การตอบโต้ของผู้แข็งแกร่ง [Strongest Counterattack] – บทที่ 11 พบกันอีกครั้ง
บทที่ 11 พบกันอีกครั้ง
ชีวิตในวิทยาลัยของซิงเฉิงนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ นอกเหนือจากการเข้าเรียนตามหลักสูตรและการทำงานนอกเวลาแล้ว ชายหนุ่มก็ใช้เวลาของเขาทั้งหมดในห้องสมุดและวิชาเลือก
เพื่อนที่ดีที่สุดของชายหนุ่มในวิทยาลัยคือเพื่อนร่วมห้องสามคนในหอพัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้จักผู้คน หรือใช้ชีวิตที่หวือหวามากมายในมหาลัย แต่ชีวิตในวิทยาลัยของเขาก็คุ้มค่าเพราะเขาได้รู้จักเพื่อนเหล่านี้
“ไปที่อื่นกันเถอะ สถานที่นี้ไม่เหมาะ!” พอเหลาเอ้อและเหลาซื่อมาถึง ซิงเฉิงก็รู้ได้ทันทีว่าคืนนี้พวกเขาได้เมากันเละเทะแน่ ๆ เพราะงั้นสถาที่นี้คงจะไม่เหมาะซักเท่าไหร่
เซียติงเหมือนรู้ในสิ่งที่ซิงเฉิงต้องการสื่อ ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาง่าย ๆ “กินข้าวก่อน ๆ ยังไงก็ต้องรอไอ้พวกนั้นตั้งสองสามชั่วโมง เดี๋ยวค่อยไปร้านประจำของเราก็ได้”
เซียติงและแฟนของเขาเพิ่งมาถึงและยังไม่ได้สั่งอะไรเลย หลังจากที่นั่งด้วยกัน พวกเขาก็พึ่งที่จะสั่งอาหารนี่แหละ หานปิงรู้ดีว่าซิงเฉิงไม่เคยมาที่นี่อย่างแน่นอน ดังนั้นหญิงสาวจึงสั่งอาหารไปสองสามจานให้ซิงเฉิง เหมือนเห็นท่าทีเหมือนคู่รักของพวกเขาทั้งสองคน เซียติงก็ยิ้มออกมา
เพราะมีหญิงสาวสวยอยู่ข้าง ๆ เซียติงกับซิงเฉิงจึงไม่ได้ถามอะไรมากจนเกินไป หัวข้อส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล็กน้อยของชีวิตในวิทยาลัยของพวกเขา และแน่นอนว่าเซียติงย่อมไม่พลาดที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องราวของซิงเฉิงและหานปิง อย่างไรก็ตามซิงเฉิงก็ให้หานปิงแต่งเรื่องแล้วคอยตามน้ำเขาไปเรื่อย ๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเซียติงถามหานปิง เธอเองก็ดูเหมือนจะสนใจในประเด็นเหล่านี้มากเช่นกัน ทว่าซิงเฉิงก็ยังคงเลี่ยง ๆ ที่จะตอบ
หลังออกจากหวงเจียนจี เซียติงก็ให้แฟนสาวของเขาเรียกแท็กซี่กลับบ้านไปก่อน อย่างที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ เขาจะไม่มีวันทานอาหารในสถานที่แบบนี้กับผู้หญิงที่เขารักอย่างแท้จริง ถ้าเซียติงรักใครจริง ๆ ละก็ เขาจะทำอาหารให้เธอที่บ้านแทน
หลังจากแฟนสาวของเซียติงไปแล้ว เขาก็มองไปทางด้านหานปิงแล้วถามออกมา “พี่สะใภ้ จะมาด้วยกันไหมครับ?”
