พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 107 ลืมไป
เมื่อท้องฟ้ามืดลง หิมะก็หยุดตกแล้ว ภายใต้แสงไฟสีแดงที่แขวนอยู่สาดส่องมา ในเรือนก็ระยิบระยับช่างงดงามยิ่งนัก
เหล่าแม่นมรีบเปิดประตูห้องออก ความอบอุ่นในห้องพุ่งมาตรงหน้า ฮูหยินโจวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้านางเดินเข้ามา แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
“เป็นอย่างไร ยังโวยวายอีกหรือไม่” นายใหญ่โจวรีบเอ่ยถาม
แม่นมถอดเสื้อคลุมของฮูหยินโจวออกให้ รีบถอยออกไป แล้วปิดประตูห้อง
“ไม่ได้โวยวาย” ฮูหยินโจวนั่งลง ดื่มชาพลางยื่นมือมานวดหน้าผาก พูดถึง นายบ่าวคู่นี้เข้าเรือนมา เงียบสงบเสียจนเหมือนว่าไม่อยู่ในเรือน แต่ทำไมนางถึงยังเหนื่อยล้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นนี้ “จัดห้องครัวให้แล้ว นายบ่าวคู่นั้นทำกินกันเองแล้วก็ไปนอนแล้ว”
นายใหญ่โจวโล่งอก
ตอนกลางวันบ้านตระกูลเฉินได้ส่งคนมาหา บอกว่าจะเชิญเฉิงเจียวเหนียงไปเยี่ยมอาการนายใหญ่อีกในวันพรุ่งนี้
วันนี้เพิ่งจากมา พรุ่งนี้ยังจะมีอะไรให้เยี่ยมกัน
เห็นได้ชัดว่า บ้านตระกูลเฉินจะมาถามว่าเฉิงเจียวเหนียงว่าจะไปหรือจะไม่ไปแล้ว
หากเฉิงเจียวเหนียงบอกว่าไป ข้ออ้างคือดูอาการป่วยของนายใหญ่เฉิน เช่นนั้นบ้านตระกูลโจวก็ขวางไว้ไม่อยู่
นายใหญ่โจวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก โทษลูกชายที่ก่อเรื่องเช่นนี้ไร้ประโยชน์ แล้วยังล่วงเกินเฉิงเจียวเหนียงและบ้านตระกูลเฉินอีก
ขณะที่ไม่รู้จะทำเช่นไรดี เฉิงเจียวเหนียงกลับบอกคนตระกูลเฉินว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องดูอาการ ถึงเวลาที่ควรไป นางจะไปเอง
คราวนี้หน้าตาก็ยังถือว่ารักษาเอาไว้ได้อยู่
นายใหญ่โจวโล่งใจ
“นั่นเป็นเพราะชายหก” ฮูหยินโจวกล่าว พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “ท่านไม่เห็นว่าเขาตีตนเองแรงเพียงไหน อากาศหนาวเย็นท่ามกลางหิมะนั้น ก็แค่สาวใช้คนหนึ่ง ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร นางไม่สนใจหน้าตาโมโหคนไปเรื่อยเช่นนี้ หากชายหกเป็นอะไรไป ข้าไม่ยกโทษให้นางเป็นแน่…”
“เป็นอะไรไป ไม่ถือเป็นแผลใหญ่อะไร” นายใหญ่โจวกล่าวอย่างไม่สนใจใยดี แฝงไปด้วยความสบายใจแล้วดื่มน้ำชา “บ้านสงบสุข ก็พอ ก็พอแล้ว”
บ้านสงบสุข
ฮูหยินโจวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงหนึ่งวันนี้
เรื่องนี้ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้ไป บ้านก็คงสงบสุขแล้วกระมัง
ทำไมนางถึงยังได้รู้สึกไม่สบายใจพิลึก
ส่วนเวลานี้เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้บนเตียงแทบจะลุกขึ้นนั่งพร้อมกัน
“นายหญิง ลืมจินเกอร์เจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
ไฟในห้องก็สว่างขึ้น แล้วไฟทั้งเรือนก็สว่างขึ้นมาตามกัน หลังจากนั้นทั้งบ้านตระกูลโจวก็คึกคักขึ้นมา
“จะทำอะไร” นายใหญ่ฮูหยินโจวที่เพิ่งจะเอนกายลงรีบใส่เสื้อผ้า “ดึกแล้วจะออกไปอีกหรือ”
“บอกว่าทำบ่าวคนหนึ่งหายไป สาวใช้นั่นจะออกไปตามหาเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว
“บ่าวอะไร บ่าวจะหายไปได้อย่างไร” ฮูหยินโจวขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“หาข้ออ้างจะไป จะหาเรื่องล่ะสิ!” นายใหญ่โจวกล่าวน้ำเสียงเกลียดชัง “ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่เงียบสงบเพียงนี้หรอก เก็บแรงไว้ทรมานคนล่ะสิ ห้ามปล่อยพวกนางออกไป!”
