เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 128 รอยยิ้มนั้น
บทที่ 128 รอยยิ้มนั้น
เมื่อหลิงเฉินพูดประโยคนั้นออกมา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไปทันที
หลิงเฉิน?
เด็กสาวยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลหลิง หลิงเฉินเนี่ยนะ?
แล้วทำไมนานถึงได้แต่งตัวเป็นบุรุษ…
อ๋อ จริงด้วยสิ
นางกำลังปลอมตัวเป็นบุรุษ
บรรดามือกระบี่อาวุโสที่ยืนอยู่เคียงข้างไป๋ไห่ชิน อย่างเช่น หมิงหยวนซานไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อสักครู่นี้จึงดุด่าหลินเป่ยเฉินไม่มีการไว้หน้าใดๆ ทั้งสิ้น
ติงซานฉือกับฉู่เหินพอจะได้ยินข่าวลือเรื่องที่เกิดขึ้นในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองมาบ้างแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่คิดเลยว่าหลิงเฉินจะหลงรักเจ้าแกะดำหัวปักหัวปำถึงขนาดกล้าประกาศความสัมพันธ์ต่อหน้าสาธารณชนอย่างนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายนัก
ไป๋ชินหยุนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นางมองหน้าหลิงเฉินกับหลินเป่ยเฉินสลับไปมาตลอดเวลาด้วยความไม่อยากเชื่อ เพิ่งตระหนักตอนนี้เองว่าข่าวลือที่เคยได้ยินมาล้วนเป็นความจริงทุกประการ จินตนาการของเด็กสาวเริ่มเตลิดไปไกล จนเกิดเป็นเรื่องราวคล้ายนวนิยายระหว่างเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์กับนายทหารหนุ่มผู้กล้าหาญขึ้นมาแล้ว
ดวงตาของมือกระบี่ดาวรุ่งทุกคู่จ้องมองไปที่หลิงเฉินไม่วางตา
ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมายังเมืองหยุนเมิ่ง ทุกคนล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงของหลิงเฉินเป็นอย่างดี
นางถูกยกย่องให้มีความเก่งกาจไม่แพ้อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิอย่างหลินถิงซาน มีความสามารถในระดับที่คนรุ่นเดียวกันไม่อาจทัดเทียม ซ้ำยังมีหน้าตาสวยงามเลิศล้ำที่สุดในปฐพี ได้รับการขนานนามให้เป็นเด็กสาวที่สวยงามที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง
แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยพบเจอเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่จะมีความสามารถล้นเหลือขนาดนี้
แต่ด้วยความที่ไม่เคยพบหน้ายอดมือกระบี่ดาวรุ่งสาวอัจฉริยะผู้นี้มาก่อน ทุกคนจึงตีความเอาว่าข่าวลือที่ได้ยินมามันคง “ดีเกินกว่าจะเป็นความจริง” พวกเขาคิดว่าหลิงเฉินถูกยกยอปอปั้นจนเกินงาม เพราะตัวนางเกิดมาอยู่ในตระกูลสูงส่ง ย่อมไม่มีใครอยากให้นางมีสภาพเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะอยู่แล้ว
ทว่า เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ทุกคนก็รู้แล้วว่าชื่อเสียงของนางไม่ได้มาเพราะการปั้นแต่งเรื่องราว
ทันทีที่หลิงเฉินแสดงตัวออกมา นอกจากสร้างความประหลาดใจให้เกิดขึ้นกับทุกคนได้แล้ว เด็กสาวยังสร้างความตกตะลึงให้แก่เหล่ามือกระบี่อาวุโสอีกด้วย
หลิงเฉินสามารถสลายการโจมตีของไป๋ไห่ชินได้อย่างง่ายดาย
ระดับพลังของนางแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาเคยคิดไว้
นางกำลังปกป้องหลินเป่ยเฉิน
นับว่ามีความกล้าหาญเหลือเชื่อ
แต่สิ่งสำคัญก็คือรูปลักษณ์ของเด็กสาวช่างงดงามสมคำเล่าลือ ไม่ใช่สิ ต้องกล่าวว่าหลิงเฉินตัวจริงงดงามกว่าคำเล่าลือหลายเท่า อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้เสว่เหยียน ซ้งเชวอี้ ซ้งถิงเฟิงและหลู่เฟิงถึงกับตกตะลึงหยุดหายใจเมื่อได้เห็นหน้า นอกจากนี้ ผิวพรรณที่ขาวเนียนสว่างไสวของหลิงเฉิน ก็ทำให้ทุกอย่างในรัศมีรอบกายดูมัวหมองลงไปในพริบตา
เสียแต่ว่าหลิงเฉินกำลังสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษอยู่เท่านั้น
หากนางเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าของสตรี จะมีความงามมากมายขนาดไหนกันนะ?