“ไม่ล่ะ วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว ปล่อยพวกนาย 4 คนไปดีกว่า จะได้ไม่รบกวนพวกนายด้วย” หานปิงรู้สึกเหนื่อยมากหลังจากที่ต้องแสดงเป็นคู่รัก ดังนั้นโดยธรรมชาติหญิงสาวจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมอีก ถ้าเธอมีโอกาสหลบหนี เธอก็เลือกที่จะหนี
อันที่จริง นี่ก็เป็นสิ่งที่ซิงเฉิงต้องการอยู่แล้ว ส่วนทางด้านเซียติงเอง เขาก็คิดว่าการมีผู้หญิงอยู่ด้วย มันอาจทำให้พวกเขา 4 คนสนุกได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นการที่หางปิงปฏิเสธจึงถือได้ว่าเขาทางพวกเขาเลยทีเดียว
เพราะว่าซิงเฉิงและหานปิงต่างกินเหล้ากันมาทั้งคู่ นั่นจึงทำให้ไม่มีใครขับรถได้สักคน โชคดีที่เซียติงมีคนขับรถที่รออยู่ข้างถนนแล้ว ดังนั้นซิงเฉิงจึงทิ้งรถมาเซราตีให้พวกเขาพาหานปิงไปส่งที่เคหะฮัวหลุน 9 ไมล์
ที่นี่อยู่ใกล้กับเคหะฮัวหลุน 9 ไมล์ ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นัก เซียติงรออยู่ในรถ ส่วนซิงเฉิงก็ไปส่งหานปิงถึงหน้าประตูพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีระแวดระวัง
ซิงเฉิงยังคงไม่ลืมภารกิจของเขาในการปกป้องหานปิง หลังจากเกิดเรื่องขึ้นสองคืนติด ๆ แถมเมื่อคืนที่ผ่านมายังเป็นนักฆ่าฝีมือดีอีกด้วย ดังนั้นไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้บ้าง
ระหว่างทาง หานปิงกอดกระเป๋าไว้โดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หญิงสาวอายกับเรื่องก่อนหน้านี้และไม่ต้องการถูกซิงเฉิงเยาะเย้ย ทางด้านซิงเฉิงเอง เขาก็ไม่ได้อยากที่จะทำอย่างนั้น ดังนั้นมันจึงทำให้สถานการณ์ตอนนี้อึดอัดเล็กน้อย
“อย่าหักโหมมากล่ะ นายยังบาดเจ็บอยู่นะ” หานปิงเตือนเบา ๆ ด้วยโทนเสียงอ่อนที่หาได้ยาก ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา นั่นก็ทำให้ทัศนคติของเธอที่มีต่อผู้ชายคนนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
“สมแล้วที่เป็นแฟนฉัน!” ซิงเฉิงย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
หลังจากได้ยิน ใบหน้าของหานปิงก็พลันแดงระเรื่อ เธอเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาซิงเฉิง ก่อนที่หญิงสาวจะรีบเดินเข้าบ้านแล้วปิดประตูอย่างแรง เธอนั่งพิงอยู่ที่ด้านในประตูด้วยหัวใจที่เต้นแรง
ด้านนอกประตูซิงเฉิงหัวเราะอย่างโจ่งแจ้ง
ข้างในประตูหานปิงขบฟันเธอเอาไว้แน่น
หลังจากที่ซิงเฉิงเดินกลับออกมา เซียติงก็ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ข้างถนน เขาโยนบุหรี่มาทางซิงเฉิงแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “ลูกพี่นี่เนื้อหอมไม่เบาเลยนะ ไปเจอกันได้ที่ไหนล่ะครับ? เธอต้องเป็นคนรวยแน่เลยถ้าเธออยู่ที่นี่”
“พอเหอะน่า ไอ้เด็กเวรนี้ มองไม่ออกจริง ๆ รึไง”เซียติงคิดอยู่นาน เขาน่าจะรู้ได้แล้วว่าหานปิงไม่ได้เป็นแฟนกับซิงเฉิง แค่ไม่ได้บอกในตอนที่พวกเขากำลังกินกันเท่านั้น
เมื่อได้ยินเซียติงก็ไม่ยึกยักอีกต่อไป แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “บอกหน่อยสิว่าพวกนายมีความสัมพันธ์กันแบบไหน ? ถ้านายไม่สนงั้นฉันจีบได้ใช่ไหม”
“เห้ย ๆ ยังมีผู้หญิงเยอะไม่พอรึไง?” ซิงเฉิงหัวเราะออกมา
ทันใดนั้นเซียติงคิดถึงอะไรที่พิลึกพิลั่นได้ “ลูกพี่ อย่าบอกนะว่านายเป็นหมาเนยอะไรแบบนั้น?”
“ไอบ้านี่!” ซิงเฉิงตวาดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
หลังจากชายหนุ่มสูบบุหรี่เสร็จ เซียติงก็เข้ามากอดซิงเฉิงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาตบหลังของซิงเฉิงอย่างแรงแล้วพูด “ลูกพี่ ฉันดีใจนะที่ได้เจอนาย”
“อย่าห่วงน่า รอบนี้จะไม่หายไปเงียบ ๆ แล้วล่ะ” ซิงเฉิงพูด
เมื่อคนขับรถส่งเซียติงกับซิงเฉิงมาที่ ๆ พวกเขาเรียกว่าที่ประจำ มันก็เป็นเวลา 3 ทุ่มแล้ว จุดหมายของพวกเขาในครั้งนี้คือภัตตาคารเสฉวนธรรมดา ๆ ที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยฟู่ต๋านมากนัก ถ้าพวกเขานัดกับส่วนมากก็จะเจอกันที่ร้านนี้ แม้กระทั่งตอนงานเลี้ยงสำเร็จการศึกษาเอง พวกเขาก็ยังคงมานัดกันที่ร้านนี้เหมือนเดิม
ซิงเฉิงและเซียติงต่างคุ้นเคยกับเจ้าของร้านมาก แค่ว่าซิงเฉิงไม่มีโอกาสได้กลับมาเลย ส่วนเซียติงนาน ๆ ที่ถึงจะกลับมากินสักครั้งนึง
“ดูท่ากิจการจะไม่เลวเลยนะครับ คุณเจ้าของร้าน?” เซียติงตะโกนหลังจากเข้าประตู เนื่องจากอาหารราคาถูกและรสชาติดี ดังนั้นจึงทำให้ธุรกิจค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ร้านอาหารส่วนใหญ่เต็มไปด้วยนักศึกษาจากรอบมหาวิทยาลัย เจ้าของร้านตัวไม่สูงมากนัก ร่างท้วมผิวขาว หัวโล้น ตอนนี้เขากำลังตะโกนเรียกลูกค้าอยู่ แล้วเมื่อเจ้าของร้านเห็นเซียติง เขาก็หน้ายิ้มแป้นในทันที “อ้าวเซียติงไม่เจอกันตั้งเป็นเดือนเลยนะ”
“ปกติก็ยุ่ง ๆ น่ะครับ แต่ถ้ามีโอกาสก็กลับมาตลอดแหละ” เพราะว่าเขาเป็นลูกค้าเก่า เพราะฉะนั้นเจ้าของร้านย่อมต้องจำได้ เซียติงจึงชี้ต่อมาทางซิงเฉิงแล้วถาม “งั้นจำไอ้หมอนี่ได้ไหม?”
ไม่ว่าเจ้าของร้านจะเจอคนมาเยอะขนาดไหน แต่ว่าเขาไม่มีทางที่จะลืมซิงเฉิงได้ เขาพูดออกมาในทันที “แน่นอนอยู่แล้วโว้ย ฉันจะไปลืมซิงเฉิงได้ยังไง มันเคยเกือบพังร้านฉันมาก่อนเลยนะเห้ย!”
