Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – บทที่ 130 ทิโฟทิดิส
เมื่อทะเลสาบเอลซินอร์ปลดพันธนาการของ ‘มหากางเขน’ ในมิติโลกขาวดำ อวกาศสะท้อนกลับหัวและมิติเวทมนตร์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และชิ้นส่วนที่เหลือลอยลึกลงไปใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’
เมื่อเศษมิติเวทมนตร์ลอยกระจัดกระจายไปทั่วโลกนั้น วงเวทนับไม่ถ้วนก็สลายไปเงียบๆ จนกระทั่งเมืองงดงามปรากฏอยู่ตรงหน้าแต่เป็นเมืองที่ไร้สี
เมืองเงามืดนี้เป็นเหมือนภาพสะท้อนกลับหัวของนครอัลโต้ ขณะที่แบบแปลนของเมืองดูโกลาหลวุ่นวายไปหมด เหนือขึ้นไปด้านบนเมืองเงานี้ มี ‘มหากางเขน’ ประกอบด้วยดวงดาวปริศนาเก้าดวงที่ส่องแสงเปล่งปลั่ง
เนื่องจากการถล่มของมิติเวทมนตร์รอบๆ ทะเลสาบเอลซินอร์ ‘มหากางเขน’ นี้ก็เริ่มพังทลายลงเช่นกัน หมอกสีเงินค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากใต้เมืองเงา เมืองที่เย็นยะเยือกและเงียบงัน ราวกับกำลังเปลี่ยนนครอัลโต้เงาเป็นนรกที่ความเย็นยะเยือกและความตายมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
ทันใดนั้น ฝ่ามือซีดเผือดขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากพื้น แต่ละข้อนิ้วบนมือมีเดือยกระดูกแหลมดูน่าขนลุก มือน่าขนลุกข้างนั้นทะลายพรมแดนที่กั้นระหว่าง ‘โลกแห่งวิญญาณ’ และโลกความเป็นจริงหลัก และมือนั้นโผล่ขึ้นมาในท่อระบายน้ำลึกลงไปในนครอัลโต้ของจริง
มือข้างนั้นเรืองแสงสีเงิน สิ่งมีชีวิตในท่อระบายถูกแสงเข้าครอบงำจะกลายคลุ้มคลั่งเหมือนกับหนูตาแดงพวกนั้น แสงสีเงินเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดให้กลายเป็นอสูรกายน่ากลัว พื้นดินสั่นไหวรุนแรง ชาวบ้านมากมายที่อยู่บนพื้นดินหนีออกจากบ้าน กรีดร้อง และคร่ำครวญ พวกชาวบ้านคิดว่าเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์นี้เลวร้ายยิ่งกว่าแผ่นดินไหว ในท่อระบายน้ำ เมื่อฝ่ามือซีดเผือดขนาดใหญ่มือนั้นวางแนบกับเพดานในท่อระบายน้ำ รูโหว่ทั้งกว้างและลึกจนเกินจะประมาณปรากฏขึ้นบนพื้นดินด้านบน จากนั้น อสูรกายตนหนึ่งที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ผิวซีดเผือด ตาแดงก่ำ และมีเขาแพะสีเงินบนหัว กระโดดขึ้นมาจากใต้ดินและน้ำหนักกระแทกลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง ทั้งเมืองสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้ง เพราะอสูรกายตนนี้ซึ่งสูงหลายสิบเมตร
ทั้งตัวของมันเรืองแสงสีเงิน และแสงนั้นแผ่ออกไปเหมือนคลื่นน้ำ อุณหภูมิของทุกสิ่งทุกอย่างที่แสงนั้นกระทบจะถูกเปลี่ยนให้เย็นยะเยือก
“ไอ้โง่…” อสูรกายรูปร่างเหมือนมนุษย์ตัวนี้สบถและพึมพำใน ‘ภาษาอมนุษย์’ ซึ่งเป็นภาษาของเหล่าปีศาจ “ดยุกผู้ล่วงลับไม่ควรถูกผนึก ไม่ควรไว้ใจปีศาจ”
…
ท็อดนำอัศวินหลวงระดับสามจำนวนสองนาย อัศวินระดับสองจำนวนสี่นาย และอัศวินระดับหนึ่งอีกสี่นาย เข้าไปยังป่า ‘ดำเมลเซอร์’ พวกเขาไล่ตามกลิ่นคาวเลือด พวกเขายกพวกตามเข้าในไปในป่าลึก
ท็อดหยุดตรงจุดที่ลูเซียนและวายออนแยกทางกัน “พวกมันแยกกันไปคนละทาง กลิ่นเลือดเจ้าหญิงมาจากทั้งสองทาง”
“วายออนไปทางนี้” วอร์นส์ อัศวินระดับสาม จับกลิ่นเลือดของวายออนได้
“วายออนเป็นอัศวินหลวงระดับสี่ อะนาตอลกับข้าจะตามล่ามันเอง” ท็อดประกาศอย่างมุ่งมั่น “วอร์นส์ เจ้าพาคนไปอีกทาง ถ้าเจ้าเจอเจ้าหญิง ส่งสัญญาณให้เรารู้”
“รอก่อน” โรซาน อารอน หยุดท็อด
แม้ท็อดจะไม่ชอบขี้หน้าอัศวินดำ เขาก็ไม่ดูถูกความสามารถพิเศษของพวกเขา “เจ้าอยากจะพูดอะไร?”