แม้แต่หมิงลั่วเถียนซึ่งมั่นใจในความงามของตนเองมาตลอด ก็ยังต้องเกิดความรู้สึกยอมรับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิต
“ที่หลินเป่ยเฉินทำเย็นชากับเรา ก็เพราะนางผู้นี้นี่เองสินะ”
นั่นคือความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของหมิงลั่วเถียน ซึ่งทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
“เฉินเอ๋อร์ ใจเย็นก่อน”
ชินหลันซูเดินเข้ามาด้วยแววตาคาดโทษ
“ท่านแม่”
หลิงเฉินขยับเท้าก้าวไปหาและกล่าวว่า “ลูกรู้ว่าท่านแม่กำลังเป็นห่วงเรื่องอะไร แต่ท่านแม่ได้โปรดวางใจ ลูกสาวคนนี้รู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”
ชินหลันซูเดือดดาลจนแทบจะมีควันลอยออกจากหูแล้ว
“เจ้ารู้ตัวดีอย่างนั้นหรือ? แม่บอกแล้วใช่ไหมไม่ให้เจ้าออกมา เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้คือวันอะไร?”
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก ชินหลันซูก็ไม่กล้าตำหนิบุตรสาวของตนเองหนักเกินไปนัก
เมื่อหลิงเฉินหันกลับไปกวาดสายตามองหน้าไป๋ไห่ชินและพรรคพวก ตัวตนเจ้าหญิงเย็นชาของนางก็แสดงออกมาอีกครั้ง “ทุกท่านอ้างตัวว่าเป็นมือกระบี่อาวุโส แต่กลับลืมเลือนเรื่องคุณธรรมพื้นฐานกันเสียได้ มันทำให้ข้ารู้สึกอยากจะอาเจียนยิ่งนัก ทุกคำพูดและการกระทำของพวกท่าน กำลังดูหมิ่นความศักดิ์สิทธิ์ของจวนผู้ว่าอยู่ รู้ตัวหรือไม่”
ทันใดนั้น บรรดามือกระบี่อาวุโสก็กลับมาได้สติกันอีกครั้ง
โดยเฉพาะหมิงหยวนซานกับหลู่เจิงเต๋า บัดนี้ ชายชราทั้งสองคนมีสีหน้าอับอายมากที่สุด ถึงในใจจะรู้สึกโกรธแค้นมากเพียงใด ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว
พวกเขาทราบดีถึงความเป็นจริง…
หลิงเฉินมีระดับพลังเทียบเท่าไป๋ไห่ชิน
ถึงจะฟังดูแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม
แต่การต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว
มันทำให้มือกระบี่อาวุโสทุกคนรู้ตัวว่า ตนเองยังมีพลังไม่แข็งแกร่งเท่าเด็กสาวคนนี้
แล้วพวกเขาจะพูดอะไรได้อีก?
