พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 63 อนุโมทนาบุญ
งานไหว้พระจันทร์สิ้นสุดลงแล้ว เด็กๆ ทั้งหลายถูกไล่กลับไปนอน ทว่า ไฟตรงลานบ้านของเหล่าฮูหยินเฉิงยังคงเปิดอยู่ แม่นมกับสาวใช้ต่างยืนพนมมือกันอย่างเงียบๆ
“…ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่นจริงๆ เจ้าค่ะ ข้า ข้าคิดเพียงว่าแม่นางเฉิงเจ็ดชอบกินผลไม้เหล่านี้ ปกติไม่พอกิน ก็จะโมโหโวยวายอยู่บ่อยๆ กลัวว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีก จึงอยากจะเก็บสำรองไว้สักหน่อยเจ้าค่ะ และไม่มีใครสอนให้ข้าทำเช่นนี้จริงๆ เจ้าค่ะ”
“ใช่เจ้าค่ะท่านย่า แม่นมหวงมาถามข้าว่าจะเก็บผลไม้เหล่านี้ไว้สักหน่อยหรือไม่ ข้าตอบไปว่าเอาเจ้าค่ะ นางไม่ได้ขโมยเพื่อตัวเองจริงๆ ข้ารู้นิสัยนางดีเจ้าค่ะ”
“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าสั่งสอนไม่ดีเองเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าถือโทษโกรธพี่สะใภ้ใหญ่ไปเลย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ”
คนในเรือนของเหล่าฮูหยินเฉิงเดินเข้าออกไปมา และในที่สุดฮูหยินใหญ่เฉิงก็ร้องไห้ออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“บอกว่าคนอื่นจงใจทำให้เจ้าเสียหน้า จงใจแล้วอย่างไรกัน ก็เจ้าทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นก่อน จึงทำให้คนอื่นมีโอกาสทำให้เจ้าขายหน้า พูดตรงๆ เลยก็คือเจ้าทำตัวของเจ้าเองทั้งนั้น จะโกรธใครได้เล่า!”
เสียงของเหล่าฮูหยินเฉิงดังมาจากข้างในเรือน
สาวใช้และแม่นมที่อยู่ด้านนอกต่างก้มหน้าลงต่ำ
“หาว่าคนอื่นยิ่งแก่ยิ่งเหมือนเด็ก แล้วเจ้าไม่เป็นเช่นนั้นหรือ โมโหไม่มีที่ลง ก็ตัดจำนวนอาหารของคนอื่น เจ้าคิดวิธีนี้ออกมาได้ ข้าว่าเจ้าจะใช้ชีวิตสุขสบายเกินไปแล้ว!”
“ละอายใจบ้างไหม บีบบังคับจนเด็กๆ ในตระกูลถึงกับต้องขโมยอาหาร!”
“กลับเอาไปคิดดูดีๆ!”
