การตอบโต้ของผู้แข็งแกร่ง [Strongest Counterattack] – บทที่ 7 ดูท่าว่าแกจะมั่นใจมากเลยนะ
[SC] บทที่ 7 ดูท่าว่าแกจะมั่นใจมากเลยนะ
ใครคือศัตรูของหาน เกาผิงกัน? ทำไมพวกเขาถึงได้ทำขนาดนี้
คำถามในใจของซิงเฉิงมีแต่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาต้องพยายามอย่างมากที่จะหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ชายหนุ่มจะทำไม่ได้เสียแล้ว
ในตอนนี้ซิงเฉิงนึกไปถึงความสัมพันธ์ที่ดีสมัยที่ปู่ของเขายังอยู่ ย้อนกลับไปสมัยที่ชายหนุ่มยังเป็นนักศึกษามหาลัยที่เซี่ยงไฮ้ ตอนนั้นซิงเฉิงได้รู้จักกับชายที่ชื่อ ‘โนลออล’ เขาคนนั้นควรที่จะรู้เรื่องอะไรบางอย่างบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่านะ?
อย่างไรก็ตามซิงเฉิงไม่มีเวลาให้คิดมากกว่านี้ ตอนนี้เขาต้องสลัดพวกที่กำลังตามอยู่ออกไปก่อน …
แม้ว่าซิงเฉิงจะเพิ่งขับรถคันนี้มาได้ไม่กี่วัน แต่ด้วยประสบการณ์ขับรถบนภูเขาที่ชายหนุ่มมีอย่างโฉกโชน ดังนั้นเขาจึงสามารถควบคุมรถมาเซอราตี้คันนี้ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองแบบนี้ ง่ายมากในการที่จะสลัดคนที่ตามมาให้หลุด
สะพานลอยข้างหน้า …
สะพานลอยในเซี่ยงไฮ้ระยะทางยาวมาก ถ้าเกิดตามไปผิดทางคงจะเป็นเรื่องยากที่จะวกกลับมาได้
“ไอ้คนใช้ มีอะไร?” หลังจากที่อ้วกออกไป หานปิงก็เริ่มดีขึ้น และเมื่อเธอได้สติ หญิงสางก็พบเข้ากับความเร็วในการขับรถของซิงเฉิงที่น่าหวาดหวั่นเสียจนทำให้เธอต้องถามด้วยความสั่นกลัว
ซิงเฉิงหรี่ตาก่อนอธิบาย “มีใครบางคนตามเรามา.”
หลังจากที่ได้ยิน หานปิงก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก ซิงเฉิงดูมีท่าทีที่จริงจัง มันต้องไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แน่
หลังจากขับขึ้นมาบนสะพานลอย มาเซอราตี้ก็วิ่งผ่านการจราจรอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่ารถฮอนด้าแอคคอร์ดไม่สามารถตามพวกเขาได้และหลังจากนั้นไม่นานก็หายไปจากสายตาของพวกเขา ซิงเฉิงขับต่อไปบนสะพานลอย สายตาของเขามองไปตามเสาไฟฟ้าที่เรียงรายกันเป็นแถว ก่อนจะสุ่มเลือกทางออก หลังจากวนรอบอีกครั้ง ชายหนุ่มก็มุ่งไปตามทางหลวงที่ตรงไปยังตะวันออกเฉียงใต้ของเซี่ยงไฮ้
และแล้วพวกเขาก็สลัดหลุดจนได้..
เมื่อซิงเฉิงมาถึงทะเลสาบตี๋ฉุ๋ยก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว หลังจากคืนที่เหน็ดเหนื่อย ถ้าเขาต้องมาตอบสนองความต้องการของหานปิงอีกละก็ คงจะไม่ไหว แต่ด้วยบรรยากาศรอบข้างในตอนนี้ มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
ในตอนกลางคืน เมื่อคุณมองทะเล คุณจะไม่เห็นอะไรเลย มีแค่ประภาคารที่ห่างไกล หรือไม่ก็แสงของเรือเดินสมุทรเท่านั้นที่ยังอยู่
ภูเขา แม่น้ำ ทะเล ซิงเฉิงเต็มไปด้วยความเคารพต่อธรรมชาติ สำหรับโลกแล้ว มนุษย์มีความสำคัญน้อยเกินไป
“ซิงเฉิงขอบใจมากนะ” เมื่อหานปิงยืนอยู่ริมทะเล เธอก็พูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มจ้องมองอย่างว่างเปล่าสักครู่ ข่าวใหม่แฮะ ยัยปีศาจนี้สามารถพูดคำ “ขอบคุณ” ได้ ซิงเฉิงเมื่อได้ยิน เขาก็พูดตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่มุ่ย ๆ ว่า “แค่สองคำนี่ พูดออกมาไม่ง่ายเลยแฮะ!”
