้วย

ที่ด้านหน้าโต๊ะหินขณะนี้ ฟางเสี่ยวไป่ซึ่งมาจากสำนักวายุสะเทือนฟ้า ค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าต้นหวูโถงพร้อมด้วยสองแม่ลูกคู่หนึ่ง และมีชายฉกรรจ์ที่น่าจะเป็นสมาชิกร่วมสำนัก คอยคุ้มกันนางอยู่ประมาณ 5 – 6 คน

“เจ้าเป็นใคร? เจาโจวหยานอยู่ที่ไหน?”

ฟางเสี่ยวไป่ซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าชุดรัดกุม บนศีรษะโพกด้วยผ้าเช็ดหน้าลายทางผืนหนึ่ง ใบหน้าที่สวยงามก็มีผืนผ้าปกคลุม มองเห็นเพียงดวงตาสุกใสกำลังกวาดมองรอบบริเวณด้วยความเยือกเย็น

“แหม ใจเย็นสิ ข้ากำลังแนะนำตัวเองให้เจ้ารู้จักอยู่พอดี”

เด็กหนุ่มบนเก้าอี้ตัวยาวพ่นเม็ดแตงโมทิ้ง ก่อนยกมือขึ้นปาดริมฝีปาก แล้วกล่าวต่อว่า “ข้าคือเจาอู๋หยาง ข้าเป็นบุตรชายของคนที่เจ้ากำลังถามถึง หน้าที่ของข้าคือการกวาดล้างสำนักวายุสะเทือนฟ้าและสำนักหมาป่าไฟ ความเดือดร้อนที่พวกเจ้ากำลังพบเจอ เป็นข้านี่แหละที่วางแผนมาทั้งนั้น”

“เจ้านี่เอง!”

ความเกลียดชังพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของฟางเสี่ยวไป่

ระยะหลังนี้ สมาชิกของสำนักวายุสะเทือนฟ้าจำนวนมาก ถ้าไม่ถูกสังหารก็โดนจับตัวไปอย่างลึกลับ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านางคนนี้นี่เอง

“ฮ่าฮ่า ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของฟางเสี่ยวไป่แห่งสำนักวายุสะเทือนฟ้ามานานแล้ว นอกจากมีไหวพริบและความเก่งกาจเลิศล้ำ ยังนับเป็นหนึ่งในดอกไม้งามประจำเมืองหยุนเมิ่งอีกต่างหาก ในเมื่อวันนี้เราได้มีโอกาสพบหน้ากันแล้ว ข้าก็รู้เลยว่าตัวจริงของเจ้านี่ช่าง…หุหุหุ” ดวงตาทั้งสองข้างของเจาอู๋หยางทำหน้าที่เป็นเหมือนสายวัดขนาดสัดส่วน ทาบทับไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเด็กสาวอย่างพินิจพิเคราะห์

“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว เยว่หงเสว่อยู่ที่ไหน?” ฟางเสี่ยวไป่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทุกอย่างยืนยันตามข้อตกลงเดิม เราจะแลกเปลี่ยนตัวประกัน ตราบใดที่เจ้าส่งมอบตัวเยว่หงเสว่ออกมา เราก็จะปล่อยตัวแม่เลี้ยงและน้องสาวของเจ้าไปซะ”

หญิงสาวที่ถูกจับตัวมานี้มีอายุประมาณ 24 – 25 ปี นางมีผิวพรรณขาวเนียน หน้าตางดงาม เป็นหนึ่งในนางสนมสุดที่รักของเจาโจวหยาน ประมุขของหอการค้าสามพันโยชน์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของนางมีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น เป็นบุตรีที่เกิดจากนางสนมคนนี้กับเจาโจวหยาน ลำดับความสำคัญในหอการค้าของพวกนาง มีฐานะไม่ต่างไปจากมารดาและน้องสาวแท้ๆ ของเจาอู๋หยาง

“เยว่หงเสว่?”

เจาอู๋หยางโยนเปลือกแตงโมในมือทิ้ง แสร้งทำเป็นขบคิดนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง “อ้อ จริงด้วยสิ หมายถึงเจ้าลูกเต่าดื้อด้านที่เกือบจะโดนข้าถลกหนังคนนั้นใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่า มันอยู่ที่นี่แหละ” พูดจบ เด็กหนุ่มก็ปรบมือเป็นจังหวะ

แปะแปะ แปะแปะ

สัญญาณถูกส่งออกไป

วูบ!