ฮูหยินใหญ่เฉิงปิดหน้า ร้องไห้แล้วเดินออกจากเรือน เหล่าบรรดาแม่นมและสาวใช้แทบจะมุดศีรษะลงดิน
แสงจันทร์นวลใหญ่ แต่ลานของตระกูลเฉิงกลับเงียบสนิทบรรยากาศอึมครึม
“ไหว้พระจันทร์ วันดีเช่นนี้กลับต้องมาทะเลาะกัน”
ตรงบริเวณสระบัว วัยรุ่นสองคนนั่งอยู่บนพื้น บรรดาสาวใช้ของแต่ละคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังรินเหล้าให้
“คนในครอบครัวเดียวกันก็เหมือนฟันบนกับฟันล่างที่ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง” นายน้อยเฉิงสามพูดพร้อมกับชนแก้วกับนายน้อยเฉิงสี่
ทั้งสองดื่มหมดแก้วรวดเดียว
“อารองกำลังจะเดินทางไปรับตำแหน่งแล้ว อาสะใภ้รองก็ต้องตามไปด้วย อยู่ใกล้กันมักมีเรื่องให้บ่นทะเลาะกันทุกที แต่พอห่างกันทีไรความรู้สึกฉันครอบครัวกลับมีมากขึ้นกว่าอยู่ด้วยกันมาก” นายน้อยเฉิงสี่ยิ้มกล่าว
นายน้อยเฉิงสามพยักหน้า
“ได้ข่าวว่าท่านอามีโอกาสจะได้เป็นผู้ว่าการเมืองไหลยางใช่หรือไม่ และจะเลื่อนขั้นจากขุนนางระดับสี่ชั้นเอกต้นเป็นระดับสี่ชั้นเอก ช่างน่ายินดียิ่งนัก”
หลังจากพูดจบ มองเห็นนายน้อยเฉิงสี่กำลังจ้องมองสถานที่แห่งหนึ่งอยู่อย่างเหม่อลอย โดยไม่ได้ฟังสิ่งที่ตนพูดเลย
เขามองตาม มองเห็นก้อนหินตรงข้ามบ่อน้ำ
“เจ้าคิดถึงหญิงงามนางนั้นอีกแล้วหรือ” เขายิ้มเอ่ย
เรื่องที่นายน้อยสี่ถูกหญิงงามล่อให้หลงใหลตรงสระบัว ได้กลายเป็นเรื่องตลกขบขำที่มักพูดคุยกันในบ้าน
นายน้อยเฉิงสี่เป็นคนอ่อนน้อม ไม่ถือโทษโกรธเคืองใครแต่อย่างไร เขายิ้มตอบเพียงเท่านั้น
“คิดถึงหญิงงาม ทำให้ข้านึกถึงเรื่องหนึ่ง” เขาพูดพลางหันหน้าไปมองสาวใช้ชุนหลานที่อยู่ข้างๆ “เด็กคนนั้นอยู่ที่วัดเต๋า ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรบ้าง พรุ่งนี้เจ้าไปส่งอาหารให้นาง ก็ถือว่าฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว”
“เจ้าค่ะ” ชุนหลานรับคำ
“คนบ้าจะฉลองอะไรกัน ไม่รู้จักฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง อากาศร้อนหรือหนาวหรอก” นายน้อยเฉิงสามยิ้มกล่าว
“ไม่สำคัญว่านางจะรู้หรือไม่ ในเมื่อเรารู้ก็พอแล้ว” นายน้อยเฉิงสี่กล่าว
นายน้อยเฉิงสามยังคงมองไปที่ก้อนหินก้อนนั้นอย่างไม่รู้ตัว
“ตอนแรกท่านอาสะใภ้ดีกับข้ามาก ข้าจำได้ว่านางชอบยิ้มแล้วหยิบตังเมให้ข้าหนึ่งกำมือ ต่อมา คลอดน้องสาวคนนี้แล้ว ก็ไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของนางอีกเลย ได้ยินมาว่าตอนตายก็ร้องไห้ ไม่ยอมหลับตา” เขากล่าว
เป็นเพราะกังวลเด็กนั่นแหละ
สงสารหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่
ทั้งสองคนเงียบไปชั่วครู่และรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
“ชุนหลาน ที่ข้ามีอีกชุด เจ้าเอาไปพร้อมกันเถอะ” นายน้อยเฉิงสามกล่าว
“เจ้าค่ะ” ชุนหลานรีบตอบ
