เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 108 ตั้งชื่อกระบี่
บทที่ 108 ตั้งชื่อกระบี่
หลินเป่ยเฉินเดินลากดาบกลับมาที่โต๊ะของตนเอง ปลายดาบครูดพื้นหินเกิดเป็นประกายไฟตามทาง ขณะที่ไป๋ชินหยุนเองก็กลับมานั่งประจำที่แล้วเช่นกัน
“นี่เจ้าเลือกดาบเล่มนี้จริงๆ หรือ?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นเด็กสาวร่างเล็กเลือกดาบใหญ่สีน้ำเงินเป็นอาวุธคู่กาย ก็ถึงกับต้องชะงักงันไปแล้ว
“ท่านหมายความว่าอย่างไร? เป็นท่านเองไม่ใช่หรือที่บอกว่ามันเหมาะสมกับข้าที่สุด” ไป๋ชินหยุนพูด หน้าตาบึ้งตึงเหมือนกระต่ายน้อยเดือดดาล
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินกำลังจะบอกว่าเขาแค่ล้อเล่น แต่เมื่อเห็นไป๋ชินหยุนมีสีหน้าท่าทางจริงจัง หลินเป่ยเฉินก็กลัวว่านางจะเหวี่ยงดาบมาสังหารเขาเสีย ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนใจและกล่าวว่า “ถูกต้อง ดาบเล่มนี้เหมาะสมกับเจ้าที่สุด ข้าคัดเลือกให้เป็นอย่างดี เจ้าวางใจเถอะ”
พอได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่ขุ่นเคืองของไป๋ชินหยุนก็กลับกลายเป็นสดใสขึ้นในพริบตา
หลินเป่ยเฉินพึมพำกับตัวเองว่า “เป็นแบบนี้ได้ไงเนี่ย ยัยเด็กคนนี้เชื่อฟังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
แต่ความจริง จะบอกว่าหลินเป่ยเฉินพูดเล่นทั้งหมดก็ไม่ถูกต้องนัก
เพราะตอนที่ใช้พลังจิตสำรวจดาบใหญ่เล่มนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงรัศมีบางอย่างจากตัวดาบ ที่มีความคล้ายคลึงกับไป๋ชินหยุนเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น ถ้าเด็กสาวจะเลือกดาบเล่มนี้เป็นอาวุธคู่กาย มันก็คงไม่ใช่เรื่องผิดพลาดประการใดหรอกกระมัง?
บรรดาเด็กหนุ่มมือกระบี่คนอื่นๆ ต่างพากันคัดเลือกอาวุธคู่กายอย่างละเอียดรอบคอบ
ตงฟางจันเลือกได้ดาบใบเลื่อยสีแดงเข้ม รัศมีที่แผ่ออกมาจากใบดาบ ให้ความรู้สึกถึงเปลวไฟซึ่งสอดคล้องกับพลังปราณธาตุของเขา ทางด้านเสว่เหยียนเลือกกระบี่สีแดงเหมือนอาบด้วยโลหิตเล่มหนึ่ง ในขณะที่ซ้งชิงเฟิงเลือกดาบหัวตัด ฝ่ายหลินไห่ถังเลือกเป็นกระบี่ทองคำที่ประดับตกแต่งด้วยอัญมณีแวววาว เหมาะสมกับเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ที่สุด และคนสุดท้ายก็เป็นซ้งเชวอี้ที่เลือกกระบี่ขนาดกะทัดรัดสีส้มสะดุดตา…
หลินเป่ยเฉินเพ่งสายตามองไปที่เฉาพั่วเถียน
เด็กหนุ่มอัจฉริยะแห่งเมืองไป๋หยุนเลือกกระบี่ทองคำมาเล่มหนึ่ง
“ในเมื่อพวกเจ้าเลือกอาวุธคู่กายกันได้แล้ว ก็จงพอใจในสิ่งที่ตนเองเลือกมาเถิด ขั้นตอนต่อไปนี้ คือการตั้งชื่อกระบี่และดาบของเจ้า ในกลุ่มแขกที่เข้ามาร่วมงานในค่ำคืนนี้ มีอาจารย์ฟานซูอัง ผู้เป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์ฟานอยู่ด้วย เขาจะรับหน้าที่สลักชื่อบนตัวกระบี่ให้กับพวกเจ้า เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ อาวุธที่เจ้าเลือกมา ก็จะเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์”
หลีลั่วหรันอธิบาย
เสียงของเขาดังกังวานได้ยินชัดเจนถึงหูทุกคน
กลุ่มมือกระบี่ผู้อาวุโสต่างก็ฉีกยิ้ม รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
กลุ่มมือกระบี่รุ่นเยาวชนในขณะนี้ บ้างมีสีหน้ามั่นใจ บ้างก็มีสีหน้าครุ่นคิดจนหัวคิ้วขมวดพันกัน
การตั้งชื่อกระบี่
ฟังดูเป็นขั้นตอนที่เรียบง่าย
แต่ในความเป็นจริง การตั้งชื่อกระบี่หรืออาวุธคู่กายนั้น คือหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุด
เพราะสำหรับมือกระบี่ การตั้งชื่อให้กับอาวุธประจำตัว จะต้องสะท้อนถึงบุคลิกและนิสัยรวมถึงความใฝ่ฝันของผู้เป็นเจ้าของอาวุธชิ้นนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มเด็กหนุ่มจึงต้องถูกทดสอบ
“ข้าจะตั้งชื่อดาบเล่มนี้ว่าดาบไร้ความกลัว”
ตงฟางจันส่งมอบดาบใบเลื่อยสีแดงเข้มให้แก่ฟานซูอัง ซึ่งเป็นผู้ชำนาญด้านการสลักชื่อกระบี่
เมื่อได้ยินชื่อนั้น เหล่ามือกระบี่ผู้อาวุโสต่างก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
ดาบไร้ความกลัว สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญของผู้เป็นเจ้าของได้ดีมาก
เพียงได้ยินชื่อ ก็รู้แล้วว่าเป็นดาบของตงฟางจัน
แซ่ของเด็กหนุ่มคือตงฟาง ส่วนชื่อมีแค่พยางค์เดียวคือจัน ซึ่งแปลว่าการต่อสู้
นักสู้ย่อมไร้ความหวาดกลัว
ในเมื่อผู้เป็นเจ้าของใจกล้าไม่กลัวตาย ดาบจึงสมควรตั้งชื่อว่าไร้ความกลัวก็ถูกต้องแล้ว
นับว่าเป็นการตั้งชื่อที่ดี
ฟานซูอังเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 26 ถึง 27 ปี ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาพยักเพยิดพลางกล่าว “เป็นชื่อที่ดีมาก”
พูดจบแล้ว ชายหนุ่มก็โคจรพลังลมปราณ ใช้นิ้วมือแทนเข็มสลัก เขียนคำว่า ‘ไร้ความกลัว’ ลงไปบนใบดาบสีแดงเข้ม
บังเกิดแสงสว่างวูบวาบขึ้นที่ปลายนิ้วมือของเขา
นี่คือทักษะการสร้างอาวุธชนิดหนึ่ง
เมื่อเขียนตัวอักษรครบแล้ว คมดาบก็ห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำวูบหนึ่ง แล้วคำว่า ‘ไร้ความกลัว’ ก็ปรากฏขึ้นบนใบดาบ นอกจากจะเป็นการสลักชื่อลงไปแล้ว ฟานซูอังยังได้เพิ่มพลังบางอย่างให้แก่ดาบเล่มนี้ ทำให้มันดูมีราศีน่าหวาดกลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า
เมื่อตงฟางจันเห็นดังนั้น ก็ต้องอุทานออกมาด้วยความลิงโลดใจ
หลายคนอดชื่นชมฝีมือการสลักชื่อของชายหนุ่มไม่ได้
ฉู่เหินประหลาดใจจนต้องอ้าปากค้าง “เมื่อสักครู่นี้ น้องฟานใช้วิชา ‘ปลุกวิญญาณกระบี่’ ในตำนานใช่หรือไม่? นับเป็นวิชาที่ลึกลับและมีความซับซ้อนมาก ข้านับถือท่านจริงๆ”