แล้วเงาร่างของคนผู้หนึ่งก็ถูกหย่อนลงมาจากกิ่งก้านสาขาอันหนาแน่นด้านบนศีรษะของเขา

ที่แท้ก็เป็นเยว่หงเสว่

แต่เด็กชายหมดสติไปแล้ว

เยว่หงเสว่ถูกจับแขวนอยู่กลางอากาศด้วยตะขอขนาดใหญ่ที่เจาะร้อยเข้าไปตรงกระดูกบริเวณหัวไหล่ คราบเลือดแห้งกรังเกาะติดอยู่เต็มเนื้อตัวและเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ผิวหนังบางส่วนของเด็กชายอยู่ในสภาวะเน่าเปื่อยรุนแรง บาดแผลบางส่วนเปิดออกเผยให้เห็นถึงเนื้อข้างในแล้วด้วยซ้ำ

ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเด็กชายต้องผ่านการสอบปากคำมาอย่างหนักหน่วงขนาดไหน

“เสี่ยวเสว่…”

“จะบอกให้นะ เจ้าลูกเต่าน้อยตัวนี้มันหัวแข็งเหลือเกิน ไม่ว่าข้าพยายามทรมานมันสักเท่าไหร่ มันก็ไม่ยอมปริปากบอกที่อยู่ของเจ้าเลยสักคำเดียว แต่ยิ่งมันอดทนมากแค่ไหน ข้าก็ยิ่งทรมานมันสนุกมากขึ้นเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องเก็บมันไว้ล่อเจ้ากับซูโต่วให้มาที่คฤหาสน์มหากาฬ ข้าก็คงโยนมันให้เป็นอาหารสุนัขไปนานแล้ว…”

เจาอู๋หยางหยิบแตงโมขึ้นมาอีกชิ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้”

ฟางเสี่ยวไป่คำรามด้วยความโกรธแค้น

“จะให้ปล่อยเขาหรือ?” เจาอู๋หยางทำสีหน้าประหลาดใจ แล้วถามว่า “ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย?”

ฟางเสี่ยวไป่ชักกระบี่ออกมาทาบไปที่ลำคอของหญิงสาวตัวประกัน “หากเจ้าไม่ปล่อยเขา นางตายแน่”

หญิงสาวผู้ถูกจับเป็นตัวประกันหวาดกลัวจนใบหน้าซีดขาว รีบอ้อนวอนร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนายิ่งนัก

เจาอู๋หยางกลับทำหน้าตาล้อเลียนไม่สะทกสะท้าน “โอ๊ย ข้ากลัวไปหมดแล้วนะเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า…เอาแบบนี้ดีไหม ไม่ต้องลำบากเจ้าฆ่านางหรอก เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง”

พูดจบแล้ว เด็กหนุ่มก็ปรบมืออีกครั้ง

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

พลธนูที่ซ่อนตัวอยู่ 10 นาย ยิงลูกศรออกมาแล้ว

“ไม่นะ!”

ฟางเสี่ยวไป่ร้องอุทานด้วยความตกใจขณะใช้กระบี่ปัดป้องลูกธนูที่พุ่งเข้ามา

แต่เมื่อห่าฝนลูกธนูยุติลง สมาชิกของสำนักวายุสะเทือนฟ้าที่คอยอารักขานางอยู่รอบกายก็ล้มลงไปจบชีวิตหมดสิ้น เฉกเช่นเดียวกับตัวประกันแม่ลูกที่ไม่รอดพ้นความตายจากลูกธนูพิฆาตเช่นกัน เลือดสีแดงสดไหลนองเต็มพื้นดิน พวกนางแม่ลูกเสียชีวิตไปในลักษณะที่กอดกันแนบแน่นด้วยความหวาดกลัว

ฟางเสี่ยวไป่ถึงกับตกตะลึงแล้ว

นางรู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วกาย ในหัวใจรู้สึกตกตะลึงและโกรธแค้นพอๆ กัน

ความจริงเด็กสาวตั้งใจจับแม่ลูกคู่นี้มาชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้ตัวเยว่หงเสว่แล้วก็จะปล่อยพวกนางไป ฟางเสี่ยวไป่ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้พวกนางต้องมาตกตายที่นี่จริงๆ

ไม่คิดเลยว่าเจาอู๋หยางจะถึงกับกล้าสั่งให้ลูกสมุนยิงพวกนางได้ลงคอ

ฟางเสี่ยวไป่ไม่อยากเชื่อเลยว่าโลกใบนี้จะมีคนสารเลวเช่นนี้อยู่ด้วย คนที่สามารถสังหารแม่เลี้ยงและน้องสาวของตนเองได้แบบตาไม่กระพริบ

“เจ้านี่มันเป็นสัตว์เดรัจฉานชัดๆ”

ไม่สิ เขาเลวร้ายยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ

“เฮ้อ ตัวประกันของเจ้าตายไปเสียแล้วสิ”

เจาอู๋หยางกวาดตามองเรือนร่างฟางเสี่ยวไป่ด้วยสายตาคุกคาม ก่อนพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ไม่มีใครจะสามารถช่วยเจ้าได้อีกแล้ว สภาพของเจ้าในตอนนี้ไม่ต่างจากตะพาบในไห ฮิฮิ แต่ถ้าเจ้ายอมทิ้งอาวุธและมาเป็นทาสรับใช้ของข้าแต่โดยดี ข้าก็จะปล่อยเยว่หงเสว่ไป เจ้าว่าดีหรือไม่?”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด