ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD – ตอนที่ 160 ทาร์ตไข่แห่งความมืดมิดของเจวี้ยนเอ๋อร์

อ่านนิยายจีนเรื่อง ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD ตอนที่ ตอนที่ 160 ทาร์ตไข่แห่งความมืดมิดของเจวี้ยนเอ๋อร์ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ริมฝีปากเหมือนกลีบกุหลาบของเจวี้ยนเอ๋อร์เผยอขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ปิดลงเหมือนเดิมหลังจากที่นางกัดทาร์ตไข่เต่าพลังปราณที่ทั้งกรอบและนุ่มเข้าไปคำเล็กๆ ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น นางเคี้ยวอาหารในปากโดยขยับกรามให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งถือเป็นวิธีของหญิงจากตระกูลสูงศักดิ์อย่างแท้จริง

ยิ่งเคี้ยวนานเท่าไหร่ ดวงตาของนางก็ยิ่งเบิกกว้างมากขึ้นเท่านั้น รสชาติแสนอร่อยกระจายตัวไปทั่วปากจนลามไปทั้งร่างกาย กลิ่นหอมเข้มของนมเข้าโอบล้อมร่างของนางไว้ ทำให้เจวี้ยนเอ๋อร์รู้สึกราวกับตนเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงอสูรเวทในทุ่งกว้างใหญ่

สายลมอ่อนพัดผ่านฝูงอสูรเวทที่กำลังเล็มหญ้าอย่างเงียบๆ อยู่บนทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม

“ฮืม…” เจวี้ยนเอ๋อร์กลืนทาร์ตไข่คำเล็กกระจิริดในปาก ความรู้สึกประหลาดเอ่อท้นขึ้นในจิตใจจนทำให้ต้องเปล่งเสียงออกมา ใบหน้าสวยน่ารักของนางแดงก่ำมากขึ้นอีกเหมือนกำลังมึนเมา สายลมที่พัดหอบเอากลิ่นสดชื่นของทะเลพุ่งเข้าใส่ร่าง เหมือนกับว่ากำลังพยายามจะพัดเสื้อผ้าของนางให้ปลิวหายไปในอากาศ

“อ… อร่อยมาก!” เจวี้ยนเอ๋อร์พูดด้วยดวงตาเป็นประกายระยับ

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้กินอาหารที่อร่อยถึงเพียงนี้ เจวี้ยนเอ๋อร์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังแช่น้ำทะเลเย็นสบายจะเกิดขึ้นได้จากทาร์ตไข่ชิ้นเล็กจิ๋วตรงหน้า ถือเป็นปรากฏการณ์ที่นางไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต

เจวี้ยนเอ๋อร์ไม่สนใจความร้อนของทาร์ตไข่อีกต่อไป นางหยิบทาร์ตขึ้นมาด้วยมือเปล่าแล้วกัดเข้าไปเต็มคำ หญิงสาวหยุดกินไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ใบหน้าแดงแปร๊ดด้วยความสุขล้นจากรสชาติแสนอร่อยของทาร์ตไข่ในมือ

หลัวซานเหนียนอ้าปากค้างขณะมองเจวี้ยนเอ๋อร์ที่กำลังทำลายภาพลักษณ์ของตนเองจนเหี้ยนเตียน นี่คือเจวี้ยนเอ๋อร์คนเดียวกับที่นางรู้จักจริงๆ น่ะหรือ เจวี้ยนเอ๋อร์คนที่มารยาทดีงามทุกกระเบียดนิ้วสมกับที่เป็นสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ นางผู้ยิ้มโดยไม่เผยฟัน แถมยังกินเหมือนแมวดมน่ะนะ

หลัวซานเหนียนรู้สึกราวกับว่าโลกที่ตนรู้จักมาตลอดพลิกคว่ำสิบตลบ อาหารของปู้ฟางอร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

หยางเฉินเองก็มองพี่สะใภ้คนที่สองของตนที่มีสีหน้าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์อย่างสงสัยใคร่รู้เช่นกัน เด็กชายเคี้ยวซี่โครงเปรี้ยวหวานตุ้ยๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่เหมือนพี่สะใภ้คนที่สองที่เขารู้จักเลยแม้แต่น้อย