“เจ้าคนรับใช้ อย่าได้ใจไปนะ!” ในวินาทีต่อมาหานปิงก็กลับสู่สภาวะปกติ
หญิงสาวถอดรองเท้าส้นสูง ก้าวเท้าไปที่ชายหาดด้วยเท้าเปล่า ก่อนจะเริ่มวิ่งไปทางทะเล เมื่อคลื่นกระทบเข้ากับฝ่าเท้า เธอก็ถอยกลับแล้วหัวเราะไปด้วย และเมื่อคลื่นถอยกลับไป หญิงสาวก็ไล่ตามพวกมันไป
ในท้ายที่สุด เท้าที่สวยงามของเธอก็ถูกกลืนไปกับเกลียวคลื่นและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเธอที่ช่วยเติมเต็มบรรยากาศรอบด้าน
ซิงเฉิงถือรองเท้าส้นสูงของเธอยืนดูอยู่ห่าง ๆ เงียบ ๆ ตอนนี้หานปิงไม่ได้เป็นสาวงามที่เต็มไปมากเสน่ห์อีกต่อไปแล้ว หากแต่ตอนนี้เธอก็เป็นแค่เพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่เติบโตคนหนึ่งเท่านั้น
“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!”
หานปิงตะโกนออกมาสุดเสียง
นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ในที่สุดหญิงสาวก็เหนื่อย หานปิงนั่งถัดจากซิงเฉิงโดยไม่กลัวว่าทรายจะทำให้เสื้อผ้าราคาแพงของเธอสกปรก
“ฉันเกิดในเมืองเทียนฉุย มณฑลกานซู แถวนั้นสภาพแวดล้อมมันเลวร้ายมากเลยล่ะ ตอนที่ฉันยังเด็ก ครอบครัวของฉันจนมาก ยากจนมากจนไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวกิน เสื้อผ้าของฉันก็ยังต้องปะเพื่อที่จะใช้งานต่อ ทุกปีใหม่คนอื่น ๆ จะได้เสื้อผ้าใหม่เสมอ แต่ฉันยังใส่เสื้อผ้าเก่าๆ อยู่เลย แล้วตอนที่ฉันไปโรงเรียน แม่ของฉันก็ต้องไหว้วานคนรู้จักให้มาช่วยสอนพิเศษฉันด้วย” จากอาการเมาและเหนื่อย หานปิงก็นั่งลงแล้วเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง
“บ้านของฉันอยู่ที่ซีอาน ไม่ไกลจากเธอเท่าไหร่หรอก” ซิงเฉิงตอบอย่างตรงไปตรงมา ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ
“พ่อฉันหนีไปตั้งแต่ฉัน 6 ขวบ เขาบอกว่าถ้าไปโลกภายนอกคงจะสามารถหนีจากความยากจนได้ เขาหายไปสิบปี แต่บางครั้งพ่อของฉันก็แวะกลับมาในช่วงปีใหม่ และบางครั้งก็ไม่ได้กลับมา ฉันจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ฉันไม่เจอเขานานถึง 3 ปีเต็ม แม่ของฉันทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อดูแลคุณปู่ของฉันและฉันด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากในตอนแรก ชีวิตคนทั้งครอบครัวขึ้นอยู่กับแม่ของฉัน จนกระทั่งพ่อของฉันเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตของครอบครัวก็ดีขึ้น และถึงแม้แม่ของฉันจะอายุแค่สามสิบปี แต่พวกคนอื่นกลับชอบคิดกันว่าเธออยู่ในวัยห้าสิบ ฮ่าฮ่า”
“เมื่อฉันอายุสิบหกปี พ่อของฉันก็พาแม่และฉันไปเซี่ยงไฮ้ หลังจากนั้นฉันก็ได้ใช้ชีวิตที่หรูหราร่ำรวย ทุกอย่างดูดี มีคนคอยรับใช้ แต่แม่และฉันไม่ค่อยได้เจอหน้าพ่อสักเท่าไหร่ บางครั้งเขาก็หายไปเป็นอาทิตย์ บางครั้งเขาก็หายไปเป็นเดือน ฉันรู้ว่าเขาไม่ว่าง แต่ไม่ว่าเขาจะยุ่งแค่ไหนเขาควรกลับบ้านจริงไหม ? ต่อมาฉันก็เจอพ่อของฉันอยู่กับผู้หญิงอื่น คืนนั้นฉันกลับร้องไห้ในอ้อมกอดของแม่ ฉันได้แต่พูดตัดพ้อวนไปวนมา แม่ของฉันก็บอกว่ามันไม่ง่ายเลย แล้วฉันจะว่าอะไรได้ล่ะ ตอนนั้นฉันรู้สึกเกลียดพ่อของฉันมาก… “
“ต่อมาธุรกิจของเขาก็ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนฉันก็เจอเขาน้อยลงไปทุกวัน ๆ หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ได้เข้าโรงเรียน ก่อนจะถูกส่งไปต่างประเทศเพื่อศึกษาต่อ ส่วนแม่ของฉันถูกทิ้งไว้ที่นั่นตัวคนเดียว ฉันรู้เพียงว่าเธอเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หลังจากฉันได้กลับรับข่าวอันน่ากลัว แต่เมื่อกลับมาหาแม่ มันก็สายเกินไปแล้ว”
“แม่ไม่ยอมบอกใครเลยว่าเธอป่วย ฉันร้องไห้ไม่หยุดเมื่อรู้ว่าแม่ตาย ฉันเข้าไปตบพ่อและด่าเขาว่า ‘คุณมีชีวิตเพื่อเงินเท่านั้นหรือ? แม่ของฉันทำบาปอะไรในชีวิตก่อนหน้านี้ ทำไมเธอถึงต้องมาแต่งงานกับคุณในชีวิตนี้ คุณรู้หรือไม่ว่าคุณเป็นหนี้เธอมากแค่ไหน? คุณเป็นหนี้เธอมากจนไม่สามารถจ่ายคืนให้เธอได้’ หลังจากนั้นฉันก็ทำสงครามเย็นกับเขาเป็นเวลาหนึ่งปี พอเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไป ฉันก็ไม่เคยกลับบ้านอีกเลย หลังจากเรียนจบ ฉันก็เริ่มต้นบริษัทของตัวเอง แต่ความสัมพันธ์ของฉันกับเขามันก็ไม่สามารถกลับเหมือนก่อนได้อีก เขานำผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน ตอนนั้นฉันเองก็ไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว แต่หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อของฉันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง”
หานปิงพูดกับตัวเองขณะนั่งกอดเข่า ซิงเฉิงนั่งฟังเธออย่างเงียบ ๆ เมื่อหญิงสาวพูดว่าเธอเหนื่อย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกสาวมันยากที่จะแก้ไขเสียแล้ว
มนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เพื่อเงินเท่านั้น พวกเขาควรรักษาสิ่งที่พวกเขาควรถนอมไว้ มิฉะนั้นเมื่อมีหลายสิ่งที่พลาดไปสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่ความเสียใจเท่านั้น
คำว่า ‘เสียใจกับชีวิต’ คนเราจะสามารถเข้าใจมันได้ก็ต่อเมื่อมีใครทำผิดพลาดขึ้นมาแล้วเท่านั้น
“ฉันพูดมามากแล้ว ตานายแล้วเจ้าคนรับใช้” หานปิงน้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเธอก็แดงก่ำ
“ฉันมีชื่อนะ” ซิงเฉิงกลอกลูกตา
หานปิงเม้มริมฝีปากของเธอ ก่อนจะหัวเราะ “งั้นก็ได้ ตั้งแต่ที่นายยอมมากับฉันวันนี้ ฉันจะไม่เรียกนายว่าเจ้าคนใช้อีกแล้วล่ะ ซิงเฉิงแล้วเรื่องของนายล่ะ?”
“ฉัน… ฉันอยู่กับปู่ ฉันไม่เคยรู้จักพ่อกับแม่เลย” ซิงเฉิงพูดอย่างง่าย ๆ
หานปิงรู้สึกแปลกใจ “นายกำพร้างั้นเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละ” ซิงเฉิงไม่เคยเต็มใจพูดคุยเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้หญิงคนนี้จะดีขึ้นแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะเล่ามันออกไปอยู่ดี
ซิงเฉิงกลัวที่หานปิงจะถามต่อ ดังนั้นชายหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นยืดตัว ก่อนจะบอกไปว่า “นี่ก็จะเช้าแล้ว กลับกันเถอะ”
“ฉันอยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้น” หานปิงไม่ได้วางแผนที่จะไป เพราะนี่คือสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมพระอาทิตย์ขึ้น
เมื่อเรื่องเป็นแบบนั้น ซิงเฉิงก็ได้แต่ภาวนาไม่ให้หานปิงถามอะไรต่อ แล้วอยู่ ๆ เขาก็ตระหนักได้ถึงอันตรายบางอย่าง
“พระจันทร์ ท้องทะเล ผู้ชายที่ดูดีกับผู้หญิงที่งดงาม โรแมนติกดีเนอะ” ชายคนหนึ่งพูดอย่างสนุกสนานและเดินช้า ๆ ไปหาซิงเฉิงกับหานปิง
ชายลึกลับผู้นี้กำลังเล่นกับมีดในมือของเขา แสงจันทร์ถูกสะท้อนลงบนใบมีด หานปิงกอดซิงเฉิงแน่นโดยไม่รู้ตัว ถ้าซิงเฉิงทิ้งเธอในเวลานี้ คงไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะรู้ว่าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้างในที่กันดารแบบนี้
ซิงเฉิงรู้สึกลังเล เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนของเขา มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับชายหนุุ่มที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลาที่จะทำตัวทะลึ่ง อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องแก้ปัญหาตรงหน้านี้เสียก่อน
“แกใช่คนที่ตามพวกเรามาใช่ไหม?” ซิงเฉิงปล่อยตัวหานปิง ยืนขึ้นและเดินไปข้างหน้าสองก้าว ทิ้งระยะห่างไว้ข้างหลังเพื่อไม่ให้หานปิงถูกคุกคาม
แสงจันทร์เผยให้เห็นแผลเป็นที่แก้มซ้ายของชายลึกลับ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกแกแน่มากที่สามารถหลบหนีฉันคนนี้มาได้ ถ้าฉันไม่ได้ดูทะเบียนของแกมาก่อน ก็คงจะตามมาไม่ถูกหรอก …”
“ฉันหรือเธอ?” ซิงเฉิงไม่มั่นใจ ท้ายที่สุดเขาเองก็มีศัตรูมากมาย ไม่เช่นนั้นคงก็ไม่มีคนไล่ล่าเขาไปทั่วประเทศจีนหรอก แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องการจะฆ่าเขา เพราะบางคนก็อยากทำให้เขาเป็นสามีของลูกสาว ซึ่งเรื่องนั่นก็ทำให้เขารู้สึกว่าโลกใบนี้นี่ช่างเต็มไปด้วยคนแปลก ๆ ประหลาดมากมายเสียจริง ๆ
ชายหน้าบากชี้ไปทางหานปิงแล้วพูด “ทำไมจะต้องเป็นแกล่ะ ? ฉันมีธุระกับแม่สาวคนนั้น ฉันถูกใจเธอมานานแล้ว”
“ศัตรูของท่านหาน?” ซิงเฉิงถามต่อไป
ชายคนนั้นยังคงเล่นมีดของตัวเองต่อไป ระยะห่างตอนนี้เหลือเพียง 30 เซนติเมตร
“หาน เกาผิงกล้าที่จะเรียกตัวเองว่าท่านหานงั้นเหรอ เขาหลงตัวเองมากเกินไปแล้ว พูดตามตรง ฉันไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระกับแก ฉันได้ยินมาว่าแกได้รับบาดเจ็บจากลิ่วล้อสองคนของฉันเมื่อวานนี้ ถ้าแกอยากมีชีวิตอยู่ก็ขอโทษฉันซะ ฉันจะแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ายังไม่ดูตาม้าตาเรือ วันนี้จะเป็นวันตายของแก” ชายหน้าแผลเป็นพูดด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
ซิงเฉิงหันไปมองหานปิงอย่างละเอียดอ่อน ก่อนพูดว่า “เธอเป็นแฟนฉันเองแหละ บอกให้ส่งแฟนของฉันให้นายอย่างนั้นเหรอ ทำไมไม่ขอให้ฉันจัดแกซะเลยล่ะ ?”