“ตอนแรกท่านอาสะใภ้เป็นคนดีมากจริงๆ หากนางยังมีชีวิตอยู่ วันนี้…” นายน้อยเฉิงสี่อดไม่ได้ที่จะกล่าว แต่เมื่อพูดออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถึงจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดต่อ จึงหยุดพูด
“หยิบเศษเงินเพิ่มสิ หนาวแล้ว ต้องมีของให้ซื้ออีกมาก” เขาถอนหายใจพลางมองไปที่ชุนหลานเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เจ้าค่ะ” ชุนหลานตอบอีกครั้ง
ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม การกลับมาของคนบ้านั้น ได้สร้างรอยร้าวไว้ภายในหัวใจของคนในตระกูลแล้ว
ทว่า ขณะนี้ทางวัดเสวียนเมี่ยวกำลังอิ่มเอมไปกับการชมพระจันทร์
เจ้าอาวาสซุนมาเชิญด้วยตัวเอง เฉิงเจียวก็ตอบตกลง พร้อมกับจับมือสาวใช้เพื่อไปดูพิธีไหว้พระจันทร์ที่ทางวัดจัดขึ้น
ต้องขอบคุณตระกูลเฉิงมาก นี่เป็นพิธีไหว้พระจันทร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เจ้าอาวาสซุนมาประจำ ณ วัดแห่งนี้
ของไหว้ที่ถูกจัดเรียงอยู่บนโต๊ะนั้น ช่างดูน่าตื่นตาตื่นใจนัก นางและเหล่าบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายต่างเปลี่ยนชุดคลุมเต๋าชุดใหม่ แต่สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือ นี่ไม่ใช่วันที่ดีที่สุด วันที่ดีกว่า ยังรออยู่ข้างหน้า
เมื่อนึกถึงเช่นนั้น เจ้าอาวาสซุนก็ยิ้มออกมา
จากนั้น เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่แล้ว แม้จะทำหน้านิ่ง แต่กลับมองให้เห็นถึงรอยยิ้มภายในดวงตาคู่นั้น
ภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างไสว แม้ว่าวัดเสวียนเมี่ยวจะมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น แต่พวกเขาก็มีความสุขมากเช่นกัน
“นายหญิงกินเหล้าหรือไม่เจ้าคะ” เจ้าอาวาสซุนถามอย่างระมัดระวัง
“กิน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
เจ้าอาวาสซุนดีใจมากและกำลังยุ่งอยู่กับการรินเหล้าด้วยตัวเอง
“แต่เหล้าของที่นี่ ข้าไม่กิน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวอีกครั้ง
มือของเจ้าอาวาสซุนที่ถือแก้วเหล่าอยู่เก้ๆ กังๆ เล็กน้อย
เหล้าของที่นี่คงสู้เหล้าชั้นดีของตระกูลเฉิงไมได้
ทว่า เจ้าอาวาสซุนไม่มีกระจิตกระใจที่จะโกรธเคือง เพราะนางก็พูดถูก คนที่รู้จักข้อบกพร่องของตัวเองย่อมไม่มีเรื่องให้ทุกข์ใจ นางจึงยกขนมโก๋ไส้ผลไม้มาให้อีกอย่างขยันขันแข็ง
เหล่าเซียนหญิงทั้งหลายที่นั่งอยู่อีกด้านต่างพากันประหลาดใจ
เพราะความขยันและระมัดระวังของท่านเจ้าอาวาส และพฤติกรรมของคนบ้าในตำนานนางนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เห็นหญิงบ้าเจียวเหนียงแห่งตระกูลเฉิงอย่างใกล้ชิด
นอกจากการแสดงออกที่แข็งกระด้างและเหม่อลอยแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลยจริงๆ
“นางฟังเข้าใจหรือไม่” เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะกระซิบถามสาวใช้
สาวใช้หัวเราะเสียงดัง
“นายหญิงข้ารักษาจนหายแล้ว” นางกล่าว
โรคบ้าตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์จะสามารถรักษาให้หายได้จริงหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน
ทุกคนต่างประหลาดใจและมองไปที่ผู้หญิงนางนั้นอย่างตั้งใจ นางนิ่งเงียบ แม้จะไม่ค่อยเหมือนคนบ้า แต่ก็รู้สึกว่านางแตกต่างจากคนปกติทั่วไป
อาทิ พูดน้อย พูดด้วยเสียงแข็งกระด้าง และไม่ค่อยขยับตัวมากนักหลังจากนั่งเป็นเวลานาน
สาวใช้ช่วยประคองเฉิงเจียวเหนียงให้ลุกขึ้น เจ้าอาวาสซุนรีบลุกขึ้นตาม เมื่อเจ้าอาวาสซุนลุกขึ้น คนอื่นๆ จึงลุกขึ้นด้วยเช่นกัน
“พรุ่งนี้เอาของพวกนี้” เฉิงเจียวเหนียงชี้ไปที่ขนมโก๋ไส้ผลไม้อบแห้งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งนางนำมา “ให้ทานแก่คนที่อยู่หน้าวัดและคนเดินผ่าน”
จำนวนมากเช่นนี้เลยหรือ
ที่นี่เป็นเพียงวัดเต๋าที่แทบจะไม่มีข้าวกิน ไม่ใช่วัดใหญ่ที่ร่ำรวยจนสามารถโปรยเงินแจกทองหลังจากประกอบพิธีกรรมเพียงครั้งเดียวได้
ทุกคนต่างประหลาดใจมาก ของเหล่านี้เพียงพอสำหรับการกินอยู่และบูชาได้หนึ่งเดือนแล้ว จะให้บริจาคออกไป คงจะสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว
“ใช่เจ้าค่ะ” เจ้าอาวาสซุนตอบด้วยความเคารพอย่างไม่ลังเลและเป็นผู้ชี้ทางด้วยตัวเอง
ตอนเช้าตรู่ พ่อค้าอู๋รีบร้อนเข้าไปในเมือง แม้แต่อาหารก็ยังไม่ได้กิน พอเดินผ่านเขาเสวียนเมี่ยว ก็มองเห็นเซียนหญิงยืนอยู่นอกวัดสองถึงสามคน
เหตุเพราะวัดน้อยเสวียนเมี่ยวสร้างชื่อเสียงไม่ดีนัก เหล่าบรรดาเซียนหญิงของวัดใหญ่เสวียนเมี่ยวจึงแทบจะไม่เคยเดินออกจากประตูซานเหมินเลย
วันนี้ ในเมื่อมีคนลุกขึ้นจำนวนมากและสวมใส่เสื้อคลุมเต๋าชุดใหม่อยู่ ข่าวเรื่องวัดเสวี่ยนเมี่ยวน้อยถูกฟ้าผ่าก็แพร่กระจายไปทั่ว เมื่อไม่มีวัดเสวียนเมี่ยวน้อยแล้ว วัดใหญ่ต้องสืบทอดต่อไปอย่างนั้นหรือ
การคาดเดาเช่นนี้ทำให้พ่อค้าอู๋ถึงกับอดหัวเราะไว้ไม่อยู่ ความคิดที่หยาบคายก็ช่วยขจัดความเบื่อหน่ายที่ต้องเดินทางอย่างหิวโหยไปได้
“พี่ชาย อนุโมทนาบุญ”
เด็กน้อยทักทายอย่างกระตือรือร้น ขณะที่ยกสิ่งของที่ห่อด้วยกระดาษเคลือบน้ำมันในมือขึ้น
หมายความว่าอย่างไรกัน
คนที่เดินผ่านคนอื่นๆ ก็ได้รับการทักทายอย่างนี้เช่นกัน แต่ทุกคนกลับหลบหน้าไปเสียหมด
“นี่คือของไหว้ในพิธีไหว้พระจันทร์ของทางวัดเสวียนเมี่ยว เป็นของขวัญพิเศษสำหรับทุกคน” เจ้าอาวาสซุนกล่าวพร้อมกับทำความเคารพ
ผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบยังคงเอาแต่เฝ้ามอง คนที่กล้าเดินก้าวเข้ามายังไม่มากนัก
พ่อค้าอู๋มองไปที่ขนมโก๋ไส้ผลไม้อบแห้งบนโต๊ะ ในท้องรู้สึกเพียงแค่หิวโหย รสชาติอาจจะไม่อร่อยนัก ทว่า คงกินแล้วไม่ถึงกับตายหรอก
“ขอบคุณ ขอบคุณ” เขาพูดเสียงดัง และเป็นคนแรกที่ยื่นมือออกมารับ
………………………………………………
คอมเม้นต์