Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 124 นักเวทลูเซียน
รูปแบบเวทที่ลูเซียนต้องสร้างเรียกว่า ‘เกราะแสงดารา’ ลูเซียนฝึกการสร้างรูปแบบดังกล่าวมาแล้วหลายครั้งในอดีต เขาจึงจำวิธีการแบ่งเส้นรูปแบบเวท ความยาวของเส้นพลังโครงสร้าง และการเชื่อมโยงโครงสร้างเข้ากันได้อย่างชัดเจน ทั้งหมดที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือสงบสติอารมณ์
เมื่อเขาตั้งสมาธิอยู่กับรูปแบบเวท ลูเซียนสังเกตว่าพลังวิญญาณหมดไปอย่างรวดเร็ว ขณะเขาสร้างรูปแบบเสร็จไปแล้วหนึ่งในสาม เขารู้ตัวว่ามีพลังวิญญาณเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
‘ข้าต้องใช้พลังวิญญาณให้คุ้มค่าที่สุด’ ลูเซียนพูดกับตัวเองในห้วงความคิด การสร้างรูปแบบเวทก็เหมือนกับการร่างแบบในกระดาษด้วยปากกา เพียงแต่ใช้น้ำหมึกที่มีปริมาณจำกัดมาก ในการประหยัดพลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัด ผู้ที่วาดแบบร่างต้องใจเย็นมากพอ เพื่อไม่ให้มือที่ถือปากกาสั่นมากเกินไป
ด้วยความรู้เรื่อง ‘เกราะแสงดารา’ อย่างละเอียดลึกซึ้งของลูเซียน เขาแบ่งจิตบางส่วนและรับพลังจาก ‘ธาตุ’ ทั้งสี่ที่อยู่รอบตัวได้ เพื่อให้พลังวิญญาณค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาได้
สำหรับนักเวทฝึกหัดส่วนใหญ่ เนื่องจากพวกเขาไม่มีความรู้เรื่องรูปแบบเวทลึกซึ้งมากพอ จึงหันไปอาศัยยาวิเศษที่เรียกว่า ‘น้ำยาประตูเวทมนตร์’ เป็นตัวเสริมพลังระยะสั้นในการยกระดับพลังวิญญาณ เพื่อหวังว่าจะเข้าถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้
เมื่อเวลาผ่านไป และลูเซียนเริ่มรู้สึกอ่อนแอหมดเรี่ยวแรง พลังวิญญาณของเขาจวนเจียนจะหมดเต็มที โชคดีที่รูปแบบเวท ‘เกราะแสงดารา’ ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เช่นกัน ขณะนั้นเอง ภาพพีระมิดโปร่งแสงขนาดเล็กปรากฏลอยขึ้นกลางอากาศ ประกอบขึ้นด้วยเส้นพลังที่ตัดกันสลับซับซ้อนอยู่ภายใน
ขอลากเส้นพลังอีกเพียงเส้นเดียวเท่านั้น
แม้ตัวลูเซียนสั่นเทิ้มไปทั้งตัวจากความอ่อนแรง ก็ไม่เหลือโอกาสให้มาคิดยอมแพ้เอาในวินาทีสุดท้าย กัดฟันกรอด ลูเซียนรวมรวบพลังวิญญาณสำรองหยดสุดท้ายที่มีอยู่ ราวกับกำลังบีบเค้นยาสีฟันจากหลอด และลากเส้นพลังเส้นสุดท้าย
ช่วงจังหวะที่เส้นพลังสุดท้ายเชื่อมต่อประกอบกันเป็น ‘พีระมิด’ ขนาดเล็ก ทั้งรูปแบบเวทก็พังถล่มเข้าไปด้านในตัวพีระมิด ขณะเดียวกันรูปแบบเวทก็เริ่มดูดพลังดวงดาวอย่างบ้าคลั่ง
วิญญาณของลูเซียนทรมานจากความเจ็บปวดที่พุ่งพรวดมาอย่างกะทันหัน ซึ่งเกิดจากพลังดวงดาวมหาศาลที่ส่งผลต่อความรู้สึกตัวของเขา แม้มองจากมุมมองวิญญาณภายนอก เขาก็แทบจะหมดสติ เพราะพลังลึกลับนั้น
วินาทีนั้นเอง ลำแสงที่นุ่มนวลบริสุทธิ์เปล่งออกมาจากวิญญาณของลูเซียน และความเจ็บปวดทรมานก็พลันหายไป มุมมองวิญญาณภายนอกของลูเซียนก็เสถียรมากขึ้น
เมื่อแสงหายไป ลูเซียนเห็นอะไรบางอย่างคล้ายๆ ลูกแก้วคริสตัล ขนาดประมาณหัวแม่มือ เปล่งแสงและหมุนไปรอบๆ ภาพสะท้อนกลับหัวของ ‘ดาวหลักแห่งเทวลิขิต’ มองเข้าไปใกล้ๆ มันคือรูปแบบเวทที่เขาเพิ่งสร้างขึ้น ‘เกราะแสงดารา’
ขณะเดียวกัน ลูเซียนสังเกตว่าวิญญาณของเขาสงบและมีมวลพลังหนักแน่นขึ้น ราวกับพลังดวงดาวได้เปลี่ยนมวลพลังวิญญาณของเขาอย่างน่าอัศจรรย์
ลูเซียนเปิดตากว้าง เขารู้สึกสดชื่นกว่าที่เคย และวิญญาณของเขามีพลังวิญญาณไหลบ่าท้วมท้น ลูเซียนรู้ว่าทันทีที่มีอันตรายย่างกรายเข้ามา ก็สามารถร่ายคาถาเรียกใช้ ‘เกราะแสงดารา’ ได้ในทันที
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเขา และเขาพูดกับตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ ‘ยินดีที่ได้เจอกันเสียที นักเวทลูเซียน’
รอยยิ้มของเขาออกมาจากใจ เนื่องจากเขาเชื่อว่าหากเปรียบเทียบกับความสำเร็จอันยอดเยี่ยมที่ได้รับจากการแสดงดนตรีแล้ว ความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดครั้งนี้เกิดขึ้นได้เพราะความมานะอุตสาหะของเขาล้วนๆ ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เขารู้สึกยินดีมากไปกว่านี้
ลูเซียนมองดูนาฬิกาทรายเวทมนตร์บนโต๊ะ ถึงเห็นว่ามีเวลาเหลืออยู่เพียงสามนาทีเท่านั้น เขาจึงยกเลิกแผนที่จะสร้างรูปแบบเวทอีกรูปแบบหนึ่งในพลังวิญญาณ
ด้วยพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม เขามั่นใจว่าเขาสามารถร่ายเวทมนตร์ระดับฝึกหัดได้มากถึงสองร้อยหรือสามร้อยครั้ง และเวทมนตร์ระดับหนึ่งเกือบยี่สิบครั้งโดยไม่ต้องหยุดพัก นั่นเป็นผลอันงดงามจากการเลื่อนชั้นเป็นนักเวทตัวจริง แต่ที่วิเศษยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่พลังวิญญาณเข้มแข็งพอที่จะรับมือ เขาก็สามารถสร้างรูปแบบเวทได้ทุกๆ สองถึงสามนาที
อย่างไรก็ตาม ลูเซียนไม่มีเวลาเหลือมากพอ เขาต้องรีบกลับออกจากมิตินี้โดยเร็ว
“จำคำข้าไว้ จำคำข้าไว้ เดินหน้าแล้วอย่ามองกลับหลัง…”
ตามข้อความที่มาสเกลีนทิ้งไว้ ดูเหมือนจะบอกใบ้ว่าการเดินทางออกจากมิตินี้ในห้องโถงผ่านประตูเล็กๆ เข้าสู่สวนเวทมนตร์อาจไม่สงบและง่ายนัก