อารอนชี้ไปทางที่ลูเซียนไป แล้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกมันอาจทำให้เราสับสนด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่พวกมันไม่อาจหลอกเงาได้ เงาดำบอกข้าว่านาตาซาไปทางนี้”
“ดีมาก” ท็อดพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น อะนาตอลกับวอร์นส์ พวกเจ้าตามล่าวายออน ส่วนอารอนกับข้าจะตามไปทางนี้”
…
เมื่อได้ยินเสียงนาตาซา ลูเซียนไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรดี เขากังวลใจ หากนาตาซารู้ว่าเขาเป็นนักเวท นางคงไม่ได้มีความรู้สึกดีกับเขาอีกต่อไป
ชั่วขณะหนึ่ง ลูเซียนพูดปลอบใจนาง “ฝ่าบาท นอกจากกระหม่อมแล้ว พระองค์ยังมีท่านแกรนด์ดยุก ท่านหญิงคามิล เฟลิเซีย… พระองค์ยังมีสหายมากมายที่จะคอยช่วยเหลือและเป็นห่วงพระองค์นะพะยะค่ะ”
ทันทีที่เขาพูดถึงคามิล ลูเซียนรู้ว่าเขาพูดอะไรโง่ๆ ออกไป
“ท่านป้า…” เสียงของนาตาซาดูเศร้าสร้อย “ข้าโง่จริงๆ… ทั้งหมดนี้… ทั้งหมด.. ก็… เพราะข้า”
“มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง… พะยะค่ะ” ลูเซียนพยายามพูดให้เป็นกลาง “มันไม่ใช่ความผิดของพระองค์”
“ผิดสิ” นาตาซาตอบเสียงแผ่วเบา “ข้ารู้ว่าซิลเวียเป็นนักเวทฝึกหัดนานมาแล้ว”
“อะไรนะพะยะค่ะ?!” แม้กำลังแบกนาตาซา ลูเซียนก็กำลังวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่นาตาซาพูด ลูเซียนถึงกับเกือบวิ่งชนต้นไม้
“ความรัก… ไม่ ความเห็นแก่ตัว บังตาข้า” นาตาซาถอนหายใจยาว “ว่ากันว่าต้นกำเนิดของ ‘พร’ แท้จริงแล้วมาจากนักเวทโบราณ ข้าหวังว่านางจะสามารถหาวิธีที่ทำให้ผู้หญิงสองคนมีลูกด้วยกันได้ ลูกที่เกิดมาจาก ‘พร’ แล้วจะไม่มีใครมาขัดขวางความรักของเราโดยใช้เรื่องลูกเป็นข้ออ้าง”
“ฝ่าบาท พระองค์… ทรง…” ลูเซียนพยายามคิดคำที่เหมาะสม “ทะเยอทะยานมากพะยะค่ะ”
“ทะเยอทะยาน…” นาตาซาไม่เข้าใจในตอนแรกแต่แล้วก็รู้สึกดีขึ้นมา “ช่างเถอะ ตอนนี้เรากำลังวิ่งเอาตัวรอด ไม่สิ… เจ้ากำลังวิ่งหนีเพื่อให้เรารอด ไม่ใช่เวลาที่จะมาเศร้าเสียใจ ข้าต้องใช้เวลาสักสามสี่ชั่วโมงถึงจะฟื้นพลังได้ระดับหนึ่ง ระหว่างนี้ ชีวิตฝากข้าไว้ในมือเจ้า”
นางหยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนพูดกับเขาว่า “อันที่จริง… เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้เพื่อข้า ขอบใจนะ ลูเซียน ข้าจะไม่มีวันลืม”