ปู้ฟางไม่เคยกินทาร์ตไข่เต่าพลังปราณมาก่อนเนื่องจากเพิ่งทำเป็นครั้งแรก เขาจึงไม่รู้ว่าสตรีผู้เหนียมอายตรงหน้านั้นรู้สึกอย่างไร แต่จากท่าทางของนางทำให้รู้ว่ารสชาติคงอร่อยใช้ได้อย่างแน่นอน

ชายหนุ่มยิ้มออกมาก่อนถอนหายใจยาว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อพักสักเล็กน้อย

พอกินทาร์ตไข่ชิ้นแรกหมด เจวี้ยนเอ๋อร์ก็รีบหยิบชิ้นที่สองขึ้นมาทันที นางผ่อนลมหายใจออกจากปากเล็กน้อยก่อนตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป ลืมคราบความเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์จากตระกูลที่มีชื่อเสียงไปจนหมดสิ้น ตอนนี้นางดูเหมือนคนตะกละที่เจออาหารอร่อยเท่านั้น

ทาร์ตไข่สองชิ้นหายวับไปในปากของเจวี้ยนเอ๋อร์ ท่ามกลางสายตาตกใจของหลัวซานเหนียนและหยางเฉิน ทั้งสองอ้าปากค้างนิ่งอึ้งไป

“ข้ากินหมดแล้ว! เถ้าแก่ปู้… ทาร์ตไข่พลังปราณของท่านนั้น… อร่อยจนข้าบรรยายไม่ถูกเลย!” เจวี้ยนเอ๋อร์ประสานมือและโค้งคำนับให้ปู้ฟาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณที่ทำให้ข้าได้ชิมอาหารอร่อยเลิศรสเช่นนี้นะเจ้าคะ”

ปู้ฟางกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ ความจริงจังของนางทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบอย่างอึดอัดพอตัว

หยางเฉินและคนอื่นๆ กินอาหารที่สั่งมาหมดในที่สุด ลูกค้ากลุ่มนี้สั่งเยอะใช้ได้เลยทีเดียว

เหล่าพี่สะใภ้อดไม่ได้ที่จะปิดปากหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นหยางเฉินจ่ายเงินด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ ยกเว้นไว้แต่หลัวซานเหนียนเสียคนหนึ่งที่ยืนเอามือเท้าสะเอว อ้าปากหัวเราะเสียงดังลั่น…

“พี่สะใภ้ทั้งหลายของข้า เหมือนที่ข้าบอกเลยใช่หรือไม่ อาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นอร่อยที่สุดในนครหลวงแล้ว! ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อข้า ทีนี้เข้าใจหรือยังเล่า” หยางเฉินเชิดคางขึ้นข่มด้วยสีหน้าจริงจัง

หลัวซานเหนียนรู้สึกรำคาญเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าอวดดีของหยางเฉิน นางจึงใช้ฝ่ามือตบท้ายทอยของเด็กชายแล้วพูดอย่างหัวเสีย “เหตุใดคนที่พูดจาอวดดีจึงเป็นเจ้าแทนที่จะเป็นเถ้าแก่ปู้ไปได้นะ ในเมื่อกินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปฝึกวิชาเพิ่มก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันท่านขุนศึกจะตรวจระดับพลังปราณของเจ้าแล้ว พอถึงเวลานั้น ถ้าเจ้าทำตามที่ท่านต้องการไม่ได้ รับรองได้เละเป็นโจ๊กแน่นอน!”

สีหน้าของเด็กชายย่นยู่เหมือนมะเขือเทศแดดเดียวทันที จากนั้นเขาก็เดินออกจากร้านไปอย่างอ่อนระโหยโรยแรง

เหล่าสตรีต่างเดินออกไปทีละคนสองคนพร้อมบอกลาปู้ฟาง แล้วร้านอาหารก็กลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง

เจวี้ยนเอ๋อร์กลับมาที่ตำหนักของขุนศึกด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์ นางรู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดทางกลับบ้าน จนเกือบสะดุดล้มขณะก้าวลงจากรถม้าเลยทีเดียว

ยังดีที่หลัวซานเหยียนอยู่ข้างนางตลอด จึงรั้งตัวหญิงสาวเอาไว้ได้ทันก่อนหน้าจิ้มลงโคลน

“เจวี้ยนเอ๋อร์… เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือ” หลัวซานเหนียนถามพร้อมขมวดคิ้ว