ลูเซียนเดินไปที่ประตูและพยายามเปิดออก แต่ไม่สำเร็จ เขาจะยังออกจากที่นี่ไม่ได้จนกว่าประตูมิติเวทมนตร์ใกล้จะถล่ม
ว่าแล้วเขาก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของมาสเกลีน ลูเซียนใช้เวลาเพียงหนึ่งนาทีในการคลายผนึกชั้นแรก ตอนนี้ เขาสามารถร่าย ‘อาคมชั้นเทพ’ ได้สองบท ‘เวทพลังพิฆาตศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘เวทต้านทานมรณะ’
ลูเซียนไม่อยากเสียเวลาเปล่าๆ เขาวิ่งเข้าไปในห้องต่างๆ ด้วยความเร็วประดุจเงาเพื่อเก็บวัตถุดิบเวทมนตร์ต่างๆ ไว้ใช้ในอนาคต
‘ไม่เอาของที่อันตรายเกินไป… ไม่เอาของที่ไม่รู้จัก…’ ลูเซียนเตือนตัวเองไม่ให้โลภมากเกินไป เขามีเวลาเหลือไม่ถึงสองนาทีแล้ว
และแล้วเขาเก็บ ‘โลหิตแวมไพร์’ หนึ่งหลอด ‘อากาศธาตุ’ สองหลอด ‘ขนก็อบลิน’ สองกำมือ ‘ผงเผาไหม้แห่งสโนว์เนีย’ สามหลอด และกล่อง ‘น้ำมันเวทมนตร์’ มาอีกหนึ่งกล่อง บางตัวเป็นวัตถุเวทมนตร์ และบางตัวเป็นส่วนประกอบเร่งปฏิกิริยา
เมื่อมีเวลาเหลือเพียงสิบห้าวินาที ลูเซียนกลับมายังห้องโถง ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเล็กๆ เขากำลังรอจังหวะที่มิติโลกใบนี้จะถล่มลงมา
สิบวินาที เก้าวินาที… สาม… สอง… หนึ่ง
ทั้งห้องโถงเริ่มสั่นไหว และประตูเล็กๆ ก็เปิดออกเองราวกับสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในโลกมิตินี้ ด้านหลังประตูมีทางเดินยาวสุดตา สองข้างทางมีต้นไม้เวทรูปร่างประหลาด
ทันใดนั้น มีรอยแตกบนทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูเซียนเห็น โต๊ะ เก้าอี้ และแม้กระทั่งเปลวไฟสีขาวและเทาในเตาไฟ
ลูเซียนรีบเดินไปตามทางเดินโดยไม่ลังเล
เขาได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ แต่เขาไม่ได้หันกลับไปมอง
ลูเซียนเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ก่อนจะเริ่มวิ่ง ต้นไม้เวททั้งสองข้างทางเริ่มกวัดแกว่งกิ่งไม้อย่างบ้าคลั่ง บางกิ่งเกือบฟาดเข้าที่หน้าลูเซียน
ต้นไม้เวทบางต้นลอยขึ้นกลางอากาศ บางต้นกระโดดออกมาเหมือนกบ บางต้นบีบคอและเขวี้ยงหัวตัวเองทิ้ง… ทุกอย่างในโลกมิตินี้เริ่มดูบ้าคลั่งไปกันใหญ่
ต้นไม้กำลังหัวเราะ คร่ำครวญ และร้องไห้ เสียงมันดังสนั่น แต่ดูเหมือนจะหายวับไปเมื่อลูเซียนวิ่งผ่าน ราวกับปีศาจที่มีปากขนาดมหึมากำลังไล่เขมือบพวกมันด้านหลังของลูเซียน