“กระหม่อมได้รับรู้เรื่องทั้งหมด” ลูเซียนพยายามพูดปลอบใจให้เจ้าหญิงรู้สึกผิดน้อยลง “เวอร์ดี้จะหาทางฆ่ากระหม่อมอยู่ดี กระหม่อมขอช่วยสหายดีกว่า”
“เจ้าไม่ต้องทำตัวน่ารักขนาดนี้ก็ได้ ลูเซียน” นาตาซาส่ายหน้า “ข้าจะคลายอำนาจควบคุม ‘ธันเดอร์’ ชั่วคราว ให้เจ้าประทับพลังวิญญาณแทน ‘ธันเดอร์’ เป็นดาบอัศวินระดับห้า หากมีดาบนี่ เจ้ามีโอกาสสู้กับใครก็ตามที่ยังไม่ถึงขั้นอัศวินหลวงได้”
ลูเซียนประทับพลังวิญญาณบน ‘ดาบธันเดอร์’ ตามคำแนะนำของนาตาซา ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็เข้าถึงข้อมูลของดาบเล่มนี้
‘นาตาซาส์ ธันเดอร์ ดาบอัศวินระดับห้า สร้างมาจากอุกกาบาตล้ำค่าและโลหิตของยักษ์ไททันเจ้าวายุ สามารถสร้างความเสียหายได้ใกล้เคียงกับพลังของอัศวินอาภา ความแข็งแกร่งของผู้ครอบครองจะเพิ่มขึ้นเท่ากับระดับยักษ์ไททันเจ้าวายุระดับธรรมดา เทียบเท่ากับความแข็งแกร่งสูงสุดของอัศวินหลวง’
‘นอกจากนี้ “ธันเดอร์” มีพลังพิเศษสายฟ้าฟาดขนาดเล็ก สามารถทำให้เป้าหมายเป็นอัมพาตขยับเขยื้อนไม่ได้และสูญเสียการได้ยินชั่วคราว มีโอกาสร้อยละห้าที่ “ดาบธันเดอร์” จะสามารถเรียกสายฟ้าของจริงลงมาจากฟากฟ้า ซึ่งเทียบเท่ากับการร่ายคาถาของนักเวทระดับห้าที่เรียกว่า “สายฟ้าคำราม” และมีโอกาสร้อยละ 0.1 ที่สายฟ้าฟาดที่เรียกจะทรงพลังรุนแรงสูงสุด เมื่ออยู่ในสภาพอากาศพายุฝน โอกาสใช้พลังสายฟ้าจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้ครอบครองควรใช้ด้วยความระมัดระวัง’
‘“ดาบธันเดอร์” เป็นของขวัญวันบรรลุนิติภาวะของหลานนาตาซา นี่คือ “คทาสายฟ้า”’
‘จาก ยาโรรัน แฮททาเวย์ ฮอฟเฟนเบิร์ก’
ลูเซียนคว้า ‘ดาบธันเดอร์’ อยู่ในมือ เขารู้สึกถึงพลังสายฟ้าที่แล่นผ่านในตัวเขา แม้มือเขาจะรู้สึกชาเล็กน้อย เขาบอกได้ว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว รากไม้หนาๆ ของแตกละเอียด เมื่อลูเซียนจงใจย่ำเท้าลงไป
“พยายามปรับตัวให้ชิน ลูเซียน” นาตาซาบอกเขา “นี่เป็นอาวุธ ไม่ใช่อุปกรณ์เวทมนตร์ การใช้อาวุธหรือเกราะที่พลังสูงเกินไปอาจส่งผลต่อผู้ใช้ บางคนต้องใช้เวลานานกว่าจะคุ้นเคย หากเทียบกันแล้ว เรื่องนี้อุปกรณ์เวทมนตร์ดีกว่าเยอะ”
“พระองค์จะบอกว่าคนธรรมดาๆ สามารถใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ที่พลังสูงๆ ได้หรือ พะยะค่ะ?” ลูเซียนถาม เขาสงสัยว่าเขาอาจเอาชนะนักเวทชั้นสูงได้ หากเขามีแหวนเวทมนตร์หลายๆ วงที่เพิ่มพลังด้วยเวทระดับเก้าได้