ท่ามกลางมิตรสหายสี่คนในหอพัก ซิงเฉิงจะเป็นแก่นหลักของกลุ่มและไม่ค่อยสร้างปัญหา เหลาเอ้อสุขุมแต่ว่าควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เหลาซานเป็นพวกกะล่อน ส่วนเหลาซื่อหัวอ่อนนิดหน่อย บางครั้งพวกเขาก็กระทบกระทั่งกับพวกนักศึกษาจากสาขาการเงิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ!” ซิงเฉิงทักทายด้วยความคุ้นเคย
เซียติงหาที่นั่งแล้วก็พูด “อย่าเพิ่งพูดไร้สาระน่า ขอเหมือนเดิมแล้วกัน ขอเบียร์เย็น 2 โหลก่อนแล้วก็อีก 1 โหลตอนที่เหลาเอ้อกับเหลาซื่อมาถึง”
“ได้เลย!” เจ้าของร้านรับคำเสียงดัง เขามีลูกค้าจำนวนหนึ่งที่กลับมากินแบบนี้ คนพวกนี้กำลังมองหาความทรงจำเก่า ๆ ในขณะที่บางคนก็มาเพราะกำลังมองหารสชาติที่เขาพวกเขาคุ้นเคย
เบียร์เย็น ๆ สองโหลและอาหารห้าจาน ซิงเฉิงและเซียติงก็คุยกันไปเรื่อย ๆ ในระหว่างที่รออีกสองคนที่เหลือ ซึ่งก่อนหน้านี้เซียติงก็ได้ส่งที่อยู่ให้กับเหลาเอ้อและเหลาซื่อไปแล้ว
ระหว่างนั้นเหลาซื่อก็มาถึงก่อน เมื่อรถเฟอรารี่สีดำจอดลงที่ด้านหน้าของภัตตาคาร เหลาซื่อที่อยู่ในชุดสูทแล้วรองเท้าหนังก็พุ่งเขาร้านมาอย่างรวดเร็ว และตะโกนด้วยความตื่นเต้น “เจ้าของ! เจ้าของร้านครับ!”
ร้านนั้นไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ซิงเฉิงและเซียติงนั่งอยู่ที่ทางเข้า พวกเขาทั้งสองยืนขึ้นมองหน้ากัน เหลาซื่อจ้องมาทางซิงเฉิงด้วยดวงตาสีแดง ขณะที่อีกคนเดินช้า ๆ และพูดพร้อมกับยิ้ม “เหลาซื่อ”
หลังจากที่พูด ซิงเฉิงก็เข้าสวมกอดเหลาซื่อแน่น แต่เมื่อเหลาซื่อเห็นพวกเขา ความตื่นเต้นก็หายไปในทันทีราวกับว่าเขามีเรื่องอยากที่จะว่าซิงเฉิงมากมาย และไม่เต็มใจที่จะยอมรับเขา ชายผู้นี้ยังคงเป็นเหมือนเด็กดื้ออยู่เสมอ
เซียติงรู้ดีกว่าเหลาซื่อเป็นคนขี้โมโห เมื่อก่อนเวลาที่เหลาซื่อดื่มเหล้า พวกเขาก็มักจะด่าซิงเฉิงนิดหน่อยอยู่เป็นประจำ ในทั้งหมดสี่คนนี้ เหลาซื่อเป็นคนขี้ขลาดที่สุด ทุกครั้งที่เขาถูกรังแก คนแรกที่มักจะออกมาปกป้องเขาก็คือซิงเฉิง และทุกครั้งที่เขามีปัญหา เขาก็ได้ซิงเฉิงนี่แหละที่เป็นคนช่วย
เหลาซื่อสนิทกับซิงเฉิงมาก เขามักจะปฎิบัติกับซิงเฉิงเหมือนกับเป็นพี่ชาย เมื่อเขาเรียนจบเขาก็พูดกับซิงเฉิงไว้ว่า “ลูกพี่ ตอนที่ผมกลับไปที่บ้านเกิด ผมจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน ผมซื้อรถหรู ๆ กับคฤหาสน์ใหญ่ ๆ แล้วไว้เรามาคุยเรื่องดาราหนังกันอีกนะ”
“ไม่ได้เจอกันตั้ง 2 ปีนายนี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ?” ซิงเฉิงปล่อยเขาพร้อมกับรอยยิ้ม
เซียติงเดินเข้ามาทันทีพร้อมกับพูดกับอีกฝ่าย “เหลาซื่อ ฉันรู้ว่านายอาจจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ แต่วันนี้เราจะเมากันไปข้างนึง ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากันก็แล้วกัน”