เขาบังคับตัวเองให้จดจ่ออยู่กับการก้าวเท้าของตัวเองและวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เขาหลบเถาวัลย์สีดำที่ดูเหมือนพยายามโจมตีเขาราวกับงูฉกอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น เขาได้ยินเสียงกรีดร้องเสียงแหลม ฟังดูทั้งน่าสังเวชและชวนหลอน ตรงหน้าลูเซียน วิญญาณแค้นหลายตนปรากฏตัวขึ้นมาขวางทาง หนอนแมลงวันจำนวนนับไม่ถ้วนไต่ยั้วเยี้ยเต็มพื้น หนอนแต่ละตัวมีหน้าเป็นเด็กทารกกำลังร้องไห้
ลูเซียนไม่ชะลอฝีเท้า เขาร่ายคาถาเปิด ‘เกราะแสงดารา’ ในทันที
ก่อนจะกลายเป็นนักเวทตัวจริง ลูเซียนไม่สามารถร่ายเวทอื่นได้หากกำลังใช้พลังจาก ‘พรแสงจันทร์’ ด้วยพลังในตอนนี้จะทำให้ร่างกายของเขาส่วนหนึ่งดึงพลังจากแสงจันทร์มาใช้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
‘เกราะแสงดารา’ เป็นเหมือนกระจกกลมๆ คุ้มกันลูเซียนจากทุกทิศทางอย่างไม่มีรอยรั่วให้เข้าถึงตัว เมื่อถูกเผาไหม้รุนแรงจากเกราะแสงดารา พวกวิญญาณแค้นกรีดร้องอย่างทรมาน แต่ก็ยังพยายามใช้แขนคว้าตัวลูเซียนจนกระทั่งมันกลายเป็นควันและเถ้าถ่าน มีหนอนแมลงวันจำนวนมากเกาะเกราะของลูเซียน จนเขาเกือบจะมองทางข้างหน้าไม่เห็น
จนในที่สุด ลูเซียนก็เห็นรูโหว่เล็กๆ ที่สุดทางเดิน มองผ่านรูโหว่ออกไป เขาเห็นทุ่งหญ้าสีเขียว
“อันตราย! กลับมา ซย่าเฟิง! อย่าเข้าไป!”
ลูเซียนได้ยินเสียงพ่อแม่เรียกชื่อเขา
“ลูเซียน หยุดก่อน เจ้าอาจตายได้!”
มีเสียงโจเอล จอห์น วิกเตอร์ และทุกคนบนโลกนี้ที่ลูเซียนเป็นห่วงผสมปนเปกันเข้ามา
เสียงฟังดูเหมือนจริงจนหัวใจของลูเซียนหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“อย่าหันหลังกลับ!” ลูเซียนตะโกนใส่ตัวเอง
ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เขากระโจนเข้าไปใส่รูโหว่
…
หนอนวิญญาณกลายเป็นเถ้าถ่าน สายลมยามดึกให้ความรู้สึกเย็นและอ่อนโยน
นี่คือโลกที่เต็มไปด้วยชีวิต
“ลูเซียน?” เสียงที่คุ้นเคย และเสียงคนนั้นฟังดูประหลาดใจ
ลูเซียนผงกหัวขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาเห็นนาตาซาอยู่ในชุด ‘เกราะโลหิตมังกร’ กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าเกล็ดมังกรสีดำ อย่างไรก็ตาม เกราะที่นางสวมเสียหายหนัก และมีเพียงอัศวิน อัศวินฝึกหัด และราชองครักษ์ไม่กี่นายติดตามนางมา ทุกคนดูเหนื่อยล้า บางคนบาดเจ็บ
นอกจากนี้ ท่านหญิงคามิลไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้าหญิง ไม่มีทั้งซิลเวียและบิดาของนาง
มีชั้นเมฆหมอกบางๆ ปกคลุมไปด้วยเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า ‘บอนน์’
……………………………………….
คอมเม้นต์