“อืม…” นาตาซาพยักหน้า แต่แล้วนางก็ส่ายหน้า “ก็หลายปัจจัย อุปกรณ์เวทมนตร์ระดับสูงเป็นของสูงค่า อุปกรณ์เวทมนตร์ส่วนใหญ่ตั้งแต่ระดับห้าขึ้นไปมีข้อจำกัดสำหรับผู้ครอบครอง เช่น ระดับพลังวิญญาณ ความแข็งแกร่ง ความรู้ อำนาจจิต แต่ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องนั้น หากศัตรูของเจ้ามีพลังมากกว่าที่เจ้ามี ใช่ เจ้าอาจมีโอกาสชนะ แต่กลับกัน อาวุธและเกราะวิเศษมักไม่ค่อยได้ผลเหมือนอุปกรณ์เวทมนตร์”
ลูเซียนไม่มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธและเกราะวิเศษมากนัก เมื่อได้ยินนาตาซาพูด ลูเซียนเริ่มคิดคร่าวๆ ถึงเรื่องนี้และทำใจว่าทำไม ‘มงกุฎสุริยัน’ ถึงมีผนึกห้าชั้น
ลูเซียนค่อยๆ ตวัดดาบ และรู้สึกว่าความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“อืม… เจ้ารู้ไหม” นาตาซามองไปรอบๆ และบอกเขา “เจ้าทิ้งร่องรอยไว้มากเกินไป พวกชั่วนั่นจะตามเราได้”
“หรือพะยะค่ะ” ลูเซียนตกใจ “กระหม่อมคิดว่าระวังตัวมากแล้วนะพะยะค่ะ แล้ว… กระหม่อมก็เป็นเพียงนักดนตรีเท่านั้น ฝ่าบาท”
“ข้ารู้ ลูเซียน แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่แค่นักดนตรี…” นาตาซาหัวเราะและรีบเปลี่ยนเรื่อง “ตอนที่ข้ารับการฝึกอัศวิน ข้าได้ศึกษาเรื่องต่างๆ ข้าสอนให้เจ้าได้”
ตามคำแนะนำของนาตาซา ลูเซียนเรียนรู้วิธีกลบร่องรอยด้วยการใช้ต้นไม้ ธาตุ และแม้สัตว์ตัวเล็กๆ
“ฉลาด เจ้าเรียนรู้เร็วมาก ลูเซียน” นาตาซาพยักหน้า “แต่ว่า ข้ามั่นใจว่าแถวนี้น่าจะมีว่านหางจระเข้ผี… น่าจะใกล้ๆ กับแหล่งน้ำ หากเจ้าหาเจอ ว่านพวกนี้สามารถกลบกลิ่นเลือดของเราได้”
…
ทันทีที่อสูรกายร่างมนุษย์ขนาดยักษ์เริ่มเคลื่อนไหว ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏบนท้องฟ้า ทีละลำแสง และวงพลังเทพหลายชั้นลอยขึ้นมาเชื่อมประสานต่อกัน
“ยินดีต้อนรับสู่นครอัลโต้ เจ้าลัทธิอาเจนต์” เจ้าของเสียงที่พูดกับอสูรกายฟังดูค่อนข้างมีชราภาพ “หรือข้าควรเรียกเจ้าว่า ทิโฟทิดิส ดยุกแห่งน้ำแข็ง”
ซาร์ด พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญที่ลอยอยู่กลางอากาศ เป็นเจ้าของเสียงนั่นเอง ด้วยชุดสีขาวพื้นๆ ซาร์ดถือคทาเวทมนตร์ที่ฝังอัญมณีและกางเขนเปล่งแสงขนาดใหญ่ ดวงตาของเขาเป็นประกายดูคมกริบ
“ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ซาร์ด?!” เจ้ามหาลัทธิอาเจนต์แผดเสียงแสดงความเกรี้ยวกราด “ตอนนี้ เจ้าควรอยู่ที่ทะเลสาบเอลซินอร์! เจ้าไม่ห่วงเจ้าหญิงงั้นหรือ?!”
……………………………………….
คอมเม้นต์