จักรวรรดิเป่ยไห่มีเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่อยู่ด้วยกันทั้งหมดสามเมือง ประกอบไปด้วยเมืองไป๋หยุน เมืองหนงเจียน และเมืองเสี่ยวเจี๋ย ทุกเมืองต่างได้ชื่อว่ามีทักษะด้านการหลอมศาสตราวุธชั้นเลิศ
ในสามเมืองนี้ หนงเจียนเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการหลอมศาสตราวุธมากที่สุด
รองลงมาก็เป็นเมืองไป๋หยุน
ในขณะที่เมืองเสี่ยวเจี๋ย จะโด่งดังในเรื่องของการเป็นศูนย์รวมมือสังหาร ทหารรับจ้าง และสายลับเสียมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ สำนักหลอมศาสตราวุธของปรมาจารย์ฟาน จึงถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 3 ยอดสำนักของจักรวรรดิ
นักหลอมศาสตราวุธในชีวิตหนึ่งสามารถตีกระบี่และดาบขึ้นมาได้หลายเล่ม แต่โดยรวมแล้ว ปรมาจารย์ฟานจะแบ่งแยกอาวุธออกเป็นสี่กลุ่มใหญ่ ตั้งชื่อแยกเป็นอาวุธตระกูลเป่ย ตระกูลหวน ตระกูลหลี่และตระกูลเหอ นอกจากจะโด่งดังในจักรวรรดิเป่ยไห่แล้ว ชื่อเสียงของเขายังขจรขจายไปไกลถึงจักรวรรดิจี้กวงและดินแดนโพ้นทะเลอีกด้วย กระบี่วิหคครามที่หลินเป่ยเฉินพกติดตัวอยู่ในตอนนี้ เป็นกระบี่มาตรฐานรุ่นล่าสุดของเขา และมันก็ได้รับความนิยมในท้องตลาดเป็นอย่างสูง
ว่ากันว่าปรมาจารย์ฟานมีทักษะการตีกระบี่ไม่เป็นสองรองใคร
แต่สิ่งที่ทำให้เขาพิเศษมากกว่าคนอื่น ก็คือวิชาที่เรียกว่าการ ‘ปลุกวิญญาณกระบี่’
นอกจากจะสลักชื่อบนตัวกระบี่ได้แล้ว ความสำคัญของวิชานี้คือการถ่ายทอดพลังลมปราณลงไปในตัวอาวุธ ทำให้กระบี่หรือดาบเล่มนั้นเกิดจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง ซึ่งมันจะยกระดับความน่ากลัวไปตามขั้นพลังของผู้เป็นเจ้าของแตกต่างกันไป
วิชานี้กลายเป็นตำนานก็เพราะว่านอกจากปรมาจารย์ฟานแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถใช้งานได้อีก เว้นเพียงลูกศิษย์ที่ร่ำเรียนกับสำนักของเขาเท่านั้น
แม้แต่เมืองไป๋หยุนหรือเมืองหนงเจียน ก็ไม่มีใครมีทักษะเช่นนี้
ฟานซูอังหันกลับมาพยักหน้าตอบคำถามของฉู่เหิน ก่อนที่จะยิ้มและพูดว่า “อาจารย์ฉู่ชื่นชมข้าน้อยมากเกินไปแล้วขอรับ วิชา ‘ปลุกวิญญาณกระบี่’ มีความซับซ้อนมากเกินไป บัดนี้ข้าน้อยยังมีพลังไม่ถึงขั้นเซียนผู้กล้า เท่ากับว่ายังมีพลังไม่สูงพอที่จะฝึกฝนวิชานี้ได้ ส่วนวิชาที่ข้าน้อยใช้เมื่อสักครู่นี้ เป็นเพียงวิชารองที่แตกแขนงออกมาจากวิชาปลุกวิญญาณกระบี่เท่านั้นขอรับ มันเพียงเพิ่มพลังให้ตัวกระบี่ได้เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทรงอานุภาพเท่าวิชาปลุกวิญญาณกระบี่ฉบับเต็มรูปแบบอยู่ดี”
ยิ่งทุกคนได้ฟัง ก็ยิ่งมีสีหน้าตื่นเต้นมากขึ้น
ฉู่เหินกล่าวชมเชยว่า “แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยอายุอานามของท่านเพียงเท่านี้ ก็นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมาให้โดยแท้”
มือกระบี่รุ่นอาวุโสทุกคนต่างก็ชื่นชมชายหนุ่มเป็นเสียงเดียวกัน
แม้แต่หลิงจุนเซวียนกับชินหลันซูก็ยังต้องพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
บรรดาเด็กหนุ่มและเด็กสาวรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
แค่ได้มีสิทธิ์เลือกอาวุธด้วยตัวเองในคืนนี้ ก็นับว่าเป็นโอกาสดีมากแล้ว ไม่คิดเลยว่าลูกศิษย์เอกของปรมาจารย์ฟานจะทำการสลักชื่ออาวุธให้พวกเขาด้วยตัวเองอีก นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก
หลังจากนั้น เสว่เหยียนก็ขยับออกไปข้างหน้า ยื่นอาวุธคู่กายของตนเองให้แก่ชายหนุ่มด้วยความกระตือรือร้น “ข้าขอตั้งชื่อมันว่า…กระบี่ล่าปีศาจ”
นับเป็นชื่อธรรมดา ในดินแดนที่ปีศาจมีอยู่จริง
แต่กระนั้น มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะล่าปีศาจของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของกระบี่
เขาตั้งใจจะใช้กระบี่เล่มนี้ไล่ล่ากวาดล้างพวกปีศาจที่ยังลอยนวล
ฟานซูอังพยักหน้า เริ่มต้นใช้นิ้วมือสลักตัวอักษรลงบนใบกระบี่
“กระบี่ของข้ามีนามว่า ‘เดียวดาย’ …”
“ข้าอยากตั้งชื่อมันว่ากระบี่ตัดฟ้า”
“กระบี่วีรบุรุษ”
“กระบี่ไร้เทียมทาน”
บรรดามือกระบี่รุ่นเยาวชนต่างเข้าแถวรอรับการสลักชื่อ
หลินเป่ยเฉินยืนหัวเราะจนตัวงออยู่ด้านข้าง
เจ้าพวกนี้ไม่รู้จักตั้งชื่อให้มันสร้างสรรค์มากกว่านี้หน่อยหรือไง
“แต่ละชื่อฟังดูน่าขนลุกเป็นบ้า!”
“ท่านหัวเราะอะไรของท่าน?”
ไป๋ชินหยุนเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่ท่านเถอะ ตั้งชื่อดาบได้แล้วหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมองเด็กสาว
นี่มาขอความช่วยเหลือจากฉันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?
“แล้วเจ้าล่ะตั้งชื่อได้หรือยัง?”
เด็กหนุ่มถามกลับไป
ไป๋ชินหยุนพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น “ข้าตั้งเอาไว้แล้ว ดาบเล่มนี้จะมีชื่อว่า ‘ดาบใหญ่’ นับเป็นชื่อที่มีความชัดเจนและตรงไปตรงมาที่สุด กระบี่ล่าปีศาจ กระบี่วีรบุรุษ ดาบครองพิภพอะไรพวกนั้น ฟังดูธรรมดาจะตาย ไม่ได้โดดเด่นสะดุดหูเลยสักนิด สู้ชื่อดาบของข้าก็ไม่ได้ ทั้งติดหูทั้งจำง่ายกว่าของคนอื่นตั้งเยอะ…”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ท่าทางยัยนี่นอกจากจะมีปัญหาด้านการตั้งชื่อแล้ว น่าจะมีปัญหาที่สมองด้วยแน่ๆ”
“เป็นชื่อที่ดีมาก ศิษย์น้อง” หลินเป่ยเฉินยกนิ้วโป้งชื่นชมพลางกล่าว “ขอยอมรับเลยว่า ขนาดข้าเองยังไม่มีพรสวรรค์เท่าเจ้าด้วยซ้ำ”
คอมเม้นต์