ซิงเฉิงและเซียติงก็ดึงตัวเหลาซื่อไว้จนเขายอมที่จะนั่งลง
เหลาซื่อมีชื่อจริง ๆ ว่าหยูเค่อเฟิย ชื่อเล่นคือชวอนเย่ ชายผู้นี้ดูดีทีเดียว เสียแต่ผอมไปหน่อย สิ่งที่บ้าที่สุดที่เขาเคยทำคือไปที่ปักกิ่งเพื่อหาหญิงที่เขาแอบหลงรักมาสี่ปี ซึ่งครั้งนั้นที่เขากล้าทำก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากซิงเฉิง
เมื่อได้คำแนะนำและกำลังใจจากพี่น้อง ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจไปปักกิ่ง
คืนนั้นหนาวมาก แถมยังมีหิมะตกอีกด้วย หลังจากร่วมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ของเหลาเอ้อในปักกิ่ง พวกเขาก็ได้สร้างฉากแสนโรแมนติกใต้หอพักสำหรับหญิงสาวในฝันของเขา ทั้ง 4 คนได้ว่าจ้างวงดนตรี ส่วนเหลาซื่อก็ร้องเพลงและเล่นกีตาร์ด้วยตัวเอง ทั้งเขาและผู้หญิงคนนั้นชอบเพลงพื้นบ้าน โดยเฉพาะของเฉาเล่ย ดังนั้นเหลาซื่อจึงร้องเพลง เกิร์ลฟรอมเซ้าท์ (Girl From South) ของเฉาเล่ยนี่เป็นเพลงโปรดของเขา
ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยนานาชาติปักกิ่งตกอยู่ในความโกลาหล หอพักหญิงนั้นสว่างไสว และล้อมรอบไปด้วยฝูงชน โชคดีที่เหลาซื่อสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่วิทยาลัยเอาไว้แล้ว มิฉะนั้นเขาจะต้องโดนเตะโด่งออกไปก่อนที่จะสารภาพกับผู้หญิงคนนี้เป็นแน่
ในท้ายที่สุดเหลาซื่อก็ได้สารภาพรักกับสาวในฝันของเขา แต่ผลลัพธ์คือ เหลาซื่อถูกปฏิเสธ
ส่วนเรื่องเหตุผลก็ไร้สาระแบบสุด ๆ เธอบอกว่าเหลาซื่อนั้นดีเกินไป
เหลาซื่อถึงจะดื้อแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับประวัติครอบครัวของเขา เพราะฉะนั้นหญิงสาวจึงไม่มีทางรู้ได้เลย แม้แต่พี่น้องอีกสามคนในหอพักก็ไม่รู้ว่าเขาแกล้งทำเป็นเด็กยากจน จนกระทั่งพวกเขากำลังจะสำเร็จการศึกษาและเดินทางไปที่นานจิง ที่นั่น พวกเขาได้รู้ว่าครอบครัวของเหลาซื่อนั้นรวยกว่าเหลาซานซะอีก
เมื่อเจอเข้ากับคำปฏิเสธ เหลาซื่อก็วางดอกไม้ลงบนพื้น หันไปเผชิญหน้ากับหญิงสาว ก่อนจะหัวเราะกับตัวเองขณะที่เขาพูดว่า “ลาก่อน หวังว่าชาตินี้จะไม่เจอกันอีก!”
ว่าแล้วเขาก็เดินออกมา โดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย
คืนนั้นที่แผงขายบาร์บีคิวในเมืองปักกิ่ง พวกเขาทั้งสี่คนดื่มกัน เหลาซื่อร้องไห้เสียงดังจากการอกหัก “ถุยชีวิต!!”
เขาชอบผู้หญิงใสซื่อที่เขาเคยพบในโรงเรียนมัธยมคนนั้น ไม่ใช่คนที่เปลี่ยนไปจนกลายเป็นแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เสียใจอีกต่อไป
หยูเค่อเฟิยนั่งลงแล้วไม่พูดอะไรสักคำ เขาแค่จ้องมาที่ซิงเฉิง เซียติงที่เห็นแบบนั้น เขาจึงพยายามสร้างบรรยากาศและพูดว่า“เหลาซื่อไม่ดื่มสักหน่อยเหรอ?”