หากเผลอทำให้บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านผู้ว่าการโกรธเกรี้ยวขึ้นมา พวกเขาก็ไม่อาจรับมือนางได้เลยสักกระบวนท่าเดียวด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น จึงไม่พูดอะไรเลยเสียดีกว่า
มีเพียงไป๋ไห่ชินคนเดียวเท่านั้นที่สามารถแสดงสีหน้าไม่พอใจได้อย่างชัดเจน เขาแค่นหัวเราะ ดวงตาเป็นประกายดุร้ายเอาเรื่อง “คุณหนูน้อย แขกที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ต่างก็เป็นผู้อาวุโส มีอายุมากพอที่จะเป็นปู่ของคุณหนูได้แทบทุกคนแล้ว ลองพิจารณาดูให้ดีเถอะ ว่าใครที่กำลังดูหมิ่นความศักดิ์สิทธิ์ของจวนผู้ว่าอยู่กันแน่?”
พลัน หลิงเฉินมีดวงตาเป็นประกายเย็นเยียบ นางไม่พูดอะไรออกมา แต่ลงมือโจมตีโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนอีกแล้ว
เด็กสาวยิงพลังลมปราณออกจากฝ่ามือ
วิชาฝ่ามือพันบุปผา
พลังลมปราณรูปฝ่ามือข้างหนึ่งพวยพุ่งในอากาศ
เมื่อหลิงเฉินลงมือโจมตี นางก็โจมตีอย่างหนักหน่วง
“เจ้า…”
ไป๋ไห่ชินอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ รีบยกมือขึ้นปัดป้องและยิงพลังโจมตีกลับ
“ไม่นะ”
“เฉินเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงยังไม่หยุด?”
สองสามีภรรยาหลิงจุนเซวียนกับชินหลันซู ถลันกายปราดเข้ามาแล้ว
คนหนึ่งเข้าหยุดยั้งไป๋ไห่ชิน อีกคนเข้าขัดขวางหลิงเฉิน ระเบิดพลังลมปราณของทั้งสองฝ่ายสลายขึ้นไปกลางอากาศ ทำให้การต่อสู้ในยกที่สองต้องยุติลงกลางคัน
“เฉินเอ๋อร์ ยังไม่รีบถอยไปอีก?”
ชินหลันซูพูดเสียงดุ
คราวนี้ หลิงเฉินยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
เด็กสาวรู้ตัวว่านางแสดงฝีมือออกมามากเกินพอแล้ว
หากยังดื้อดึงต่อไป มีแต่จะทำให้มารดาอับอายขายหน้าก็เท่านั้น
“ระดับพลังของสองสามีภรรยาคู่นี้ไม่น้อยหน้าเซียนกระบี่ไป๋ไห่ชินเหมือนกันนะนี่”
หมิงหยวนซานและมือกระบี่อาวุโสคนอื่นๆ พากันคิดด้วยความประหลาดใจ
ถึงพวกเขาจะทราบดีว่าจวนผู้ว่าแห่งนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่ก็ไม่คิดเลยว่าสามีภรรยาคู่นี้จะมีระดับพลังแข็งแกร่งเกินคาดคิด อย่างเช่นเมื่อสักครู่ หลิงจุนเซวียนสามารถหยุดยั้งการโจมตีของไป๋ไห่ชินได้ง่ายดายกว่าพลิกฝ่ามือ แสดงให้เห็นว่าต้องมีระดับพลังไม่ธรรมดา
ผู้ว่าการหลิงนับว่าเป็นพยัคฆ์ร้ายซ่อนเล็บที่แท้จริงแล้ว
“เสี่ยวอู๋ พาน้องสาวเจ้ากลับไปก่อน”
หลิงจุนเซวียนออกคำสั่ง
หลิงอู๋รีบนำตัวหลิงเฉินกลับเข้าไปในบ้านพักทันที
เด็กสาวไม่อิดออดเลยแม้แต่นิดเดียว
ส่วนใหญ่แล้ว มารดาจะเป็นผู้ออกคำสั่ง มีนิสัยเคร่งครัดอยู่ในกฎระเบียบ ส่วนบิดาของนางจะมีบุคลิกเฮฮาอ่อนโยน แต่เมื่อออกคำสั่งเสียงเครียดเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธเด็ดขาด
ตอนที่หมุนตัวเดินจากไป หลิงเฉินยังไม่วายหันมาขยิบตาส่งยิ้มให้แก่หลินเป่ยเฉิน
ฟันของนางขาวสะอาดเป็นระเบียบ
ริมฝีปากสีชมพูเป็นประกายดูมีเสน่ห์
รอยยิ้มของนางช่างงดงามกระไรปานนั้น
หลินเป่ยเฉินถึงกับตื่นกลัวขึ้นมาแล้ว
เขากลัวว่าจะถูกบิดามารดาของนางทุบตีจนเสียชีวิตอยู่ตรงนี้
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงสายตาแห่งความเกลียดชังที่จับจ้องมายังตนเอง เมื่อเขาหันไปมองทิศทางที่มาของสายตานั้น ก็พบว่าเป็นสายตาของเฉาพั่วเถียนผู้อยู่ในสภาพสะบักสะบอมน่าเวทนา ใบหน้าซีดขาวแสยะยิ้มสะใจ สายตาที่ใช้มองหลินเป่ยเฉิน เป็นสายตาที่มีไว้มองศพคนตายศพหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินชูนิ้วกลางกลับไปให้โดยไม่ลังเล
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดามือกระบี่อัจฉริยะอย่างเสว่เหยียน หลู่เฟิงและซ้งเชวอี้ ต่างก็จ้องมองหลิงเฉินเดินจากไปจนลับสายตา เมื่อนั้น พวกเขาถึงได้หันหน้ากลับมา หัวใจยังเต้นรัวเร็วดั่งกลองตี
“เอาล่ะ การประลองจบลงแล้ว”
หลิงจุนเซวียนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของเจ้าภาพและกล่าวต่อ “ในเมื่อการประลองจัดขึ้นที่จวนผู้ว่าแห่งนี้ ข้าจึงต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทุกคน อาจารย์ไป๋ ท่านกลัวว่าลูกศิษย์ของตนเองจะได้รับอันตราย ย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ข้าอยากขอร้องให้ท่านใจเย็นลงหน่อย หลินเป่ยเฉินอาจทำรุนแรงเกินไปบ้างก็จริง แต่เขาไม่ได้มีเจตนาทำร้ายคู่ต่อสู้ให้ถึงแก่ชีวิต เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ในครั้งนี้ ขอให้พวกท่านเลิกแล้วต่อกันไปเถอะ”
ไป๋ไห่ชินพูดว่า “ในเมื่อท่านผู้ว่ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็คงได้แต่เชื่อฟังเท่านั้น”
ส่วนในใจกำลังคิดว่าต้องประเมินขุมกำลังของตระกูลหลิงใหม่เสียแล้ว
พูดจบ เขาก็หัวเราะเยาะใส่หลินเป่ยเฉิน ก่อนจะหันไปพูดเหยียดหยามกับติงซานฉือว่า “ศิษย์พี่ติงเล่ยช่างเก่งกาจเรื่องการหลบอยู่หลังสตรีเสียจริง เหอเหอ ไม่ว่ากระทำการเรื่องราวใด ท่านก็ต้องให้สตรีคอยช่วยเหลือเสมอ ท่านมันขี้ขลาดมากนัก ป่านนี้แม่นางไห่คงต้องทุกข์ทรมานมากแล้ว ท่านไม่เคยคิดโทษตัวเองบ้างเลยหรือ?”
ติงซานฉือดวงตาแวววาว แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น สายตาของชายชราก็กลับมาไร้อารมณ์ดังเดิม
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
มองขึ้นไปบนดวงดาวในท้องนภา
เมฆลอยต่ำกระจายหายไป
พระจันทร์เต็มดวงลอยตัวอยู่กลางท้องฟ้ายามราตรี
แสงจันทร์สาดส่อง อาบไล้ทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นโลก
“ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว”
ร่างของติงซานฉือพริ้ววูบขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาจวนผู้ว่า กระบี่ในมือถูกชักออกมาเป็นประกายแวววาวสาดใส่ท้องฟ้าสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลังจากนั้น ชายชราก็ก้มหน้าลงมา กล่าวว่า “ไป๋ไห่ชิน เรามาสู้กัน”
คอมเม้นต์