ดวงตาของเจวี้ยนเอ๋อร์ดูอับแสงไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา นางมองหลัวซานเหนียนด้วยสายตาที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเย็นสันหลังวาบ

“สวรรค์ช่วย… เจ้าจ้องข้าเสียน่ากลัวขนหัวลุกเลยทีเดียว!” หลัวซานเหนียนคิดพลางรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“ซานเหนียน มาที่ครัวกับข้าเร็วเข้า ข้าจะทำอะไรให้เจ้ากิน! เจ้าช่วยข้าชิมหน่อยนะ!” เจวี้ยนเอ๋อร์ขอร้องด้วยท่าทางน่าสงสารพร้อมประสานมือแสดงความเคารพ

หลัวซานเหนียนมึนงงไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ถูกหญิงสาวร่างบางลากไป

“อาเฉินตัวแสบ ฝึกปราณให้หนักด้วยนะ ข้าจะกลับมาดูความคืบหน้าของเจ้าหลังจากนี้…” แม้แต่ตอนที่ถูกลากตัวไป หลัวซานเหนียนก็ยังไม่วายหันมาข่มขู่หยางเฉิน

“ปัง!”

เสียงกระแทกดังปังดังมาจากห้องครัวในตำหนักขุนศึก ตามมาด้วยกลิ่นบางอย่างไหม้…

หลัวซานเหนียนยืนอยู่ในครัว สายตามองเจวี้ยนเอ๋อร์ที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยเขม่าถ่าน อีกฝ่ายถือจานกระเบื้องสีขาวเอาไว้ในมือ พลางกำลังจ้องนางด้วยสายตาใสซื่อ

“ซานเหนียน นี่ทาร์ตไข่ฝีมือข้าเอง ลองชิมดูสิ!”

หลัวซานเหนียนตัวแข็งทื่อ ตวัดสายตาลงไปมองสิ่งที่อยู่บนจาน นางมองเห็นก้อนประหลาดที่ผิวหน้าเต็มไปด้วยรอยไหม้ พร้อมกลิ่นไหม้ที่โชยออกมาตอกย้ำความถูกต้องของหน้าตา

“ทาร์ตไข่รึ นั่นคือทาร์ตไข่จริงรึ”

เมื่อนึกย้อนไปถึงทาร์ตไข่ฝีมือปู้ฟาง แล้วหันกลับมามองก้อนดำเมี่ยมฝีมือเจวี้ยนเอ๋อร์ หลัวซานเหนียนก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกดับวูบลงต่อหน้าต่อตา

“เจวี้ยน… เจวี้ยนเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจรึ… ว่ามันกินได้น่ะ” หลัวซานเหนียนถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น อีกฝ่ายตอบด้วยการพยักหน้าหงึกหงัก

“ลองชิมดูคำนึงสิ หากไม่อร่อยก็ไม่ต้องกินต่อ” เจวี้ยนเอ๋อร์จ้องหลัวซานเหนียนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ในเมื่อทนสายตาอ้อนวอนของเจวี้ยนเอ๋อร์ไม่ได้ หลัวซานเหนียนก็จำใจต้องทำตามคำขอของอีกฝ่าย นางหยิบทาร์ตไข่ที่ไหม้เกรียมขึ้นมาพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน แล้วก็พบจุดที่ยังรอดอยู่ จึงกัดลงไปตรงนั้นแทน

“หืม” คิ้วที่ขมวดมุ่นบนใบหน้าคลายลงทันที หลัวซานเหนียนหันไปมองเจวี้ยนเอ๋อร์ด้วยสายตาประหลาดใจ ขณะเคี้ยวทาร์ตไข่คำจ้อยในปาก นางอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “เจวี้ยนเอ๋อร์ เจ้านี่สุดยอดจริงๆ รสชาติดีใช้ได้เลย ถึงแม้กลิ่นและหน้าตาจะแย่กว่าทาร์ตไข่เต่าพลังปราณของเถ้าแก่ปู้อยู่มากโข แต่รสชาติจัดว่าใช้ได้!”