หยูเค่อเฟิยหยิบขวดเบียร์ไปกระดกหมดทั้งขวดในคราวเดียว
ซิงเฉิงไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเองก็หยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มกับหยูเค่อเฟิย เซียติงไม่มีทางเลือกนอกจากตามน้ำไปเรื่อย ๆ
หลังจากซัดไปหนึ่งขวด หยูเค่อเฟิยดูยังจะไม่พอใจเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงกระดกลงไปอีกขวด ซิงเฉิงเองก็ตามเพื่อนของเขาไปติด ๆ แม้ว่าเซียติงจะแอบด่าอยู่ในใจ แต่ว่าเขาก็ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มต่อ
เมื่อขวดที่ 2 หมดลง หยูเค่อเฟิยก็ไปต่อขวดที่ 3 แต่เซียติงยังคงกินขวดที่ 2 นี่ไม่หมดเลย เขาตะลึงและหยุดหยูเค่อเฟิยทันที “เหลาซื่อ ลูกพี่ พวกนายชนะไปก็ได้ ขอล่ะ ฉันไปต่อไม่ไหวแล้ว ไม่งั้นฉันคงไปจบที่โรง’บาลแน่ ช้าลงหน่อย ถึงนายจะมีปัญหากับลูกพี่ แต่ก็อย่าให้ฉันลำบากเลยนะ”
ซิงเฉิงก็พูดออกมา “เหลาซื่อ ที่ฉันหายไปเฉย ๆ 2 ปี ฉันเป็นคนผิดเอง ถ้าไม่พอใจก็มาลงที่ฉัน ถ้าอยากเมาล่ะก็ เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนเอง ยังไงฉันก็อยู่เซี่ยงไฮ้ไปสักพักอยู่แล้ว ถ้ายังไม่หนำใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปต่อได้”
“คืนนี้ฉันขอเมา แล้วเดี๋ยวจะมาฟังคำอธิบายทีหลัง” ในที่สุดหยูเค่อเฟิยก็ยอมพูด คำพูดช่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
“แน่นอน ฉันอยู่เป็นเพื่อนเอง” ซิงเฉิงไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ
ดังนั้นฉากที่ตามมาจึงน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เริ่มจากที่เซียติงพูดคุยกับซิงเฉิง ส่วนหยูเค่อเฟิยที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอาแต่ชวนซิงเฉิงดื่ม ทันทีที่เบียร์เข้าปากเขาก็พูดมากขึ้นมาทันที
การดื่มเบียร์ทำให้คนเมาช้า แต่มันทำให้ปวดฉี่เร็วขึ้น
หลังจากพวกเขาสามคนวิ่งเข้าห้องน้ำสี่หรือห้าครั้ง เหลาเอ้อก็มาถึงจนได้
เหลาเอ้อไม่ปล่อยให้คนขับรถของเขาโทรเรียกเซียติง หากแต่เลือกที่จะมาหาให้เร็วที่สุด เมื่อเข้ามาถึง ทั้งสามคนก็อยู่สภาพที่ดูไม่จืดเลยทีเดียว เหลาเอ้อถือได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในหอพัก ซึ่งนั่นก็ต่างจากเหลาซื่อที่เป็นพี่น้องของเขาราวฟ้ากับเหว
เขาเดินเข้ามาหาซิงเฉิงแล้วนั่งลง ตบบ่าอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ “กลับมาได้ซะที”
ซิงเฉิงหันกลับมาและมองเหลาเอ้อ ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วก็ยิ้มออกมา “อ่า!”
“แล้วจะไปไหนอีกไหม?”
“ไม่!”
เหลาเอ้อนั่งลงแล้วหยิบขวดเบียร์ขึ้นมา “ดื่ม”
เมื่อเห็นแบบนั้น ซิงเฉิง เซียติงและหยูเค่อเฟิยก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ในที่สุดทั้งสี่ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งนึง …
คอมเม้นต์