“น่าสนใจ ๆ จำชื่อฉันไว้ให้ดีนะ ฉันชื่อ หยางเติง จำไว้ว่าใครเป็นคนที่ฆ่าแก” ชายหน้าแผลเป็นพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจบประโยค เขาก็ขว้างมีดเข้ามาหาซิงเฉิง แต่มันพุ่งเข้ามาได้แค่เพียงครึ่งทางก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
ซิงเฉิงที่ปราศจากอาวุธ เรื่องนี้ทำให้เขาเสียเปรียบอย่างมาก เพราะชายหนุ่มสามารถบอกได้จากพฤติกรรมและการกระทำของชายคนนี้ว่าคนคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ดูเหมือนว่าคืนนี้เขาอาจจะต้องเจ็บตัวซะแล้ว
ซิงเฉิงกลัวว่าหานปิงจะเป็นอันตราย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรั้งตัวเองและเดินหน้าต่อไปเพื่อรับการโจมตี เมื่อพวกเขาทั้งสองปะทะกัน หยางเติงก็เข้ามาโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยมีด เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ซิงเฉิงทำได้แค่หลบหลีกการโจมตีไปเรื่อย ๆ เท่านั้นในตอนนี้
หยางเติง ชายคนนี้มีฟุตเวิร์คที่มั่นคงมาก ทุกการก้าวเดินไม่มีการเสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งถ้าซิงเฉิงต้องการจะแย่งมีดด้วยมือเปล่าละก็ เขาคงจะไม่มีโอกาสนั้นมากนัก…
จังหวะนั่นเองหยางเติงก็ทำท่าจะเอามีดแทงเข้าไปที่ใต้รักแร้ของซิงเฉิง เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มก็พยามเบี่ยงหลบ แต่ก่อนที่ซิงเฉิงจะได้ทันระวังตัว มีดก็ได้ทะลวงผ่านแขนของซิงเฉิงเข้าไปเสียแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่โชคยังดีที่เขาพอหลบได้บ้าง ไม่เช่นนั้นหน้าอกของซิงเฉิงคงจะมีรูไปแล้ว
“ฝีมือไม่เลว!” ซิงเฉิงพูดอย่างจริงใจ
ในความเป็นจริง หยางเติงเองก็ตกใจมากเช่นกัน หลังจากการเคลื่อนไหวมากมาย เขาสามารถบอกได้เลยว่าพลังของชายผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอ ความได้เปรียบของเขาคือมีดสั้นในมือเท่านั้น ถ้าหยางเติงสู้กับผู้ชายคนนี้แบบมือเปล่า เรื่องมันคงไม่ง่ายแบบนี้แน่
“แกก็ด้วย ฉันไม่ได้เจอคนที่หนังเหนียวแบบนี้มานานแล้ว ดูท่าว่าวันนี้ฉันจะดวงดีแหะ” หยางเติงกุมมีดสั้นในมือแล้วหันไปเผชิญหน้ากับซิงเฉิง ปลายมีดของเขาชี้ลงด้านล่าง
ซิงเฉิงค่อย ๆ ถอดแจ็คเก็ตสูทของเขาออก ก่อนจะบิดมันเป็นเชือก ชายหนุ่มพูดอย่างขม ๆ ว่า “นานแล้วเหมือนกันที่ฉันไม่ได้บาดเจ็บแบบนี้ ดูท่าว่าจะเป็นการเสียมารยาทวสินะถ้าฉันไม่ยอมที่จะเอาจริง?”
“ดูท่าว่าแกจะมั่นใจมากเลยนะ” หยางเติงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้คาดหวังว่าผู้ชายคนนี้จะอยู่เหนือกว่าตัวเขาจริง ๆ
ซิงเฉิงเป็นเหมือนหมาป่าผู้หิวโหยที่กำลังจ้องมองเหยื่อของมัน ชายหนุ่มกัดฟันและพูดออกมาว่า “โทษทีที่หยาบคาย!”
ทันทีที่เขาพูดจบพวกเขาทั้งสองก็พุ่งเข้าหากัน ….
คอมเม้นต์