เหล่าแม่นมไม่รู้จะทำเช่นไร ท่านชายโจวหกสวมเสื้อคลุมเดินมา
“ท่านพ่อท่านแม่อย่าได้ร้อนรนไป พวกนางจะไปที่ใด ข้าจะติดตามพวกนางไปด้วย” เขากล่าว
“ชายหก ตัวเจ้ายังบาดเจ็บอยู่ ฤดูหนาวออกไปข้างนอกยามค่ำคืนได้อย่างไร” ฮูหยินโจวกล่าวอย่างรีบร้อน
ท่านชายโจวหกโบกมือไม่สนใจแล้วเดินออกไป
ตรงทางเดินไม่มีเงาของหญิงสาวผู้นั้น มีแต่สาวใช้ที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“จะกล้ารบกวนท่านชายหกได้อย่างไรเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างตกใจ “ให้คนเตรียมรถส่งข้าไปถามที่จวนตระกูลเฉินก็พอเจ้าค่ะ”
มีเพียงสาวใช้หรือ ไม่มีหญิงผู้นั้นหรือ
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วแล้วมองไปยังในห้อง แสงไฟมืดสลัว
“นายหญิงหลับแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
หาบ่าวคนหนึ่งเท่านั้นจริงหรือ
หญิงผู้นี้ชอบแกล้งบ้า เชื่อนางไม่ได้!
“ไม่รีบร้อนหาคนหรือ รีบไปสิ” ท่านชายโจวหกกล่าว แล้วตนเองก็เดินตามออกไปก่อน
ถึงแม้ในตอนกลางวันจะหิมะตก เมืองหลวงในค่ำคืนฤดูหนาวนั้นก็ยังคึกคักเป็นปกติ บนท้องถนนผู้คนมากมายเอะอะครึกโครม
ท่านชายโจวหกบังคับม้าวิ่งตรงไปบ้านตระกูลเฉินด้วยตนเอง
เนื่องจากจะไปอาศัยที่เรือนหลังนั้น จินเกอร์จึงถูกส่งให้ไปยังเรือนหลังนั้นก่อนแล้ว
ความกระทันหันเช่นนี้ นายบ่าวถูกบังคับให้ไปบ้านตระกูลโจว บ้านตระกูลเฉินก็วุ่นวาย บ้านตระกูลโจวก็วุ่นวาย จึงได้ลืมจินเกอร์ไป
ไม่รู้ว่าบ้านตระกูลเฉินมีคนไปรับเขากลับมาหรือไม่ หรือไม่ก็บอกเด็กคนนี้เอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาลนลาน
บ้านตระกูลเฉินถูกคนเคาะประตูกลางดึก ก็ตกใจเช่นกัน ต่างก็ตื่นมากันหมด
“นึกว่าบ้านตระกูลโจวรับไปแล้ว พวกข้าก็ไม่ได้ไปดู”
ถามจนทั่ว จึงได้เจอคนที่รู้ความ พ่อบ้านคนนั้นตบขาแล้วกล่าวอย่างเสียอารมณ์
“ถุย พวกเจ้าเป็นคนส่งเขาไป เรือนอาศัยพวกเจ้าก็เป็นคนให้เช่า พวกข้าจะไปรับคนมาได้อย่างไร” ท่านชายโจวหกโมโหถ่มน้ำลายใส่หน้าคนผู้นั้น
“ท่านชายโจวหก หากไม่ใช่เพราะเจ้าไร้ยางอาย จะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!” หนุ่มน้อยตระกูลเฉินคนหนึ่งซึ่งโมโหอยู่ก่อนแล้ว ยื่นมือมาชี้หน้าด่าในทันที “ในเมืองหลวงนี้ โจรลักพาตัวมีมากมายนัก บ่าวคนนั้นอายุเพียงสิบสอง อีกยังมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ไม่รู้ทางไม่รู้จักคน หากหายตัวไป จะดูว่าเจ้าจะไปรายงานกับนายหญิงเฉิงอย่างไร!”
หนุ่มน้อยสี่ห้าคนข้างกายขานรับช่วยหนุนเสริม
นายหญิงเฉิงถูกบ้านตระกูลโจวจับตัวไป จนใจที่ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกันระบายความทุกข์มิได้ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ช่างน่าชังเสียจริง
ท่านชายโจวหกหัวเราะเยาะเย้ยไม่ยอมลดถอย แทบจะตีกันในเรือนเสียตรงนั้น
“ไปหาคนก่อน หาไม่เจอ ค่อยมาคิดบัญชี!” สาวใช้กระทืบเท้าพลางตะโกนขึ้น
รถม้าวิ่งเหยียบกองหิมะบนท้องถนนจนกระเด็น
เมื่อฟ้าเริ่มสาง เสียงฝีเท้าวุ่นวายก็ทำลายความเงียบสงบยามเช้าของบ้านตระกูลโจว
สาวใช้หนาวจนหน้าแดงก่ำ ตาก็แดง เปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง
เฉิงเจียวเหนียงในห้องนั้นสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยนั่งรออยู่ ในมือถือหนังสือเอาไว้ แต่ไม่ได้อ่านหรือเขียนเหมือนเมื่อก่อน
“นายหญิงเจ้าคะ…” สาวใช้อดสะอื้นไม่ได้
“พูดก่อน ค่อยร้อง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
“…ถามคนรอบๆ แล้ว มีคนเห็นจินเกอร์ยืนอยู่หน้าประตู แล้วก็เดินไปหน้าปากซอย…”
“…ถามไปตามทาง มีคนเห็นเขาเช็ดน้ำมูก แล้วถามว่าบ้านตระกูลเฉินอยู่ที่ใด แต่ว่าไม่รู้ว่าบ้านตระกูลเฉินไหนจึงไม่ได้ความ…”
สาวใช้กล่าวเสียงสั่นเครือ พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง
“สรุปว่าเขา หาบ้านตระกูลเฉินไม่เจอ ไม่รู้จักบ้านตระกูลโจว และลืมเรือนอาศัยของตน หลงทางไม่รู้ร่องรอย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้พยักหน้าพลางสะอื้น
“นายหญิง อย่าร้อนรนไปเจ้าค่ะ ไปแจ้งทางการแล้ว กำลังตามหาอยู่ ประตูเมืองก็เฝ้าไว้แล้ว น่าจะยังไม่ออกประตูเมืองเจ้าค่ะ” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไร แล้วลุกขึ้นมา
“นายหญิง จะออกไปเช่นกันหรือเจ้าคะ” สาวใช้เงยหน้าเอ่ยถาม
“ใช่ ข้าจะไปหา” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าทำเขาหาย ข้าจะหาเขาให้เจอ”
ได้ยินว่าเฉิงเจียวเหนียงจะออกไปข้างนอก นายใหญ่ฮูหยินโจวก็ร้อนรนขึ้นมาอีก
“หาข้ออ้างจะหนีละสิ…” นายใหญ่โจวกล่าว “บ่าวคนหนึ่งหายไปเท่านั้น หาเจอก็เจอ หาไม่เจอก็ช่าง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย!”
เฉิงเจียวเหนียงที่เดินมายังหน้าประตูเรือนเห็นพ่อบ้านที่ขวางทางอยู่
“พวกเจ้า ไม่ให้ข้าออกไปหรือ” นางเอ่ยถาม
พ่อบ้านถูกสีหน้าอันแข็งทื่อของนายหญิงผู้นี้มองจนเขาขนลุก
“มิใช่ มิใช่” ฮูหยินโจวและนายใหญ่โจวเร่งฝีเท้าเดินมา
ฮูหยินโจวจับมือนางเอาไว้
“เจียวเจียวร์” นางสีหน้ากังวล “ไม่ใช่ไม่ให้เจ้าออกไป อากาศหนาวเย็นนัก ให้พวกเขาหาไป เจ้าอยู่ในบ้านก็พอ”
“ไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
เด็กคนนี้ทำไมถึงพูดจาตรงเช่นนี้
“อย่าก่อเรื่องน่ะ” นายใหญ่โจวแฝงไปด้วยอำนาจของผู้ใหญ่ พลางยื่นมือมาสั่งพ่อบ้าน “ไปซื้อบ่าวมาให้นางใหม่สักสองสามคนแล้วกัน”
เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ามามองเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางมองหน้าท่านลุงตรงๆ ตั้งแต่นางเข้าเมืองหลวงมา
นายใหญ่โจวก็เห็นสายตาของเด็กคนนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน
ดวงตาคู่นี้ น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนตอนเด็กๆ โดยเฉพาะตอนบังคับไม่ให้กลอกตาขาวไม่ได้นี้…
“เจ้า ไม่ให้ข้าไปหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา แล้วเอ่ยถาม
นายใหญ่โจวชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังไปชั่วขณะโดยไร้สาเหตุ
…………………………………………..
คอมเม้นต์