หลัวซานเหนียนไม่ได้โกหก ทักษะการทำอาหารของเจวี้ยนเอ๋อร์นั้นจัดว่าดีเลยทีเดียว นางมักช่วยทำอาหารในตำหนักขุนศึกเสมอโดยเฉพาะเครื่องเคียง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังชอบทำขนมเป็นงานอดิเรก จึงเป็นคนที่ถือว่าเชี่ยวชาญในการทำครัวไม่น้อย

ถึงแม้หน้าตาจะน่าเกลียดจนไม่กล้ากิน แต่รสชาติของทาร์ตไข่นี้จัดว่าผ่าน

“เยี่ยมเลย ถ้าเช่นนั้นข้าจะเอาไปให้เถ้าแก่ปู้ลองชิมดูพรุ่งนี้ เผื่อจะขอคำแนะนำมาทำต่อ ข้าว่าข้าตกหลุมรักทาร์ตไข่เข้าให้แล้ว! ข้าต้องศึกษาการทำทาร์ตไข่ให้ถึงที่สุด!”

ใบหน้าของหลัวซานเหนียนแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง มุมปากกระตุกขณะจ้องเจวี้ยนเอ๋อร์ที่มีสีหน้าจริงจัง

“ให้เถ้าแก่ปู้ลองชิม… เจ้าแน่ใจแล้วหรือ”

เวลากลางคืนกลับมาเยือนอีกครั้ง คืนนี้ลมกรรโชกแรงเนื่องจากมีพายุหิมะ

ร้านอาหารในตรอกปิดทำการเรียบร้อยแล้ว ความสงบกลับมาเยือนอีกครา ปู้ฟางกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัว ไม่นานนักเขาก็ทำทาร์ตไข่เสร็จและกำลังจะลองชิมด้วยตัวเอง

ทาร์ตไข่เต่าพลังปราณที่เต็มไปด้วยพลังปราณเที่ยงแท้นั้น มีรสชาติยอดเยี่ยมกว่าทาร์ตไข่ที่ทำจากไข่ไก่ธรรมดาอย่างเทียบไม่ติด หลังจากที่ลองชิมดู ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าตนเองได้ไปท่องโลกบาดาลสีน้ำเงินสดชื่น

“รสชาติของทาร์ตไข่นี้จัดว่าดีเลยทีเดียว… แต่ก็ยังธรรมดาไปเมื่อคิดว่ามันเป็นรางวัลที่ได้จากภารกิจของระบบ” รสชาติของทาร์ตไข่เต่าพลังปราณนั้นอร่อยดี แต่การได้รับอาหารจานนี้เป็นรางวัลจากระบบหลังจากที่ต้องใช้ความพยายามไปมากในการคว้าที่หนึ่งมาครอง ทำให้ปู้ฟางรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบอยู่ไม่ใช่น้อย

ถึงทาร์ตไข่จะอร่อย แต่ก็ยังเป็นเพียงของหวานหลังกินอาหารเสร็จเท่านั้น…

“หรือเป็นเพราะภารกิจฉุกเฉินอันก่อนหน้ายังไม่เสร็จกันนะ ระบบเลยเอารางวัลสุดห่อเหี่ยวมาให้ข้า” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองพร้อมนิ่วหน้า

ภารกิจก่อนหน้าที่ได้มาจากระบบคือการคิดค้นสูตรการหมักเหล้าที่ยอดเยี่ยมกว่าลมหายใจมังกร ตามที่ได้ยินมาจากหนี่หยัน ลมหายใจมังกรน่าจะเกิดมาจากกรรมวิธีสุดแสนซับซ้อนไม่ธรรมดา จึงต้องเป็นสิ่งที่เอาชนะได้ยากอย่างแน่นอน

ปู้ฟางคิดเรื่องนี้ไม่หยุดขณะเดินไปที่ห้องนอน เนื่องจากได้เวลานอนตามตารางของเขาแล้ว

“ข้าต้องหาเวลาไปเก็บสมุนไพรพลังปราณระดับสูงให้ได้ หากอยากจะหมักเหล้าที่ดีกว่าลมหายใจมังกร เห็นทีจะใช้เพียงสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิง และผลไม้ตื่นรู้ทางสามสายเฉยๆ ไม่ได้… ต้องหาวัตถุดิบชนิดอื่นมาเสริมด้วย!”

ปู้ฟางนอนห่มผ้าผืนหนาอยู่บนเตียง ดวงตาเริ่มปรือลงขณะขบคิดเพื่อแก้ปัญหา ก่อนจะตกสู่ห้วงนิทราลึกในที่สุด

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด